หลังจากการพูดคุยกับเยี่ยจิ่งเหวินในเบื้องต้น โม่เทียนเกอเริ่มได้รับสิ่งต่างๆ จากเขาบ่อยมากขึ้น บางครั้งก็เป็นหนังสือที่เขาสะสมอยู่ และบางครั้งก็เป็นบันทึกเกี่ยวกับความรู้และประสบการณ์ของเขา ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับนาง 

 

 

ความจริงแล้วเมื่อนึกย้อนไปถึงอดีต ตอนที่เยี่ยจิ่งเหวินตีสนิทกับท่านอารองและดึงนางเข้าไปใกล้ชิดด้วย เขาอาจทำมันด้วยเจตนาที่จะทำให้ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งพอใจ อย่างไรก็ตามเยี่ยจริงเหวินก็ไม่ได้ทำร้ายพวกเขา แม้กระทั่งตอนนี้หลังจากที่รู้ว่าโม่เทียนเกอได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมา เยี่ยจิ่งเหวินดูแลนางอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทุกวันนี้โม่เทียนเกอจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา 

 

 

ด้วยการชี้แนะจากท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน โม่เทียนเกอฝึกตนได้อย่างราบรื่น เพียงไม่กี่เดือนพลังวิญญาณในร่างกายของนางก็ได้กลายสภาพเป็นพลังวิญญาณแห่งหยิน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังพัฒนาไปมากทางด้านการปรุงยาวิเศษ ถึงแม้ว่านางจะเสียวัตถุดิบต่างๆ ไปมากมาย แต่นางก็ยังสามารถปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้บ้างก่อนที่วัตถุดิบของนางจะหมดสิ้น 

 

 

เมื่อนางสามารถปรับอำนาจจิตของนางได้แล้ว นางก็ได้รายงานกลับไปยังท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเพื่อบอกเขาว่านางต้องการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลัง 

 

 

ภายในห้องโถงของถ้ำเซียนท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน 

 

 

โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยยืนอยู่ด้วยกันตรงกลางห้อง บนพื้นต่างระดับด้านหน้าพวกนางท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินกำลังนั่งขัดสมาธิ ศิษย์ของเขานับไม่ถ้วนต่างยืนรายล้อมอยู่ทั้งสองฝั่งของห้องโถง บางคนยิ้มให้พวกนางในขณะที่บางคนก็แค่ยืนเฉยๆ  

 

 

เวลาผ่านไปนาน ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินลืมตาขึ้นในที่สุดและจ้องมองที่นางทั้งสอง 

 

 

โม่เทียนเกอดูสงบนิ่งในขณะที่หลัวเฟิงเสวี่ยดูตื่นเต้นเล็กน้อย 

 

 

วันนี้พวกนางจะปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลัง นี่นับได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญเมื่อกลับกลายเป็นว่าหลัวเฟิงซูววางแผนมานานแล้วที่จะสร้างฐานแห่งพลังในช่วงเวลานี้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตัดสินใจเริ่มในวันเดียวกัน 

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมองดูพวกนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูด “เจ้าทั้งสองคน… ระดับการฝึกตนของพวกเจ้าได้เข้าสู่จุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว ด้วยการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังในวันนี้ พวกเจ้ากำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่อีกระดับหนึ่งของการฝึกตน ข้ายินดียิ่งนัก”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยคุกเข่าลงพร้อมพูด “ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับคำชี้แนะตลอดที่ผ่านมา”  

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ยโม่เทียนเกอจึงทำตาม ถึงแม้ว่าตามหลักแล้วนางจะไม่ใช่ศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน แต่เขาก็ได้สอนนางตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงถือหลักปฏิบัติในฐานะอาจารย์และศิษย์เช่นกัน 

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มและพูดว่า “หลังจากที่เจ้าสองคนเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ข้าจะคอยเฝ้าดูพวกเจ้าด้วยจิตสัมผัสของข้า ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ข้าจะบอกให้พวกเจ้าหยุดเอง ดังนั้นเจ้าจงตั้งใจในการสร้างฐานแห่งพลังไปและไม่ต้องกังวลอะไรภายในจิตใจของเจ้า”  

