ตอนที่ 498 ขอบคุณมาก

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

การเคลื่อนไหวของเฝินชวี่ทำให้ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ซึ่งจับตาดูสถานการณ์อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแทบอดไม่ได้ที่จะกระโจนออกมา ไม่คิดเลยว่าเฝินชวี่ผู้ใจคดจะอาจหาญถึงเพียงนี้ เขาไม่เพียงแต่แทะโลมฉินอวี้โม่ด้วยวาจาเท่านั้น ทว่ายังริอาจกระทำการเช่นนี้ เขากำลังรนหาที่ตายโดยแท้ !

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนของฉินอวี้โม่ ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ควบคุมโทสะในใจและไม่ออกมานอกคฤหาสน์เฟิงหัว อย่างไรก็ตาม สีหน้าของพวกเขาเหยเกเล็กน้อยและมองดูสถานการณ์ข้างนอกอย่างเป็นกังวล หากมือของเฝินชวี่สัมผัสใบหน้าของฉินอวี้โม่จริง พวกเขาจะพุ่งตัวออกไปข้างนอกและตัดมือบุรุษผู้ชั่วช้านี้ด้วยตัวเอง

ฉินอวี้โม่คาดเดาการกระทำของเฝินชวี่ไว้ก่อนแล้วและนางไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นางส่งกระแสจิตไปหามารยาก่อนที่ร่างของมันจะปรากฏกายข้างหลังเฝินชวี่อย่างน่าประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม มือของเฝินชวี่ยังคงเอื้อมไปถึงใบหน้าของคนผู้นั้นโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเขาซึ่งแสดงถึงความสุขใจอย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสตรีใดในโลกนี้ที่หลีกหนีจากมือของข้าไปได้ !”

เขาหัวเราะออกมาอย่างอภิรมย์และแววตาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่คิดเลยว่านายน้อยเฝินชวี่จะมีรสนิยมเช่นนี้ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน สงสัยนักว่าเขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟรึไม่”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะมองไปทางเฝินชวี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อได้ยินวาจาประหลาดของฉินอวี้โม่ เฝินชวี่ก็มองดูด้วยความตั้งใจ ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นความตกตะลึงและความไม่เชื่อทันที

เขาคิดว่าตนเองกำลังสัมผัสใบหน้าของฉินอวี้โม่ ทว่าแท้จริงแล้วมือของเขาสัมผัสใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง และสิ่งที่ประหลาดยิ่งนักคือบุรุษผู้นั้นมองตรงมาที่เขาด้วยแววตายินดีเช่นกัน

เฝินชวี่ตกตะลึงอย่างที่สุดและฟาดฝ่ามือตบใบหน้าของคนผู้นั้นเต็มแรงจนเขากระเด็นออกไป

“บัดซบเอ๊ย !”

เขาสบถอย่างไม่สบอารมณ์และหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย

“โอ้ ไม่คิดเลยว่านายน้อยเฝินชวี่จะทำร้ายแม้กระทั่งคนของตัวเอง และยังใช้พลังอย่างสุดแรงจนแทบปลิดชีวิตของเขาไป ช่างเลือดเย็นยิ่งนัก”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยวาจาถากถางอย่างชัดเจน

เมื่อครู่นี้นางสั่งให้เสี่ยวม่านใช้พลังวิญญาณควบคุมศิษย์คนหนึ่งของหุบเขากรุ่นยาน และเมื่อเฝินชวี่หมายจะสัมผัสใบหน้าของนางทว่ากลับกลายเป็นบุรุษที่มีสีหน้าเต็มใจนั้น นั่นก็เป็นแผนของฉินอวี้โม่เช่นกัน

เมื่อได้ยินวาจาถากถางอย่างไม่ไว้หน้า สีหน้าของเฝินชวี่ก็เปลี่ยนไปทันที

“หุบปาก !”

เขาจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเย็นชาและสีหน้าแสดงถึงความโหดเหี้ยมและความดุร้าย

“แม่สาวน้อย เจ้าริอาจใช้เล่ห์ตบตาข้าเช่นนี้ ช่างเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้ หากวันนี้ไม่ได้จับตัวเจ้าและพากลับไปที่หุบเขากรุ่นกำยานเพื่อทรมานอย่างสาสม ไม่ต้องเรียกข้าว่าเฝินชวี่อีกต่อไป !”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เฝินชวี่ก็โบกมือเบา ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้คนของเขาโจมตีสตรีสามหาวตรงหน้า

ฉินอวี้โม่ไม่หวาดหวั่นใด ๆ และเพียงปรบมือเบาๆ จากนั้นหลิวหยาและอสูรอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างกาย

“แสดงให้คนโง่เหล่านี้ได้เห็นเถอะว่าพวกเราไม่ใช่เป็นขุมกำลังที่จะท้าทายได้ง่าย ๆ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นทว่าไม่คิดที่จะลงมือแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม นางถอยหลังออกไปอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน

มังกรอัสนีและอสูรอื่น ๆ ไม่ได้ออกแรงกันมานานแล้ว ในที่สุดตอนนี้เมื่อได้โอกาสต่อสู้ พวกมันจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ภายในชั่วพริบตา พวกมันก็ต่อสู้กับคนของหุบเขากรุ่นกำยานอย่างดุเดือด

เสี่ยวม่านยืนถัดจากฉินอวี้โม่โดยตอนนี้ขลุ่ยหยกปรากฏในมือของมันและเสียงทำนองเพลงไพเราะก็ดังขึ้น

เมื่อเห็นเสี่ยวเฮยและอสูรมายาจำนวนมากตรงหน้า ฝ่ายหุบเขากรุ่นกำยานก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย และบรรดาอสูรมายาของพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นแต่อย่างใด

เพียงแต่ในขณะที่การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ อสูรมายาของฝ่ายพวกเขากลับมีลักษณะท่าทางราวกับถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่างและหันกลับมาโจมตีพวกเขา

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ สีหน้าของทุกคนจากหุบเขากรุ่นกำยานก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

พวกเขามั่นใจว่าพลังของฝ่ายตนไม่อ่อนแออย่างแน่นอน ทว่าเมื่อเผชิญกับกองกำลังที่แกร่งกล้ามากกว่าตนเองหลายเท่าตัว กอปรกับการควบคุมที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและอสูรมายาของตนเองที่กลายเป็นปฏิปักษ์ ตอนนี้พวกเขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างแท้จริงและแม้แต่การป้องกันของพวกเขาก็มีช่องโหว่มากมาย

“เจ้าดรุณีน้อยนั่น ขลุ่ยของเจ้าดรุณีนั่นคือสิ่งที่ควบคุมอสูรมายาของเราอยู่ !”

แน่นอนว่าฝ่ายของหุบเขากรุ่นกำยานก็มีผู้ที่เฉลียวฉลาดอยู่เช่นกัน ใครคนหนึ่งสังเกตเห็นพลับพลึงแดงผู้ที่กำลังเป่าขลุ่ยหยกและคาดเดาได้ทันทีว่ามันคือผู้ที่คอยควบคุมบงการอสูรมายาของพวกเขา

สีหน้าของเฝินชวี่ก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนไม่ทันตั้งตัว ทว่าเมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้น เขาก็ไม่รอช้าและพุ่งออกไปโจมตีเสี่ยวม่านทันที

แรกเริ่มเดิมที เขาคิดว่าฉินอวี้โม่มีตัวคนเดียวและกลุ่มของเขาสามารถเอาชนะได้ง่ายดาย ไม่คิดเลยว่ามีอีกหลายชีวิตที่ทรงพลังปรากฏกายขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ อีกทั้งยังมีสตรีประหลาดที่ควบคุมอสูรมายาของฝ่ายเขาด้วยเสียงจากขลุ่ยหยกได้ด้วย

หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องจัดการกับสตรีเป่าขลุ่ยให้ได้เป็นอันดับแรก

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางปล่อยให้เฝินชวี่ทำอะไรเสี่ยวม่าน ก่อนที่เฝินชวี่จะมาถึงตัวพลับพลึงแดง ลูกเพลิงลูกหนึ่งก็พุ่งออกไปปะทะกับเขาอย่างจัง

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงและน่าหวาดหวั่นจากลูกเพลิงดังกล่าว แม้แต่เฝินชวี่ก็ไม่กล้าประมาทเลยสักนิด เขาสร้างผนึกขึ้นในมืออย่างรวดเร็วและม่านแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเพื่อขัดขวางป้องกันลูกเพลิงนั้น

ตู้มมม !

เกิดการปะทะอย่างรุนแรงและเฝินชวี่ก็อดที่จะก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าวไม่ได้ก่อนที่จะทรงตัวอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง

หากก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ไม่ได้ครอบคลุมสภาพแวดล้อมรอบตัวไว้ด้วยพลังของนาง เกรงว่าผลที่เกิดจากการปะทะอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายคงทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวว่อนไปเสียแล้ว

หลังจากเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ สีหน้าของเฝินชวี่ก็เหยเกไปทันทีและสมองของเขาก็คิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว

“ถอนกำลังก่อนเถอะ !”

