ตอนที่ 526
เป้าหมายของแต่ละคน
“พี่หลานฮวา ท่านอยากได้ผลึกฟ้าเหมันต์ไปทำอะไรงั้นหรือ”ผิงกั่วถามขณะกำลังนั่งอยู่บนรถม้าร่วมกันกับหลานฮวาผู้รับปากว่าจะไปส่งนางที่อาณาจักรไป๋เมื่อสักครู่นี้เอง
“เจ้าอย่าพูดออกมาเสียงดังนักสิ ที่นี่มีคนตั้งมากมายที่เดินทางมาเพื่อสิ่งนั้น”หลานฮวาว่าพลางเตือนผิงกั่วที่ถามออกมาตรงๆด้วยท่าทีหวาดระแวง เพียงเห็นผิงกั่วเอาออกมาให้เห็นชายหนุ่ม 3 คนก่อนหน้านี้ก็ลงมือเข้ามาชิงทันทีแล้ว ขืนพูดออกมาว่าตนเองมีผลึกฟ้าเหมันต์ครอบครองเอาไว้มีหวังโดนดักชิงของแน่ๆ
“ขอโทษเจ้าค่ะ แต่ท่านะเจ้าเอาไปทำอะไรงั้นหรือ ข้าสงสัยจริงๆนะ”ผิงกั่วว่าพลางกะพริบตาปริบๆด้วยท่าทีสำนึกผิด
“ข้าจะนำมันไปสร้างอาวุธวิเศษ”หลานฮวาตอบพลางแสดงสีหน้าจริงจังออกมา แถมรอบๆตัวยังมีจิตสังหารโผล่ออกมาอีกต่างหาก ทำเอาม้าที่กำลังลากรถอยู่พากันมีท่าทีแตกตื่นทำให้คนขับรถม้าต้องรีบบังคับให้พวกมันสงบลงทันทีเช่นเดียวกับหลานฮวาที่ลดจิตสังหารลงไม่ให้ไปรบกวนพวกม้าอีก
“อาวุธวิเศษ….”ผิงกั่วเอียงคอสงสัย นางอาศัยอยู่แต่ในเขตอสูร ออกมาข้างนอกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้นางพอจะรู้ว่าอาวุธคืออะไร แต่อาวุธวิเศษนั้นต่างจากอาวุธธรรมดาอย่างไรนั้นนางไม่เข้าใจหรอก
“ใช่ ศัตรูของข้าเหมือนจะมีฝีมือสูงกว่าข้าเสียอีก ข้าเลยจะสร้างอาวุธวิเศษขึ้นมาเพื่อรับมือกับมัน….”หลานฮวาว่าพลางกำหมัดแน่นจนเกือบจะเผลอหลุดจิตสังหารออกมาอีกรอบ ตั้งแต่ที่สำนักร้อยบุปผาถูกฆ่าล้างสำนักหลานฮวาก็ไม่เคยหยุดคิดที่จะล้างแค้นเลยแม้แต่วันเดียว
น่าเสียดายนางเคยเจอไป๋จูล่งแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก็เลยไม่ทราบฝีมือที่แท้จริงของมัน แต่มันสามารถทำให้สำนักของนางล่มสลายได้ ฝีมือของมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ไหนจะพวกสำนักผลาญสุริยันอีก พวกมันมีจำนวนคนเยอะและมียอดฝีมือจำนวนมาก การจะจัดการพวกมันเป็นเรื่องยากลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแบบนั้นหลานฮวาเลยใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาไปกับการฝึกฝนอย่างหนักจนนางก้าวเข้าระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 1 ได้สำเร็จ แต่หลังจากผ่านระดับเจ้าสวรรค์ได้แล้ว นางกลับรู้สึกว่าการฝึกฝนของนางนั้นเชื่องช้าลงมาก นางจึงคิดจะสร้างอาวุธวิเศษขึ้นมาใช้งาน อย่างน้อยหากได้เจอไป๋จูล่งในสักวัน นางจะได้มั่นใจว่าจะสามารถฆ่ามันได้แน่ๆ
“ศัตรูของท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ”ผิงกั่วถามด้วยท่าทีสนใจ ดูท่าทางพี่สาวหลานฮวาจะแค้นเคืองอีกฝ่ายมาก หรือว่าศัตรูของนางจะเป็นคนเลวเหมือนพวกที่จับตัวผิงกั่วไปก่อนหน้านี้กัน
“อาจจะน่าขำไปหน่อย แต่ข้าเคยเจอมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จำหน้าโดยละเอียดไม่ได้หรอก แต่หากได้พบข้าเชื่อว่าต้องจำมันได้แน่นอน”หลานฮวาตอบด้วยท่าทีเจ็บใจ ตอนที่นางได้พบไป๋จูล่งนางเพียงเอ่ยปากขอความช่วยเหลือมันให้ตามหาอาจารย์เท่านั้น เพียงแค่คิดว่าหากมันบังเอิญพบอาจารย์เข้าจะได้ช่วยส่งข่าวเท่านั้น ก็เลยไม่ได้จดจำใบหน้าอย่างจริงจังเท่าไหร่ แต่เส้นผมสีขาวของมันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆไปจะมี หากได้พบเข้าต้องจำได้อย่างแน่นอน