 

 

โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยพูดโดยพร้อมเพรียงกัน “ขอบคุณท่านอาจารย์ลุงเจ้าค่ะ”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าและส่งสัญญาณให้พวกนางยืนขึ้น เขาหยิบขวดหยกสองขวดออกมาจากเสื้อคลุมและสั่งให้ศิษย์พี่ใหญ่หันชิงอวี้ที่ยืนอยู่ข้างเขายื่นขวดให้พวกนาง “ขวดพวกนี้คือยาเสริมพลังใจที่ท่านปรมาจารย์มอบให้พวกเจ้า พวกมันอาจจะช่วยรวบรวมพลังวิญญาณ ทานยานี้ก่อนที่เจ้าจะทานยาสร้างฐานแห่งพลัง”  

 

 

“เจ้าค่ะ”  

 

 

“เอาละ พวกเจ้าไปได้” ท่านอาจารย์เสวียนอินพูดก่อนที่จะหลับตาลง 

 

 

โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยคำนับทำความเคารพก่อนที่จะออกไป 

 

 

“เทียนเกอ” ระหว่างทางกลับ หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความกังวล “เจ้ามั่นใจแค่ไหนในการสร้างฐานแห่งพลัง”  

 

 

โม่เทียนเกอผู้ที่หัวใจสงบนิ่งอย่างไม่คาดคิด ส่ายหัวเบาๆ พร้อมพูด “ข้าไม่มั่นใจเลย”  

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของนาง หลัวเฟิงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก นางสารภาพอย่างเงียบๆ “บอกตามตรง ข้ากลัวมาก ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนที่มากความสามารถตั้งแต่สมัยยังเด็กเมื่อเทียบกับสหายของเขา ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะไม่มีปัญหาในการสร้างฐานแห่งพลัง แต่กลับผิดคาดเขาล้มเหลวถึงสองครั้งและสุดท้ายถูกแทรกแซงจากมารภายใน แล้วเขาก็ฆ่าตัวตาย…”  

 

 

โม่เทียนเกอสะดุ้ง นางรู้ว่าคนที่ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่ได้มีต้นทุนทางธรรมชาติที่แย่เลย อย่างเลวร้ายที่สุดพวกเขาก็มีรากวิญญาณสองธาตุ ในเมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่าพี่ชายของนางนั้นมีความสามารถมาก ต้นทุนทางธรรมชาติของเขาจะต้องดีกว่ารากวิญญาณสองธาตุแน่นอน แต่เขาก็ยังมีปัญหาที่ไม่คาดคิดในการสร้างฐานแห่งพลัง… 

 

 

เป็นอย่างที่โม่เทียนเกอคาดคิด เฟิงเสวี่ยพูดว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะโชคดีที่มีรากวิญญาณสองธาตุ ตั้งแต่สมัยที่ข้ายังเด็ก ข้าไม่อาจเทียบได้กับพี่ชายเลย ความจริงแล้วเมื่อสามปีก่อนข้าสามารถเริ่มสร้างฐานแห่งพลังของข้าได้แล้วแต่เพราะจิตใจของไม่มั่นคงท่านอาจารย์จึงบอกให้ข้ารออีกสักสองสามปี ข้ากลัวการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิครั้งนี้เหลือเกิน”  

 

 

