ตอนที่ 820 ลงสังเวียนชิงชัยตำแหน่ง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 820 ลงสังเวียนชิงชัยตำแหน่ง

“มู่เฉินแห่งหอวิหคโลกันตร์ขอคำชี้แนะจากเจ้าสำนักชิวด้วย”

เมื่อเสียงอ่อนอาวุโสดังขึ้นบนลานพิธี ความเงียบรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นความโกลาหล ผู้คนจ้องมองอย่างตกตะลึงไปที่ร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มฉกรรจ์ พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีความกล้าเข้าสู่ลานประลองอีกหลังจากได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของชิวไท่ยิง

“มู่เฉินคนนี้กล้าหาญนัก ไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ด้วยวัยเท่านี้…”

“แต่เขายังอ่อนหัดเกินไป ไม่จำเป็นต้องประลองเลย ถ้าเขาแพ้จะขายหน้าเอา”

“ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะแพ้ เขาอายุเท่าไร แล้วชิวไท่ยิงอายุเท่าไร? ให้เวลาเขาสักสองสามปีถึงตอนนั้นชิวไท่ยิงไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะสู้กับเขา…”

“ไม่มีใครบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหรอก…”

“…”

เสียงถกเถียงกระจายออกไป มีคนจำนวนหนึ่งรู้สึกชื่นชมมู่เฉิน เช่นเดียวกับคนอีกจำนวนหนึ่งที่รู้สึกว่ามู่เฉินบุ่มบ่ามเกินไป ไม่สามารถควบคุมนิสัยตัวเองได้ ทำให้เกิดการอภิปรายทุกประเภทจนบริเวณนี้คึกคักด้วยเสียงดัง

ภายใต้ความวุ่นวาย ชิวไท่ยิงก็มองมู่เฉินบนลานพิธีด้วยสายตาเฉยเมยพลางคลี่ยิ้ม ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเขาดูเสแสร้งหลายส่วน

“แม่ทัพมู่เฉินใจกล้าจริงๆ”

มู่เฉินยิ้มบางไม่ได้เกรงกลัวสายตาของชิวไท่ยิง “ถ้าข้าไม่มีความกล้า บางทีข้าอาจมาได้ไม่ไกลขนาดนี้”

ชิวไท่ยิงไม่ได้โต้ตอบ เขาเก็บมือทั้งคู่ไว้ในแขนเสื้อ มองมู่เฉินอย่างใจเย็น ในแง่ของสถานะมู่เฉินกับเขาเท่าเทียมกันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ท่าทางของชิวไท่ยิงที่แสดงออกมา เห็นชัดว่าในใจเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนระดับเดียวกับมู่เฉิน

“ในเมื่อแม่ทัพมู่เฉินกล้าหาญชาญชัย ข้าก็จะสนองความต้องการให้ แต่หมัดแข้งขาไม่มีตา ข้าคงไม่อาจปรานีได้นะ” ชิวไท่ยิงเอ่ยช้าๆ

มู่เฉินยิ้มไม่ใส่ใจชิวไท่ยิง เขาหันกลับเดินตรงไปที่ฉินจงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกฝ่ายร่างโชกไปด้วยเลือด ซ้ำยังมีน้ำแข็งสีดำปกคลุมอยู่บนผิวหนังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนี่เป็นผลจากคลื่นหลิงเย็นเยือกของชิวไท่ยิงบุกรุกเข้ามาในร่าง

ฉินจงสัมผัสถึงมู่เฉินกำลังเดินมาหา รอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้า แต่ก่อนที่จะพูดอะไร มู่เฉินก็แตะมือเบาๆ บนแผ่นอกของฉินจง

“เจ้า?”