เมื่อตระหนักแล้วว่าคำข่มขู่ไม่มีผลต่อฉินอวี้โม่ หลังจากไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว เฝินชวี่ก็กล่าวออกคำสั่งให้ทุกคนถอนกำลังออกไป

แน่นอนว่าเขาก็คาดเดาได้ว่าเป้าหมายของฉินอวี้โม่คือม้วนกระดาษลึกลับโบราณที่อยู่ในมือของเขา เมื่อได้เห็นพลังความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และอสูรมายา เขาก็รู้สึกกดดันอย่างที่สุด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ปล่อยให้ฉินอวี้โม่ได้ม้วนกระดาษฉบับนี้ไปครอง เพราะเหตุนั้นเขาจึงสั่งการให้ทุกคนล่าถอยออกไปโดยเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ หากต้องการกลับไป จงวางม้วนกระดาษนั่นไว้ก่อนและกลับไปแต่ตัว”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อน ๆ ในเมื่อนางต้องการวัตถุลึกลับฉบับนั้น นางย่อมไม่ปล่อยให้เฝินชวี่ถอยออกไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน

“ฝันไปเถอะ !”

นายน้อยหุบเขากรุ่นกำยานจ้องหน้าฉินอวี้โม่ตาเขม็ง ตอนนี้เขาเองก็ต้องยอมรับว่าประมาทความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เกินไป อย่างไรก็ตาม เขาและพวกมิใช่คนอ่อนหัดไร้ประสบการณ์ เขาไม่มีทางยอมยกม้วนกระดาษฉบับนี้ให้กับอีกฝ่ายแน่

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าก็ลองดูสิ ลองดูว่าจะออกไปจากตรอกซอยนี้ได้รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นขณะเสี่ยวม่าน เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ หยุดการเคลื่อนไหวเพื่อให้โอกาสเฝินชวี่และพวกของเขาหลบหนีออกไป

เฝินชวี่ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยเมื่อเห็นการอากัปกิริยาประหลาดของฉินอวี้โม่และพวกอสูร ทว่าเมื่อเขากวาดสายตามองตรอกซอยรอบตัวและไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคณะผู้ติดตามของตนและค่อย ๆ ถอยหลังกลับไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากถอยไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไปและพวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของข่ายอาคมบางอย่าง

ภายในข่ายอาคมนี้ ไม่ว่าภูเขาน้ำแข็งหรือทะเลเพลิงก็ดูพร่าเลือนไม่ชัดเจนและสีหน้าของเฝินชวี่ในตอนนี้เหยเกบิดเบี้ยวอย่างที่สุด ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าทั้งหมดนี้คือข่ายอาคม เขาสั่งให้คนของตนถอยจากข่ายอาคมนี้ทันที ทว่ากลับเข้าสู่อาณาเขตของข่ายอาคมอีกชนิดหนึ่ง

และข่ายอาคมนี้ก็น่าสะพรึงกลัวกว่าเดิมมาก เมื่อเข้าไปในนั้น บรรดาสมาชิกของฝ่ายหุบเขากรุ่นกำยานก็เสียสติคลุ้มคลั่งขึ้นมาและเริ่มห้ำหั่นฆ่าฟันกันเอง

หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะหมายเอาชีวิตของพวกเขา เกรงว่าข่ายอาคมเพียงอย่างเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะกำจัดคนของหุบเขากรุ่นกำยานจนหมดสิ้นได้

หลังจากสั่งให้มารยาถอดถอนข่ายอาคม ฉินอวี้โม่ก็มองหน้าเฝินชวี่อย่างยียวนและกล่าวขึ้นเบา ๆ “เป็นอย่างไร ? ยังคิดอยู่รึไม่ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ ?”

วาจาของนางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและไร้ข้อกังขาทำให้สีหน้าของเฝินชวี่บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?!”