โม่เทียนเกอพูดอย่างปลอบโยน “ศิษย์พี่หลัวอย่าได้กังวลไป การสร้างฐานแห่งพลังไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จกันได้ง่ายๆ ไม่ว่าผู้นั้นจะมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ยังไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนยันได้ว่าจะประสบความสำเร็จเพียงแค่ในครั้งแรกครั้งเดียว แล้วถ้าท่านล้มเหลวสองครั้งจะเป็นอะไรไปล่ะ พวกเราอายุยังน้อย ต่อให้พวกเราล้มเหลวหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หรือแม้กระทั่งหกครั้ง สุดท้ายแล้วมันจะต้องมีสักวันที่พวกเราทำสำเร็จ”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกสงบลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินโม่เทียนเกอพูด นางฝืนยิ้มและบอก “ที่เจ้าพูดมันก็เข้าใจได้ ข้าอายุเพียงแค่ยี่สิบสองปีตอนนี้และโรงเรียนก็ให้ยาสร้างฐานแห่งพลังทุกสามปี ถึงแม้ว่าข้าจะต้องใช้ยาสิบเม็ดก่อนที่ข้าจะประสบความสำเร็จ ข้าก็จะอายุเพียงแค่ห้าสิบกว่าเท่านั้น”  

 

 

“ถูกต้องแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มและพูดต่อ “ถึงแม้จะเป็นในหมู่ศิษย์ระดับหัวกะทิ จะต้องมีหลายคนแน่ที่สร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาในช่วงอายุสี่สิบหรือแม้กระทั่งห้าสิบถูกไหม อย่าเป็นอย่างพี่ของเจ้า เขามีต้นทุนทางธรรมชาติที่ดีก็จริงและจะต้องประสบความสำเร็จได้แน่นอนถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาพ่ายแพ้ต่อมารภายในจิตใจของเขา”  

 

 

ระหว่างที่พวกนางพูดคุยกัน ก็มาถึงที่ถ้ำโดยไม่รู้ตัว หลัวเฟิงเสวี่ยสูดหายใจลึกหลังจากนั้นจึงยื่นมือออกไปให้โม่เทียนเกอ 

 

 

เข้าใจถึงเจตนาของนางได้ดี โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปจับมือของหลัวเฟิงเสวี่ยเช่นกัน ทั้งสองคนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน “พวกเราจะเจอกันอีกครั้งในครึ่งปี”  

 

 

เมื่อนางกลับถึงถ้ำ โม่เทียนเกอตัดสินใจอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและจุดธูป หลังจากที่จิตใจของนางสงบลงเต็มที่แล้วนางจึงนั่งลงและเริ่มทำสมาธิ 

 

 

พลังวิญญาณของนางเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ผ่านเส้นลมปราณของนางจนเข้าไปถึงตานเถียน 

 

 

นางปล่อยจิตให้ว่าง ปลดปล่อยทุกสิ่งที่ควบคุมความนึกคิดของนาง อย่างช้าๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย นางค่อยๆ ได้ยินเสียงลมจากภายนอกถ้ำ และจิตสัมผัสของนางค่อยๆ แยกออกจากสายลม นางยังรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยไปพร้อมกัน กลิ่นของดอกไม้และพืชพรรณ กลิ่นหอมหวานของพื้นโลก… ทีละอย่างค่อยๆ จู่โจมจิตของนาง จนในที่สุดนางก็ไม่ได้ยินและไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีก มีเพียงแค่โลกที่ว่างเปล่ากว้างขวาง และมืดมนถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 

 

 

ชั่วขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอทานยาเสริมพลังใจเป็นอย่างแรก และต่อมานางจึงทานยาสร้างฐานแห่งพลัง ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด และยาเกลาฐานแห่งพลัง 

 

 

เมื่อยาสร้างฐานแห่งพลังตกถึงท้อง นางก็รู้สึกเหมือนมีไฟที่ลุกไหม้พร้อมกับเสียงปะทุอยู่ภายในตานเถียนของนางขณะที่เส้นใยของพลังวิญญาณที่ครอบงำระเบิดอยู่ภายในตานเถียนและท่องไปในเส้นลมปราณของนาง 

 

 

พลังวิญญาณนี้มีอำนาจมากเหลือเกิน เพียงครู่เดียวโม่เทียนเกอก็เริ่มสับสนว่าจะต้องทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินตะโกนจากภายในจิตใจของนาง “สงบสติ! อย่าไปต่อต้านมัน! ควบคุมและนำทางมันไปช้าๆ!”  

