ตอนที่ 194 ถังเฉียนฟื้นแล้ว / ตอนที่ 195 หลังจากฟื้น

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 194 ถังเฉียนฟื้นแล้ว 

 

 

 

 

 

ถงถงเอ๋อร์โกรธมาก แต่หงหลิงเอ๋อร์ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางมองดูโอสถทิพย์ที่วาวใสสามเม็ดในมือ ดีใจอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

“ตอนนี้เจ้ากับข้ารวมกันก็เอาชนะเขาไม่ได้ หากเขาใช้วิชาตรวจสอบวิญญาณขึ้นมา เราสองคนตกที่นั่งลำบากแน่ ถ้าเกิดบาดเจ็บถึงรากฐาน เปลี่ยนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ข้าสามารถก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น อีกอย่างถ้าอาหรูน่าตายตอนนี้จะมีความหมายอะไร ศิษย์พี่เอ๋ย อย่าเล่นแบบเด็กเลย แม่นมพูดถูก ถ้าอยากให้นางตายมีนับพันวิธี ไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้หรอก” 

 

 

“อะไรนะ หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

แววตาหงหลิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนนางจะไม่ง่ายอย่างที่เห็น นางพูดไปได้ครึ่งเดียวก็มีหญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้อง สวมชุดดำ ดูแปลกเป็นพิเศษ ราวกับฮว่าเหยียนที่ถังเฉียนเห็นครั้งแรก 

 

 

“ทำอย่างนี้ถูกแล้ว เราไม่จำเป็นต้องฆ่าอาหรูน่าด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นวันหลังต้องเผชิญกับความแค้นของคุณชายเถิงเฟิง การฆ่านางย่อมมีคนที่เหมาะสมกว่าไปทำ” 

 

 

หงหลิงเอ๋อร์ยิ้มพลางมองดูหญิงตรงหน้า ถงถงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ เหตุใดหญิงคนนี้จึงได้รับความไว้วางใจจากหงหลิงเอ๋อร์ ทั้งยังเชื่อทุกอย่างที่นางบอก 

 

 

“ศิษย์พี่ถง ท่านนี้คือแม่นมข้าอาซั่น หลายปีนี้นางท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก ในที่สุดก็กลับมาช่วยข้าแล้ว” 

 

 

ถงถงเอ๋อร์มองหญิงลึกลับตรงหน้า ดูแล้วนางน่าจะอายุไม่น้อย แต่แค่แม่นมเล็กๆ เหตุใดหงหลิงเอ๋อร์จึงนอบน้อมต่อนางนัก ถงถงเอ๋อร์แปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัวเข่า แล้วทนไม่ไหวจนต้องเกาะมุมโต๊ะไว้ นางมองดูหญิงที่ซ่อนอยู่หลังผ้าแพรสีดำ สีหน้าเคียดแค้น แต่หงหลิงเอ๋อร์กลับบอกว่า 

 

 

“ศิษย์พี่ถง แม่นมท่านนี้อารมณ์ร้าย หากเจ้าดูถูกนาง ข้าเองก็ช่วยเจ้าไม่ได้” 

 

 

ถงถงเอ๋อร์ยื่นมือไปคลำหัวเข่าตน แล้วค่อยๆ เกาะโต๊ะยืนขึ้น 

 

 

“เป็นข้าที่มีตาหามีแววไม่ หลายปีแล้วที่ไม่ได้พบยอดฝีมือเช่นท่าน” 

 

 

อาซั่นร้องอืม แต่ไม่พูดอะไรกับนาง ดูแล้วไม่ได้ใส่ใจนางเลย วันนี้ถงถงเอ๋อร์ถูกข่มเหง นางกำหมัดแน่น แต่สีหน้าไม่กล้าแสดงความไม่เคารพออกมาแม้แต่น้อย เหตุใดนางต้องถูกคนอื่นรังแกอยู่ร่ำไป ถังเฉียนซึ่งเป็นหมอผีสมุนไพรเช่นเดียวกับนาง เหตุใดจึงมีคนมากมายคอยปกป้อง ช่างไม่ยุติธรรมเลย 

 

 

