บทที่ 324
เสี่ยวไป๋
“อ่า! หยุดได้แล้ว” หลินฟางเฟ่ยกุมหัวตัวเองไว้ในมือพยายามที่จะป้องกันใบหน้าของตัวเองไว้ ในตอนนี้ เธอไม่กล้าที่จะมองหน้าองค์ชายฉิงอีกแล้ว ฟันของเธอสั่นเทอมด้วยความกลัวจนเกิดเป็นเสียงกระทบกัน
ในตอนนี้องค์ชายฉิงเป็นปีศาจในตาเธอแล้ว มันเลวร้ายมาก
องครักษ์ที่กำลังถือแส้พร้อมที่จะหวดไม่แสดงความเมตตาหรือเห็นใจเธอเลย
“อ่า” สุดท้ายหลินฟางเฟ่ยก็ทนไม่ไหวจนต้องสลบไป
“สาดน้ำเกลือเข้าไป” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา
ไม่นานเหล่าคนงานก็รีบถือถังน้ำเกลือเข้ามาสองถังและสาดไปที่ร่างของหลินฟางเฟ่ย เธอฟื้นด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาทันที ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ร่างกายทำให้เธออยากที่จะตาย สีหน้าของเธอซีดเซียว ฟันกัดกันแน่นและเธอก็จำได้แม่นกับทุกช่วงเวลา
“ลงมือ!”มันง่ายมากที่จะฆ่าผู้ไร้ค่าแบบนี้
คำสองคำนี้เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาทำให้หัวใจของหลินฟางเฟ่ยตื่นตระหนกอย่างที่สุด
“พอแล้ว ข้าบอก ข้าบอกว่า…” เธอหรี่ตาลง ตัวสั่นเทิ้มพร้อมนิ้วมือที่กำกันแน่น ริมฝีปากของเธอสั่นราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
หวังฉิงเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่องครักษ์สองคนเพื่อให้ถอยไป แล้วจึงลุกขึ้นและเดินลงมาใกล้ใบหน้าของหลินฟางเฟ่ยพร้อมทั้งพูดว่า “นางอยู่ที่ไหน?”
หลินฟางเฟ่ยขดตัวอยู่กับพื้น ร่างกายของเธอยุ่งเหยิงไปหมดและทั่วตัวก็อาบไปด้วยสีแดงของเลือด เมื่อเช้านี้เองที่ผมของเธอยังสวยได้รูปอยู่เลย แต่ตอนนี้มันยุ่งเหยิงไม่สมกับความเป็นผู้หญิงเลย ตอนนี้ไม่เหลือความสวยอีกแล้ว
“นาง…นางบอกว่ากำลังจะออกจากเมือง” หลินฟางเฟ่ยพูดด้วยความหวาดกลัว
อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรกับเธอ แต่เธอทนที่จะต้องถูกเฆี่ยนไม่ไหวอีกแล้ว เธออยากที่จะหลับไปตอนนี้เลย
หวังฉิงคุกเข่าลงพร้อมด้วยดวงตาดำมืดที่เปล่งประกายพร้อมถามออกมาว่า “นางจะออกจากเมืองแล้วไปที่ไหน?”
ร่างของหลินฟางเฟ่ยสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้งและในหัวก็รีบคิดข้ออ้างขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน
“นาง…นางบอกว่านางจะไปที่ดินแดนเฮ่ยเฉิน” หลินฟางเฟ่ยก้มหัวต่ำ ปกปิดสายตาตื่นเต้นแล้วพูดเสียงกระซิบออกมา
หวังฉิงลุกขึ้น ขมวดคิ้วและคิดอยู่ชั่วขณะ เขาไม่ได้สงสัยว่าหลินฟางเฟ่ยจะโกหก อันที่จริงเขาก็เดาไว้แล้วว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องไปที่นั่น ยังไงซะนางก็ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้ปกครองของดินแดนดำมืด
“หุบปาก” หวังฉิงพูดเสียงเบา
“ไม่นะ หวังฉิง ไม่นะ จักรพรรดินีรับสั่งว่าอยากที่จะให้ข้าเข้าพบพรุ่งนี้ หวังฉิง…” หลินฟางเฟ่ยรีบร้องออกมาทันที