 

 

เสียงเตือนของเขาทำให้โม่เทียนเกอสงบลงทันที นางรีบทำตามคำชี้แนะของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินและใช้พลังวิญญาณของตัวเองในการนำทางพลังที่ถูกครอบงำ ในตอนต้นพลังที่ถูกครอบงำต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด นางทำได้แค่ควบคุมมันในบางส่วนด้วยความยากลำบาก ในที่สุดการควบคุมของนางก็ถูกมันเข้ายึดครอง อย่างไรก็ตามนางยังไม่หมดกำลังใจและละความพยายาม สุดท้ายนางสามารถควบคุมส่วนเล็กๆ ของมัน อย่างช้าๆ นางก็สามารถเพิ่มการควบคุมเหนือมันได้ 

 

 

นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปมากแค่ไหนแล้ว แต่ในที่สุดนางก็สามารถควบคุมพลังวิญญาณที่ถูกครอบงำไว้ได้จนหมด และชี้นำมันให้โจมตีต่อเส้นลมปราณของนาง เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ความเจ็บปวดที่นางรู้สึกนั้นหาที่เปรียบเทียบมิได้ 

 

 

เส้นลมปราณของนางขยายเป็นวงกว้าง รู้สึกเหมือนกับว่าทุกๆ อณูของเส้นลมปราณของนางแตกเป็นเสี่ยงๆ และซ่อมแซมตัวเองกลับมาในทันทีทันใด เมื่อเกิดการโจมตีครั้งต่อไป เส้นลมปราณของนางก็แตกอีกครั้งแต่ภายใต้ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากขั้นตอนการแตกสลายและคืนกลับนี้ เส้นลมปราณของนางก็ค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น 

 

 

สิ่งปนเปื้อนภายในร่างกายของนางต่างกระจัดกระจายทีละเล็กทีละน้อยจากกระบวนการนี้จนในที่สุดก็ถูกขับออกไปจากร่างกายของนาง 

 

 

ตลอดช่วงกระบวนการทั้งหมดนี้ ตานเถียนของนางใกล้จะพังทลาย เกือบที่จะไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณที่ใหญ่โตมโหฬาร อย่างไรก็ตาม เพราะยังมีพลังอื่นที่ช่วยบังคับให้มันคงตัว จึงทำให้คงอยู่ต่อไปได้ 

 

 

โม่เทียนเกอไม่รู้ตัวมาก่อนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินที่กำลังคอยมองนางอยู่จากจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขา 

 

 

ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งอยู่บนตั่งมังกร บ่นพึมพำกับตัวเอง “เด็กคนนี้ไม่ได้ซื่อสัตย์นัก ความจริงแล้วนางสามารถทนได้อย่างง่ายดายเมื่อเกิดการระเบิดของพลังวิญญาณในช่วงเวลาสร้างฐานแห่งพลัง… นางจะต้องใช้ยาวิเศษอื่นๆ ด้วยแน่นอน…”  

 

 

ฉินซีนั่งอยู่ข้างๆ เขา และชำเลืองมองมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเท่านั้น 

 

 

โม่เทียนเกอกัดฟันและอดทนกับความเจ็บปวด นางเริ่มคุ้นเคยกับความเจ็บปวดจากฤทธิ์ของยาสรา้งฐานแห่งพลังแล้ว แต่ตานเถียนของนางยังไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณเอาไว้ได้ 

 

 

นางรู้ว่านี่จะต้องเกี่ยวข้องกับต้นทุนทางธรรมชาติของนางเป็นแน่ ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเคยกล่าวเอาไว้ว่ายิ่งต้นทุนธรรมชาติคนของนั้นดีเท่าไหร่ ตานเถียนก็จะยิ่งดูดซับพลังวิญญาณได้เร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่านางจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่าตานเถียนของนางจะสามารถปรับตัวกับพลังของพลังวิญญาณที่โจมตีและจะสามารถดูดซับพลังนั้นไว้ใช้เองได้หรือไม่ 

 

 