ฉินจงอึ้งไปก่อนจะสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินกำลังเข้าสู่ร่างของเขาเพื่อพยายามขับคลื่นหลิงเย็นเยือกออก นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาพูดขึ้นทันที “หยุดเดี๋ยวนี้! คลื่นหลิงเย็นนี้แข็งแกร่งเกินไป ถ้ามันเข้าสู่ร่างของเจ้า จะมีปัญหาได้นะ”

ชิวไท่ยิงยิ้มขณะมองภาพนี้ คลื่นหลิงของเขาเคยหลอมรวมกับผลึกจันทรา ทำให้มีพลังงานเย็นเยือกเป็นองค์ประกอบ แม้แต่จอมยุทธ์ในระดับเดียวกันก็ยังประสบปัญหาในการกำจัดออกเมื่อมันเข้าสู่ร่างกาย ส่วนมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ก็จะสูญเสียพลังต่อสู้อย่างสมบูรณ์หากมันเข้าสู่ร่างกายได้

ดังนั้นเมื่อเห็นมู่เฉินพยายามขับไอเย็นออกจากร่างฉินจง มุมปากของชิวไท่ยิงก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะขณะพึมพำ “ดื้อด้านเสแสร้งทำตัวเป็นคนดี…”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำเตือนของฉินจง เขาก็ยิ้มก่อนที่เพลิงสีม่วงจะพวยพุ่งออกจากฝ่ามือเข้าสู่ร่างกายอีกฝ่าย

ชี่! ชี่!

ควันขาวลอยออกจากศีรษะของฉินจง จากนั้นเขาก็ค้นพบอย่างน่าตกใจว่าไอเย็นในร่างกายถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว

“นั่น…เพลิงอมตะ?” ฉินจงสะท้านไปเล็กน้อยขณะมองมู่เฉิน ที่แท้คลื่นหลิงของมู่เฉินก็เคยหลอมรวมกับเพลิงอมตะนี่เอง มิน่าล่ะเขาถึงไม่กลัวไอเย็นของชิวไท่ยิง

มู่เฉินพยักหน้าถอนมือกลับ

ความปั่นป่วนกระจายมาจากรอบๆ ลาน ขณะที่พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด กลยุทธ์ของชายหนุ่มขุมพลังจื้อจุนขั้นสามน่าสะพรึงอย่างแท้จริง

“ขอบใจ”

ฉินจงยืนขึ้นช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าให้มู่เฉินอย่างซาบซึ้ง จากนั้นเขาก็เหลือบมองชิวไท่ยิงที่มีสีหน้าน่าเกลียดพลางเอ่ยเตือน “ระวังตัวด้วย เขาไม่ใช่โค่นลงได้ง่ายๆ นะ”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขารู้ว่าชิวไท่ยิงทรงพลังเพียงใด พูดตรงๆ แม้แต่โยวหมิงก็อาจสู้ไม่ได้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะเป็นฝ่ายชนะในวันนี้

แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเท่าไร ก็ไม่มีทางที่เขาจะถอย เนื่องจากฉินจงแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว หากเขายอมแพ้ ก็เท่ากับชิวไท่ยิงจะขึ้นเป็นผู้บัญชาการคนที่สิบ หากเกิดเรื่องนั้นขึ้น งานของเขาจะล้มเหลว เลือดเทพอสูรทั้งสิบชนิดก็จะกลายเป็นอากาศธาตุ ในอนาคตก็จะเป็นเรื่องยากในการฝึกคัมภีร์หลงเฟิ่ง

ซึ่งนี่เป็นอุปสรรคในเส้นทางของเขาที่จะแข็งแกร่งขึ้น

ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินหน้าต่อ

พอเห็นท่าทางแน่วแน่ของมู่เฉิน ฉินจงก็ไม่ได้พูดอะไรพลางตบบ่า ก่อนจะออกจากลานพิธีไป

“แม่ทัพมู่เฉินมีทักษะเหมือนกันนี่ มิน่าล่ะเจ้าถึงมีชื่อในศึกมังกรหงส์ได้” ชิวไท่ยิงมองมู่เฉินอย่างเฉยเมย

มู่เฉินยิ้มขณะจ้องชิวไท่ยิงพร้อมกับแสงวับวาวในม่านตาสีดำ

“แม้ข้าจะชื่นชมชายหนุ่มโดดเด่นอย่างเจ้า แต่ข้าไม่เคยออมมือให้คู่ต่อสู้หรอกนะ ในเมื่อเจ้าเลือกมายืนตรงนี้ ก็ต้องพร้อมที่จะจ่ายเพื่อมัน”

สายตาของชิวไท่ยิงเย็นชาลงขณะจับจ้องไปที่มู่เฉิน ก่อนจะเหยียดนิ้วชี้ไปหา “บนลานพิธีมอบยศราชัน ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย”

ตู้ม!