เฝินชวี่มองสตรีตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นและฉงนสนเท่ห์ในเวลาเดียวกัน เขาสงสัยยิ่งนักว่าบุคคลทรงพลังผู้นี้ปรากฏกายในดินแดนทางเหนือตั้งแต่เมื่อใด สำหรับผู้ที่แกร่งกล้าและทรงพลังเช่นนี้ ไม่มีทางที่เขาและหุบเขากรุ่นกำยานจะไม่ทราบข้อมูลมาก่อน

“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อเจ้าอยากรู้นัก ข้าก็จะสนองให้”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะกล่าวตอบ จากนั้นฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวถัดจากนาง

เมื่อเห็นผู้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน กอปรกับความจริงที่ว่ามารยาติดตามสตรีตรงหน้าอยู่ก่อนหน้านี้ จู่ ๆ เฝินชวี่ก็คาดเดาบางอย่างได้ทันที

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความไม่เชื่อทันทีขณะยกนิ้วชี้ไปที่ฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าคือ…ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย !”

เขาเคยพบกับฉินอวี้โม่มาก่อน ทว่าครานั้นนางสวมอาภรณ์และปลอมตัวเป็นบุรุษที่ดูธรรมดาไม่มีสิ่งใดโดดเด่น บัดนี้เมื่อตระหนักว่าคนผู้นั้นคือคนเดียวกับโฉมนารีงดงามตรงหน้า การที่เขาจะตกตะลึงและไม่อยากเชื่อก็มิใช่เรื่องแปลก

“ฮ่า ๆ ๆ ยังมีสมองนี่… ทว่าต่อให้เจ้าจะทราบเช่นนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและกล่าวออกไป ถึงอย่างไรตัวตนของนางก็จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าก็เร็ว ก่อนหน้านี้นางก็วางแผนที่จะเปิดเผยตัวตนแท้จริงในงานชุมนุมดินแดนเหนือ ทว่าในเมื่อเฝินชวี่ต้องการทราบ นางก็ไม่รังเกียจที่จะบอกให้เขาได้ทราบล่วงหน้า

“เจ้า…”

เฝินชวี่ชี้นิ้วตรงไปที่ฉินอวี้โม่ทว่าไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาแม้หลังจากชะงักไปพักใหญ่ก็ตาม

เขาทั้งแปลกใจและตกตะลึงจนมิอาจสรรหาคำพูดใดออกไป

“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อรู้ความจริงแล้ว จงคิดให้ดีว่าจะส่งม้วนกระดาษนั่นมาดี ๆ หรือจะต้องให้ข้าฉกชิงมันมาเอง”

ฉินอวี้โม่กล่าวขณะซวงเสวี่ย ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็มองเฝินชวี่ด้วยแววตาที่โหยหา ราวกับพร้อมที่จะฆ่าคนเพื่อครอบครองสมบัติมา

สีหน้าของเฝินชวี่ในตอนนี้บิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้ และคณะผู้ติดตามของเขาก็ไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งหมดตระหนักถึงความรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วของเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นอย่างดี ข่ายอาคมทั้งสองชนิดเมื่อครู่เกือบสังหารพวกเขาทั้งหมดจนสิ้นซากและหากยังดึงดันขัดขืนต่อไปก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าพวกเขาจะรอดชีวิตไปจากตรอกซอยเล็ก ๆ แห่งนี้

“นายน้อย ส่งม้วนกระดาษนั่นไปให้นางเถอะขอรับ”

บุรุษคนหนึ่งกล่าวเสียงเบาเพื่อเสนอความคิดเห็นของตนเอง

“ไม่มีทาง ข้าลงทุนไปอย่างมหาศาลกว่าที่จะได้ม้วนกระดาษฉบับนี้มา และมันก็เป็นสิ่งที่ท่านพ่อของข้าต้องการ หากส่งมันให้คนพวกนี้ ทั้งหมดที่ทำมาในวันนี้ก็คงจะสูญเปล่า !”

เฝินชวี่ส่ายศีรษะทันที เขาไม่มีทางยินยอมอย่างแน่นอน

“ทว่า…หากท่านไม่ส่งมันให้นางไป เกรงว่าเราคงไม่มีทางอื่นแล้ว ข้าเชื่อว่านายน้อยทราบดีว่าระหว่างชีวิตของท่านกับม้วนกระดาษฉบับนี้ สิ่งใดสำคัญกว่ากัน”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือแล้ว ตราบใดที่นายน้อยแจ้งให้ท่านผู้นำทราบเรื่องนี้ ท่านผู้นำจะหาทางจัดการกับพวกเขาอย่างแน่นอน”

บุรุษผู้นั้นชำเลืองมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขณะกล่าวเตือนสติเฝินชวี่

เมื่อได้ยินวาจาเตือนสติ เฝินชวี่ก็กวาดสายตามองคู่ต่อสู้ตรงหน้าเช่นกัน เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

.