ผ่านไปหนึ่งเดือน โม่เทียนเกอยังคงอดทนอยู่กับความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ 

 

 

ผ่านไปสองเดือน พลังในการโจมตีค่อยๆ อ่อนแอลงและตานเถียนของนางเริ่มคงตัว 

 

 

ผ่านไปสามเดือน ประสิทธิภาพของยาสร้างฐานแห่งพลังภายในร่างกายของโม่เทียนเกอเริ่มลดลงอย่างช้าๆ  

 

 

จิ้งเหอฉินจิ้งเหอถอนใจอย่างแผ่วเบา “ช่างน่าเสียดายจริง สิ่งที่น่าจะเป็นความสามารถขั้นเทพในยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น ยังไม่สามารถผ่านอุปสรรคในการสร้างฐานแห่งพลังในตอนนี้ได้เลย”  

 

 

ถึงแม้ว่าฉินซีจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีนัก 

 

 

พวกเขาต่างรู้ว่าโม่เทียนเกอล้มเหลว นางอดทนต่อแรงกดดันของเส้นลมปราณของนางได้ แต่นางไม่สามารถดูดซับประสิทธิภาพของยาสร้างฐานแห่งพลังไว้ได้ทั้งหมด ตานเถียนของนางไม่สามารถขยายได้ ดังนั้นมันก็จะไม่สามารถทนต่อพลังวิญญาณของดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังได้เช่นกัน 

 

 

“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าคิดอะไรอยู่”  

 

 

หลังจากที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉินซีก็ตอบกลับมาว่า “ถ้านางได้ฟื้นคืนวิชาการฝึกตนที่หายไปในยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น แล้วนางจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังหรือแม้กระทั่งการก่อขุมพลังและสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้ง่ายอย่างนั้นหรือ”  

 

 

จิ้งเหอฉินจิ้งเหอตกใจ เขาจึงตอบกลับ “โดยหลักการแล้วมันเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถยืนยันได้ สุดท้ายแล้วสภาพแวดล้อมของยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้นนั้นแตกต่างอย่างมากกับตอนนี้ วิชาการฝึกตนแบบเก่าอาจจะไม่เหมาะสมกับเส้นเลือดวิญญาณของเราในตอนนี้ก็เป็นได้”  

 

 

ผ่านไปหกเดือน โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น 

 

 

พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางลดน้อยลงจนเกือบหมด แต่ระดับการฝึกตนของนางไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ไม่ต้องพูดถึงดินแดนถัดไปเลย 

 

 

ถึงแม้นางจะรู้ตัวว่าล้มเหลว นางก็เพียงแค่ถอนใจ นางไม่ได้รู้สึกผิดหวังเนื่องจากนางได้เตรียมตัวมานานที่จะต้องพบกับความล้มเหลวแล้ว ด้วยรากวิญญาณห้าธาตุที่เป็นต้นทุนธรรมชาติของนาง ถึงแม้นางจะใช้ยาพิเศษและยาวิเศษต่างๆ มันก็ยังคงยากที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังในการลองครั้งเดียว พี่ชายของหลัวเฟิงเสวี่ยมีต้นทุนทางธรรมชาติที่ดีกว่านางหลายเท่าตัวนัก แต่เขายังล้มเหลวต่อเนื่องถึงสองครั้งเลยมิใช่หรือ 

 

 

โม่เทียนเกอรีบดึงสติของตัวเองกลับคืน เมื่อนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเปรี้ยวบนร่างกายของนาง นางขมวดคิ้ว ยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องปรุงยา ในห้องปรุงยานางถอดเสื้อผ้าของนางออกและล้างตัวในบ่อน้ำพุ 

 

 

เมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของนางในช่วงการสร้างฐานแห่งพลัง มันได้ชำระล้างไขกระดูกของนางไปด้วย ถึงแม้ว่านางจะล้มเหลวในการสร้างฐานแห่งพลัง แต่พลังวิญญาณในร่างกายนางก็บริสุทธิ์ขึ้นและไม่ได้มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ภายในแม้แต่น้อย ต่อไปในอนาคตเมื่อนางสร้างฐานแห่งพลังอีกครั้ง นางก็ไม่จำเป็นต้องผ่านอุปสรรคของการเปลี่ยนแปลงกล้ามเนื้อในร่างกายและการชำระล้างไขกระดูกอีก 