ในตอนนี้เธอไม่กล้าที่จะพูดถึงเรื่องตำแหน่งองค์หญิงของเธอ เพราะอันที่จริงเธอก็เป็นคนผู้ที่จักรพรรดินีแต่งตั้งตำแหน่งให้ ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ที่แท้จริง เธอไม่คู่ควรที่จะเอาเรื่องนี้ออกมาพูดด้วยซ้ำ
บางทีอาจจะเพราะเรื่องนี้ถึงทำให้เธอกลายเป็นคนที่โด่งดังและได้รับเกียรติอย่างมาก สายตาของเธอค่อยๆมองสูงขึ้นและคิดว่าหวังฉิงคงไม่เหมาะกับเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่เคยที่จะคิดอะไรแบบนี้เลย
อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ได้คิดอะไรเยอะมาก เธอถูกอะไรบังตากันเนี่ย?! ในเวลานี้ความเย่อหยิ่งเป็นเรื่องที่แย่มากๆ
หวังฉิงหยุดเมื่อได้ยินคำว่าจักรพรรดินี ในที่สุดเขาก็นึกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือคนที่ท่านย่าพอพระทัยอย่างมาก
“ พานางไปส่งที่บ้านที” หวังฉิงพูดออกมาเสียงเรียบ
ท่านย่าของเขาแก่มากแล้วและเป็นเรื่องยากที่จะหาคนที่ถูกใจท่านได้
“เมื่อเจ้ากลับไปแล้ว ก็คงจะรู้นะว่าอะไรที่ควรและอะไรที่ไม่ควรพูด!” หวังฉิงมองไปที่หลินฟางเฟ่ยที่อยู่ที่พื้นอย่างเย็นชาแล้วพูดออกมา
หลินฟางเฟ่ยรีบพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง “ข้าจะไม่พูดอะไร ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ตราบใดที่เธอได้ออกไปจากที่นี่ เธอยอมที่จะทำทุกอย่าง
หวังฉิงเดินเข้าไปที่ห้องทำงานและนวดไปที่ขมวดที่กำลังปวด
ความรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจทำให้เขารู้สึกอยากจะเจอมู่เทียนอย่างที่สุด
ด้านนอกมีนายพลเดินเข้ามา “ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น ไม่ต้องมากพิธี สถานการณ์เป็นไงบ้าง? เจอตัวหรือยัง?” หวังฉิงถามอย่างกระหาย
ท่านนายพลลุกขึ้น สีหน้าหนักใจ “ฝ่าบาทไม่พบร่องรอยของผู้หญิงคนนี้เลยขอรับ”
หวังฉิงนั่งลงอย่างหมดแรง แล้วเขาจึงโบกมืออย่างเหนื่อยๆและพูดออกมาว่า “กลับไปและออกคำสั่งให้เพิ่มทหารตรวจตราที่ประตูเมือง ส่วนทหารทั้งหมดที่ค้นหาอยู่ในเมืองให้เรียกกลับมาให้หมด”
“ขอรับ ข้าจะรีบจัดการ”
หวังฉิงไม่ใช่คนที่จะละเลยหน้าที่สำคัญ เดาว่าการกระทำของเขาวันนี้คงจะกระจายไปถึงหูขององค์จักรพรรดิแล้ว
กองกำลังมีจำกัด มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะให้กองทหารของเมืองออกไปค้นหาตลอดเวลาในตอนนี้ คงจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกได้ไม่ยาก เขาดูแลเรื่องกองกำลังทหารมาทั้งชีวิตจนรู้ดีว่าถ้ามีคนแค่คนเดียวที่ทำงานได้ไม่ดี ก็จะนำไปสู่หายนะได้ไม่ยาก
นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดของทั้งสามดินแดนก็ยังมีเรื่องแปลกๆของลอร์ดแห่งดินแดนเฮ่ยเฟิงอีก คิดแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว บ้าจริง!!!