พร้อมกับคำพูดของชิวไท่ยิง พลังจื้อจุนขั้นห้าก็ระเบิดออกจากร่างเขาราวกับพายุ แรงกดดันทรงพลังราวกับคลื่นยักษ์ปกคลุมร่างมู่เฉิน

แรงกดดันทรงพลังห่อหุ้มมู่เฉินไว้ หากเป็นจอมยุทธุ์ขมพลังจื้อจุนขั้นสามทั่วไป พวกเขาคงสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ส่วนใหญ่ภายใต้แรงกดดันนี้แล้ว แต่ในดวงตาของมู่เฉินก็ยังไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เลย

มู่เฉินหลับตาลงช้าๆ เส้นผมสีดำงอกยาวอย่างรวดเร็วพร้อมกับทิ้งตัวลงมา เมื่อเขาลืมตาก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิมราวกับหลุมดำสองหลุมอุบัติขึ้น

สภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้น!

มู่เฉินกำหมัด คลื่นหลิงที่มีเพลิงสีม่วงกับสายฟ้าโปร่งแสงก็ปรากฏบนหมัดแต่ละข้าง ตอนนี้คลื่นหลิงที่มีพลังงานสองคุณลักษณะที่แตกต่างกันสิ้นเชิงได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ภายใต้สภาวะฤทัยปีศาจ

แรงกดดันที่ปกคลุมเข้ามาก็สลายหายไปในตอนนี้

ม่านตาของมู่เฉินที่ราวกับหลุมดำสองหลุมกำลังมองชิวไท่ยิงอย่างเฉยเมย ภายใต้สภาวะนี้เขามีสติและสมาธิอย่างสมบูรณ์ ไม่มีอะไรจากภายนอกสามารถสั่นคลอนจิตใจของเขาได้

เมื่อถูกดวงตาผิดปกติของมู่เฉินจ้องมอง ชิวไท่ยิงก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าพลังของเขาจะอยู่เหนือมู่เฉิน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตัว นั่นเป็นเพราะประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนบอกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลที่มู่เฉินอยู่ในสภาวะนี้

“ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ต่อให้ยังไงเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” ชิวไท่ยิงแค่นเสียงเย็นในใจ จากนั้นก็เลิกลังเลพลิกนิ้วออกไป ลำแสงคลื่นหลิงพุ่งออก ราวกับงูยักษ์กวาดตัวมาหามู่เฉิน คลื่นหลิงดำอัดแน่นไปด้วยไอเย็นเยือก

มู่เฉินถอยออกไป ในเวลาเดียวกันฝ่ามือซ้ายก็ตบออก คลื่นหลิงผสานเพลิงสีม่วงพวยพุ่งเข้าไปปะทะกับคลื่นหลิงสีดำ ขณะเดียวกันนั้นเขาก็กำหมัดขวาใส่ชิวไท่ยิงจากที่ไกล มีสายฟ้าโปร่งแสงแล่นแปลบปลาบระหว่างนิ้ว

ชิวไท่ยิงมองฝ่ามือขวาของมู่เฉิน สายตาก็หดลง ก่อนที่จะโต้กลับ เสียงฟ้าคำรามก็ได้ระเบิดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจเขา

ตึง!

เสียงฟ้าคำรามระเบิดทำให้ร่างของชิวไท่ยิงสั่นเทิ้ม คลื่นหลิงในร่างปรวนแปรไปหมด

วาบ!