 

 

น้ำพุชะล้างคราบที่ตกค้างบนร่างกายของนางและพลังวิญญาณช่วยฟื้นคืนความแข็งแรงกลับมา เมื่อได้ทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ออกไป นางรู้สึกว่าผิวสะอาด นุ่มและละเอียดอ่อนขึ้น 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ โม่เทียนเกอก็ยังรู้สึกมีความสุข นางไม่ได้ทานยาสร้างฐานแห่งพลังโดยที่ไม่ได้รับอะไรเลย ทั้งร่างของนางรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายยิ่งขึ้น 

 

 

เมื่อนางใส่เสื้อผ้าและหวีผมพร้อมเกล้าผมมวย โม่เทียนเกอก็เดินออกจากถ้ำไป 

 

 

ภายนอกถ้ำ เยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างอยู่ พวกเขาหันมองมาทางโม่เทียนเกอทันทีเมื่อร่างของนางปรากฏขึ้น 

 

 

นางยิ้มและเรียก “ศิษย์พี่หลัว พี่ใหญ่เยี่ย”  

 

 

ทั้งสองคนดูผิดหวังเมื่อเห็นนาง หลัวเฟิงเสวี่ยจับมือของนางดูเหมือนกับต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบนาง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ไม่ได้พูดอะไรในที่สุด 

 

 

โม่เทียนเกอเพียงแค่ตบมือหลัวเฟิงเสวี่ยเบาๆ และยิ้ม หลัวเฟิงเสวี่ยสร้างฐานแห่งพลังของนางได้สำเร็จ อย่างน้อยนางก็มีข่าวดี 

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มเมื่อเห็นท่าทางที่ผ่อนคลายของโม่เทียนเกอเช่นกัน เขาพูด “อย่าได้กังวลไป ยังคงมีโอกาสสำหรับเจ้าอยู่ในภายภาคหน้า”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมพูดว่า “อือ ขอบคุณท่านมากพี่ใหญ่เยี่ย ข้าไม่ยอมแพ้หรอก” หลังจากนั้นนางจึงหันไปทางหลัวเฟิงเสวี่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หลัว ยินดีกับท่านด้วย”  

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยถอนใจอย่างโล่งอก แต่นางยังคงมีท่าทางที่สับสนปนเปอยู่บนสีหน้า นางดูไม่มีความสุขเสียเลย เพราะนางรู้สึกว่าร่าเริงยินดีในความสำเร็จของนางต่อหน้าโม่เทียนเกอผู้ซึ่งล้มเหลวมันคงจะทำให้นางรู้สึกน้อยใจ 

 

 

โม่เทียนเกอผู้ซึ่งไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลยถามนาง “ศิษย์พี่หลัว ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินอยู่ที่ถ้ำของท่านหรือเปล่า”  

 

 

“ท่านอยู่” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบ “ท่านอาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่ เจ้าอยากจะไปพบท่านก่อนหรือเปล่า”  

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยพาพวกเขาไปที่ถ้ำเซียนของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ไม่นานพวกเขาทั้งสามก็ถึงที่หมาย 

 

 

“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ลุง ศิษย์ล้มเหลวและทำให้ท่านผิดหวัง”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินลืมตาและพินิจพิเคราะห์นางก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ สิ่งที่แย่คือการขาดความมั่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีตราบใดที่เจ้าไม่ยอมแพ้”  

 

 

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ลุงวางใจได้ ศิษย์ไม่ได้รู้สึกเศร้าสลดเพียงเพราะล้มเหลวแค่ครั้งเดียว”  

 

 

“อย่างนั้นก็ดี เจ้าควรเตรียมตัว ท่านปรมาจารย์ต้องการพบเจ้า”