รอยยิ้มที่สดใสของนางเมื่อเช้านี้ยังชัดเจนอยู่ในความคิดของเขา คำพูดอ่อนหวานที่หาได้ยากทำให้เขาหลงรัก แต่เพียงแค่พริบตา นางก็หายไป
หวังฉิงสบัดแขนเสื้อเพื่อที่จะลุกขึ้นและยกโต๊ะน้ำชาพลิกคว้ำเสียงดัง “ปัง” สนั่นไปทั่ว
สาวใช้ที่อยู่รอบๆเขาต่างก็ทรุดลงไปกับพื้นไม่กล้าที่จะหายใจด้วยซ้ำ
หลายวันผ่านไป มู่หรงเสวี่ยอยู่ในมิติลับมา 30 ปีแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านไป เธอกับเฟิงจือหลิงก็ฝึกวิชากันอยู่ในมิติลับ ถึงแม้จะไม่มีทางเอาออกไปใช้ได้แต่มันก็ดีกว่าถ้าเธอจะได้เพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
วันเวลาของการฝึกตนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่ได้เข้าไปทำสมาธิพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งไม่กี่ทศวรรษก็ผ่านไปแล้ว
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รบกวนเฟิงจือหลิงที่ยังฝึกอยู่อย่างสันโดษ เธอเพียงแค่เดินออกมาอย่างเงียบๆเพื่อมาตรวจดูสถานการณ์ของโรงเตี๊ยมด้านนอกมิติลับ
แต่ในมิติลับก็ยังมีขอบเขตการมองเห็นที่จำกัด จึงไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นยังไงบ้างแล้ว เธอเพียงแค่รู้ว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเท่านั้น
มู่หรงเดินไปหาเสี่ยวไป๋และเตะไปที่เขาที่ยังนอนหลับอยู่
“บ้าเอ่ย ใครกล้ามาเตะข้าเนี่ย?” เสี่ยวไป๋ที่นอนอยู่ที่พื้นแตะไปที่หัวแล้วก็รีบลุกขึ้นมาร้องคำรามทันที
มู่หรงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา จ้องมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ข้าเอง จะทำไงเหรอ?”
“จู่ๆเจ้าเป็นอะไรกันเนี่ย?” เสี่ยวไป๋พูดโดยไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร
มู่หรงเสวี่ยยกเท้าขึ้นมาและแตะไปที่เขาอีก
“ทำไมเจ้าถึงได้กินกับนอนอยู่ตลอดทั้งวันเนี่ย?” มู่หรงเสวี่ยกรอกตา
เสี่ยวไป๋ส่ายหัวอย่างหลงตัวเอง “ขนาดข้ากินกับนอนทั้งวัน แต่ระดับการฝึกตนของข้าก็ยังสูงกว่าเจ้าอยู่ดี ทำไมเหรอ? อิจฉาข้าหรือไง?”
“อย่ามาพูดอะไรไร้สาระ เจ้าคือคนเดียวในพวกเราสามคนที่ยังไม่เคยมีใครเห็นหน้า ตอนนี้ถึงเวลาของเจ้าแล้ว”
ถ้าให้เสี่ยวไป๋ใส่กำไลออกนอกเมือง คงไม่มีใครคิดหรอกว่าพวกเธอจะอยู่ในกำไล
“ข้างั้นเหรอ?” เสี่ยวไป๋ชี้ไปที่ตัวเองอย่างประหลาดใจ
“แน่นอน ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครล่ะ ข้าจะออกไปกับเจ้าแล้วข้าจะสร้างกำไลขึ้นมาเพื่อให้เจ้าใส่ออกไปนอกเมืองอย่างปลอดภัย” มู่หรงเสวี่ยอธิบายเสียงเรียบๆ
เสี่ยวไป๋พยักหน้า “ตกลง”
มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวไป๋ออกมานอกมิติลับพร้อมกันแล้วเธอก็ยื่นปึกตั๋วสีเงินให้เสี่ยวไป๋ “นี่เป็นเงิน เจ้าเอาไปใช้ได้ ยังไงซะเจ้าก็เอาอะไรออกมาจากมิติลับไม่ได้ ถ้าเจ้าหิวก็ซื้ออะไรที่อยากกินจากข้างนอกเอาแล้วกัน ข้าจะคอยดูสถานการณ์ของเจ้าจากในมิติลับแล้วจะออกมาถ้ามีอะไรจำเป็น”
เธออธิบายเรื่องสถานการณ์ให้เสี่ยวไป๋ฟัง รวมทั้งเรื่องที่ข้างนอกอาจจะมีทหารค้นหาด้วยแล้วเธอก็เปลี่ยนกำไลมิติลับที่อยู่ในมือให้กลายเป็นล่องหน
“ข้าจะกลับเข้าไปแล้ว ระวังตัวด้วย ดูแลให้กำไลปลอดภัย”
“ไม่ต้องห่วง อย่างกังวลเรื่องฝีมือข้าเลย” เสี่ยวไป๋แตะไปที่อกตัวเองและพูดเพื่อให้มั่นใจ
มู่หรงขมวดคิ้ว เธอมั่นใจไม่ลงเลยจริงๆ นิสัยของเสี่ยวไป๋ปกติก็ไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือเท่าไรอยู่แล้ว เขาสนใจแต่เรื่องกินกับนอนเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตามู่หรงก็หายกลับเข้าไปในมิติลับ