มู่เฉินทะยานออกไปสุดแรง เคลื่อนผ่านจุดปะทะของคลื่นหลิงและหมัด เสาปีศาจปรากฏขึ้นในพริบตา ฟาดแบบไม่ยั้งใส่ร่างชิวไท่ยิงอย่างไม่ปรานี

แสงเย็นเยือกวาบขึ้นในดวงตาของชิวไท่ยิงขณะที่กระตุกร่าง คลื่นหลิงของเขาปะทะกันก่อเกิดเสียงดังสนั่นสยบเสียงสายฟ้าคำรามในร่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไปด้วยสีหน้าเย็นเยือก

ตึง!

ฝ่ามือสีดำของชิวไท่ยิงปะทะหนักกับเสาปีศาจที่ฟาดลงมา ทำให้เกิดระลอกมิติ พื้นดินใต้ร่างเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เขาก็ซัดเสาปีศาจกระเด็นออกไป กระทั่งมู่เฉินก็ลอยตามออกไปด้วยเช่นกัน

เท้าของมู่เฉินครูดไปกับพื้นเป็นทางยาว ใบหน้าไม่ปรากฏริ้วอารมณ์ใดๆ

“เจ้าไม่ได้แข็งแกร่ง แต่มีกลยุทธ์ประหลาดหลากหลาย ดูท่าเจ้าคงพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ในการสร้างความโดดเด่นในรุ่นของเจ้าสินะ แต่ข้าต้องบอกก่อนว่าการเผชิญหน้ากับพลังสมบูรณ์แบบ ลูกไม้พวกนี้ก็แค่ของเด็กเล่น!”

ใบหน้าของชิวไท่ยิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะถูกมู่เฉินเล่นงานเข้า ทำให้โทสะผุดขึ้นในใจ แค่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามไม่สามารถทำอะไรภายใต้ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าของเขาได้หรอก

ชิวไท่ยิงมองมู่เฉินอย่างเย็นชา จากนั้นร่างก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าช้าๆ คลื่นหลิงสีดำแผ่ซ่านออกจากร่างอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มองเห็นระลอกคลื่นกระจายออกไป

“คุกเย็นมหาจันทรา!”

ตราประทับในมือชิวไท่ยิงเปลี่ยนแปลง เขากำอากาศตรงทิศทางของมู่เฉิน พื้นดินเบื้องล่างมู่เฉินแตกออกพร้อมกับคลื่นหลิงสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อร่างเป็นคุกน้ำแข็งเย็นเยือกขังมู่เฉินไว้

“ตราประทับปิดน้ำแข็ง”

ชิวไท่ยิงยิ้มเย็น เขากำมือ คุกน้ำแข็งก็หดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ไอเยือกเย็นกัดกร่อนมู่เฉินอยู่ต่อเนื่อง ภายใต้กระบวนการนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ก็ต้องถูกแช่แข็ง

จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนส่ายหน้าด้วยความเวทนา ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามกับขั้นห้าช่างห่างเหินเหลือเกิน เมื่ออยู่ตรงหน้าแรงกดดันคลื่นหลิงเช่นนี้ ไม่ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากมายเท่าใดก็ยากที่จะสู้ไหว

ภายในคุกน้ำแข็ง ม่านตาของมู่เฉินราวกับหลุมดำมองไอเย็นที่กำลังกวาดเข้ามา ขณะที่เพลิงสีม่วงลุกโชนรอบกายเขา แต่ก็ทำได้เพียงต้านไอเย็นไว้ เพราะแม้เพลิงอมตะจะแข็งแกร่ง แต่พลังของมู่เฉินกับชิวไท่ยิงก็ห่างไกลกันหลายขุม

คลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามยังไม่เพียงพอที่จะให้มู่เฉินทำอะไรได้สบายต่อหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า

“ระดับจื้อจุนขั้นสามไม่พอเรอะ…”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จู่ๆ เขาก็หลับตาลงท่ามกลางสายตาตกตะลึง มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน

ในเมื่อขุมพลังจื้อจุนขั้นสามไม่พอ…งั้นก็บรรลุซะ