ถังเฉียนอยู่ในภาวะสลบต่อเนื่อง ยังดีที่เขาศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ที่มีโอสถทิพย์และไอทิพย์สมบูรณ์ นางจึงไม่มีอันตรายถึงชีวิต เถิงเฟิงรอให้พ่อแม่ทำตามที่พูดไว้ไม่ไหว เขาใช้วิธีของตัวเองสามารถเอาวิญญาณคืนมาจากหงหลิงเอ๋อร์ แต่เขาไม่โง่เขลาถึงขั้นที่เชื่อว่าหงหลิงเอ๋อร์จะไม่ใช้กลอุบาย 

 

 

เขาถอดสลักออก มองดูพลังแห่งดวงวิญญาณที่ใสบริสุทธิ์ลอยอยู่ แล้วแทงปลายนิ้ว หยดเลือดลงบนนั้น 

 

 

ด้ายไหมสีดำถูกละลายอย่างรวดเร็ว 

 

 

“รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่เอาออกมาง่ายๆ หรอก” 

 

 

เถิงเฟิงหยิบด้ายไหมสีดำบนนั้นออกไป แล้วเอาดวงวิญญาณของนางวางกลับคืนไป ยังดีที่ขั้นตอนนี้ไม่ทุกข์ทรมาน ส่วนถังเฉียนในฝันรู้สึกว่าภาพรอบตัวดูเหมือนภาพหลอนมากขึ้นทุกที ราวกับว่าโลกที่เถิงเฟิงสร้างให้นางกำลังเผชิญพายุฝน 

 

 

นางเหมือนอยู่บนเรือท้องแบนลำหนึ่ง ปล่อยให้พายุฝนพัดไปตลอดคืนจึงหยุดลง 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกร่างกายอ่อนเพลียมาก แล้วอดหยัดกายนั่งขึ้นบนเตียงไม่ได้ ทั้งยังบิดขี้เกียจอย่างผ่อนคลาย บิดตัวที่ไมได้ขยับเขยื้อนนานมาก ฟังเสียงกระดูกลั่น รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ 

 

 

“ฟื้นแล้ว แม่จอมยุ่ง!” 

 

 

ถังเฉียนหันมาเห็นเถิงเฟิงสวมชุดชั้นใน เขานั่งบนโต๊ะ หันหน้ามามองดูนาง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 195 หลังจากฟื้น 

 

 

 

 

 

ถังเฉียนมองเขา มุมปากที่โค้ง ใบหน้ามีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น 

 

 

“เถิงเฟิง เมื่อวานข้าฝันร้าย ยังดีที่พอตื่นก็ได้เห็นเจ้า ทำให้ข้าไม่กลัวแล้ว” 

 

 

เถิงเฟิงกระโดดลงจากโต๊ะ ตบหน้าผากถังเฉียนหนึ่งที 

 

 

“แม่จอมยุ่ง เจ้ากลับมาในโลกแห่งความจริงแล้ว” 

 

 

“โอ๊ย…” 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่งมาจากหน้าผาก รอยยิ้มบนใบหน้าเบิกบานยิ่งขึ้น ถ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง อาจจะคิดว่านางเสียสติไปแล้ว เมื่อรู้ว่านางสลบไปนานเช่นนี้ แม้จะหิวจัด แต่ก็ไม่ได้ให้นางกินเยอะเกินไป แค่โจ๊กชามเล็กก็เพียงพอ 

 

 

เถิงเฟิงเพิ่งยกโจ๊กมาให้ไม่ทันไร ก็ถูกเรียกตัวไป จึงเหลือเพียงนางคนเดียว เมื่อไม่มีอะไรทำ ถังเฉียนจึงเดินเล่นในบริเวณบ้าน เถิงเฟิงบอกนางว่าอย่าเพิ่งออกไปไหนชั่วคราว เพราะเขาศักดิ์สิทธิ์มีกฎเกณฑ์มากมาย หลายคนยังไม่เคยเห็นนาง เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องเดือดร้อนได้ 

 

 

ถังเฉียนเดินรอบบ้านอยู่นาน เรือนหลังนี้ถูกสร้างอย่างประณีต เพียงแต่ในบริเวณบ้านมีนางเพียงคนเดียวจึงทำให้รู้สึกเหงา นางเดินไปตามทางเดินจนออกไปนอกบ้าน ไล่ตามผีเสื้อไปถึงศาลาที่มีหญิงสาวจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ 