“แกร๊ง” เสียงกำไลร่วงลงกับพื้น
เสี่ยวไป๋ค่อยๆหยิบกำไลขึ้นมาอย่างระวังแล้วจึงสวมเข้าไปที่ข้อมือตัวเอง ดึงแขนเสื้อลงแต่ก็ยังคงเห็นลำแสงจางๆอยู่นิดหน่อย
เขาแกล้งทำเป็นจัดการเสื้อผ้า แล้วจึงเปิดประตูและเดินออกไป
เจ้าของโรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อต่างก็จ้องมาที่ชายหนุ่มที่เดินลงมาจากชั้นบน นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?! ชายคนนี้เข้ามาพักกับพวกเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน เพราะโรงเตี๊ยมค่อนข้างที่จะเงียบ พวกเขาจึงจำแขกทุกคนได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ชายที่อยู่ตรงหน้ามีร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อคลุมสีฟ้า เสื้อคลุมปักลวดลายเรียบง่ายหลายแบบด้วยด้ายสีเงิน เขาดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 20 พร้อมด้วยริมฝีปากบางและรอยยิ้ม ดวงตาสีฟ้าของเขาเหมือนดั่งทะเลกว้าง ผมที่ยาวสลวยทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยน ซึ่งดูสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ
เสี่ยวไป๋ไม่สนใจท่าทางที่ตื่นตะลึงของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงเดินตรงไปที่ประตู และทันใดนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ได้สติกลับมาทันที
“ท่านลูกค้า ท่านเป็นใครกันเหรอ?” เจ้าของโรงเตี๊ยมเดินออกไปถาม
เสี่ยวไป๋รู้สึกรำคาญอยู่สักพัก ทำไมเขาไม่เดินให้เร็วกว่านี้นะ
“อะไรนะ? มันยากนักหรือไงที่จะไปเช็กเรื่องนี้กับเอกสารการลงทะเบียน?” เจ้าลูกบอลสีขาวชำเลืองสายตาที่เย็นชาไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยมและถามออกไป
“ไม่ใช่ขอรับท่าน ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อนเลย แต่จู่ๆท่านกลับลงมาจากชั้นบนได้อย่างไรกัน?” เจ้าของโรงเตี๊ยมถาม
เสี่ยวไป๋กลอกตา “ก็แค่เดินลงมาจากชั้นบนเอง” แล้วก็ส่ายมือเบาๆให้เจ้าของโรงเตี๊ยมหลีกทางไป
ถึงแม้เจ้าของโรงเตี๊ยมจะรู้สึกว่ายังอยากที่จะถามต่อ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเดินตามเสี่ยวไป๋ไปจึงทำได้เพียงยอมแพ้ไป
มันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันที่จู่ๆเด็กสาววันนั้นก็หายตัวไป แล้วไม่กี่วันต่อมาก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นมาแทน โลกนี้มันช่างหลอกลวงจริงๆ เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
เพราะสถานที่นี้อยู่ห่างไกลมาก เสี่ยวไป๋จึงหารถม้าไม่ได้เลยดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินไปรอบๆอย่างช้าๆ ทำให้มู่หรงที่เฝ้าดูอยู่ในมิติลับกระโดดไปทั่ว เจ้าลูกบอลสีขาวนี่คิดว่าตัวเองกำลังมาเที่ยวอยู่หรือไงนะ?!!
อันที่จริงเขารู้สึกอยากจะเดินเข้าไปที่แฝงอาหารเพื่อที่จะชิมอาหารแสนอร่อย
ในเมืองไม่มีกองกำลังทหารที่ออกค้นหาแต่ที่ประตูเมืองกลับมีทหารเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา ทุกคนที่เข้าออกเมืองจำเป็นต้องแจ้งที่อยู่และรายละเอียดข้อมูลของตัวเองอย่างละเอียด พร้อมต้องยืนยันเรื่องสถานที่ที่จะไปด้วยไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคุมขังทันที
เหตุผลของการตรวจสอบอย่างละเอียดขนาดนี้ก็เพราะจู่หวังฉิงก็นึกขึ้นมาได้ว่ามู่หรงเสวี่ยสามารถที่จะกลายร่างเป็นผู้ชายได้และก็ยังหาตัวเฟิงจือหลิงไม่เจอด้วย
เพื่อที่จะป้องกันมู่เทียนจากการใช้ตัวตนอื่นเพื่อหนีออกจากเมือง เขาจึงกำชับกับทหารที่เฝ้าประตูเมืองเป็นพิเศษ