 

 

“ได้ยินว่าว่าที่ฮูหยินน้อยฟื้นแล้ว ไม่รู้ว่านางเป็นหญิงงามขนาดไหนกัน” 

 

 

ถังเฉียนได้ยินคำว่าว่าที่ฮูหยินกลับไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พอได้ยินว่าฟื้นแล้วก็รู้ว่ากำลังพูดถึงตนเอง แม้ตัวนางไม่ได้อยู่ที่นี่แต่ถูกกำหนดสถานะแล้ว คำเรียกขานนี้ทำให้ใบหน้านางแดงเรื่อ แล้วอยากฟังต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น  

 

 

“ถึงจะบอกว่าเป็นฮูหยินน้อย แต่ใครจะรู้ว่าจะเป็นได้สักกี่วันเชียว ก็แค่เด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง แถมยังได้ยินว่าเป็นหญิงหลายใจ ไม่รักนวลสงวนตัว ฮูหยินเราคงไม่เอาผู้หญิงเช่นนี้เข้าบ้านหรอก” 

 

 

ถังเฉียนไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้แพร่สะพัดมาจากที่ใด เห็นชัดๆ ว่าเป็นการใส่ร้าย แต่นางเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็ไม่ได้ทำให้ใครไม่พอใจ ข่าวลือพวกนี้มาจากที่ใดกันแน่ 

 

 

ถังเฉียนอยากจะเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว ฟังดูว่าพวกนางจะพูดอะไรอีก แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา พูดเสียงดังว่า 

 

 

“ฮูหยินเพิ่งมีคำสั่ง ห้ามพวกเจ้าซุบซิบนินทา บังเอิญที่ข้ามาได้ยินพอดี แต่ละคนตบปากตัวเองสามสิบที หากยังทำผิดอีกจะเพิ่มโทษเท่าตัว” 

 

 

“แม่นางหรูอี้ พวกเราสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าทำอีก โปรดยกโทษให้พวกเราสักครั้งเถอะ” 

 

 

หรูอี้? 

 

 

พอถังเฉียนได้ยินชื่อนี้ ดูเหมือนตนเองจะรู้จักในฝัน แต่นางไม่แน่ใจ แล้วได้ยินนางพูดว่า 

 

 

“ไม่ต้องมาขอร้องข้า ฮูหยินบอกแล้วว่าอย่าให้คำพูดพวกนี้ไปถึงหูคุณหนูอาหรูน่าและท่านอาวุโส ยิ่งลือก็ยิ่งสับสน ทำให้เสียแบบแผน เห็นชัดๆ ว่าพวกเจ้าไม่ใส่ใจคำพูดฮูหยิน ตบปาก!” 

 

 

พอถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รีบเดินย้อนกลับ ไม่กล้าอยู่ฟังต่อ 

 

 

เมื่อนางเข้ามาในบ้านก็ยังครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วเห็นแม่เฒ่าสองคนยืนมองซ้ายมองขวาอยู่ในลานบ้าน ถังเฉียนคาดว่าคงเป็นคนของฮูหยิน จึงรีบเดินเข้ามาทักทาย 

 

 

“คุณหนูอาหรูน่า ฮูหยินเราได้ยินว่าคุณหนูฟื้นแล้ว ให้เราสองคนมาเยี่ยม แล้วกลับไปรายงานว่าเป็นอย่างไรแล้ว” 

 

 

ถังเฉียนบอกว่านางสบายดี ขอบคุณที่ฮูหยินเป็นห่วง แต่แม่เฒ่าสองคนกลับยิ้มแปลกๆ 

 

 

“ฮูหยินเราได้ยินว่าเลือดของคุณหนูอาหรูน่ามีความพิเศษ อยากยืมเลือดจากคุณหนูสักหนึ่งหยดได้หรือไม่”  

 

 

ยืมเลือดข้า? 

 

 

ถังเฉียนไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน แต่อย่างไรแม่เฒ่าสองคนนี้ก็เป็นคนรุ่นอาวุโสของเถิงเฟิง ในเมื่อเอ่ยปากแล้ว นางไม่ควรปฎิเสธ เพียงแต่…