“น่าเสียดาย ถ้าข้าได้เจอข้าจะช่วยพี่สาวจัดการแน่ๆเจ้าค่ะ”ผิงกั่วว่าพลางปล่อยไอเย็นออกมารอบกาย ทำให้หลานฮวาที่ได้เห็นท่าทีของเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังพยายามทำท่าดุดันออกมาอดอมยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยท่าทีของผิงกั่วก็ทำให้หลานฮวาผ่อนคลายลงบ้าง
“ขอบใจเจ้ามาก แต่เจ้าไม่ต้องลำบากเพราะความแค้นของข้าหรอก”หลานฮวาอมยิ้มพลางมองผิงกั่วด้วยท่าทีเอ็นดู นางท่าทางจะแข็งแกร่งไม่น้อย ก่อนหน้านี้ก็แช่แข็งศัตรูที่พลังเหนือกว่าได้อย่างง่ายดายเลย ท่าทางฝีมือของนางจะเหนือกว่าตัวหลานฮวาก่อนจะเก็บตัวฝึกฝนวิชาเสียอีก แต่นางไม่อยากให้เด็กคนนี้มายุ่งหรอก เพียงได้รับผลึกฟ้าเหมันต์มาจากนางเพื่อแลกกับการนำทางเท่านี้ก็เอาเปรียบอีกฝ่ายมากพอแล้ว แต่หากได้ผลึกฟ้าเหมันต์มานางก็จะสามารถสร้างกระบี่ที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ได้เลย หากนางจะฆ่าล้างสำนักผลาญสุริยัน กระบี่เล่มนั้นก็มีความจำเป็นมาก
“ว่าแต่เจ้าเถอะ จะไปอาณาจักรไป๋ทำไมงั้นหรือ”หลานฮวาหลับตาลงช้าๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย เพราะนางไม่อยากให้ผิงกั่วมาสนใจเรื่องความแค้นของนางมากเกินไป
“เรื่องนั้น ข้าแค่อยากออกมาเจอโลกข้างนอกบ้างเจ้าค่ะ”ผิงกั่วตอบพลางยิ้มเขินๆออกมา
“ก็จริง เจ้าควรเจอโลกภายนอกบ้างจะได้ไม่เอาของมีค่าออกมาง่ายๆแบบนั้นอีก”หลานฮวาตอบพลางมองตำหนิผิงกั่วไปทีหนึ่ง ทำเอาผิงกั่วได้แต่หัวเราะแฮะๆออกมาด้วยใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“แต่แค่อยากออกจากบ้านบ้างทำไมต้องไปถึงอาณาจักรไป๋ล่ะ”หลานฮวาถามพลางหันไปมองภาพรอบๆ หากอยากออกมาเจอโลกภายนอกไม่ว่าจะเมืองไหนก็ไม่น่าจะมีปัญหาไม่ใช่หรือไง ทำไมเด็กน้อยท่าทางไร้เดียงสาอย่างผิงกั่วถึงจงใจจะไปอาณาจักรไป๋กัน
“ข้ามีคนรู้จักอยู่คนหนึ่งเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เจอคนคนนั้นมานานแล้ว”ผิงกั่วว่าพลางหลบสายตาหลานฮวาเล็กน้อย ยามนี้แก้มที่แดงอยู่แล้วของนางกลับแดงขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ทำให้หลานฮวาพลันยิ้มออกมาน้อยๆ
“หืม…อย่าบอกนะว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย”หลานฮวาถามด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย เห็นภายนอกท่าทีใสซื่อไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เด็กสมัยนี้ท่าทางจะโตกันไวจริงๆ
“เจ้าค่ะ คนที่ข้าจะไปหาก็เป็นผู้ชายเจ้าค่ะ”ผิงกั่วตอบพลางพยักหน้าช้าๆ ท่าทางนางจะไม่เข้าใจความหมายที่หลานฮวาแซวไปเสียอย่างนั้น
“เจ้านี่นะ ข้าหมายถึงคนที่เจ้าจะไปหาเป็นคนที่เจ้าชอบหรือเปล่าต่างหากล่ะ”หลานฮวาพูดออกไปตามตรงเพราะเห็นว่าผิงกั่วท่าทางจะไม่รู้เรื่อง
“เจ้าค่ะ ข้าชอบคนคนนั้นมากเลย”ผิงกั่วตอบพลางยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอาหลานฮวาเริ่มสงสัยแล้วว่าผิงกั่วเข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อหรือเปล่า
“เจ้าชอบมันแบบไหนกันล่ะ แบบคนรู้จัก หรือคนรัก”หลานฮวาถามพลางถอนหายใจออกมาช้าๆ
“บะ แบบไหนงั้นหรือเจ้าคะ”ผิงกั่วอึ้งไปพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ นางก็ชอบจูล่งจริงๆนั่นล่ะ แต่นางชอบมันแบบไหนงั้นหรือ….
“ประมาณว่า เจ้าคิดถึงคนคนนั้นบ่อยๆหรือไม่ หรือว่าเจ้าอยากจะอยู่ข้างกายคนคนนั้นหรือไม่”หลานฮวาถามพลางมองแก้มแดงๆของผิงกั่วด้วยท่าทีอยากจะเข้าไปหยิกเสียสีกที แม้หลานฮวาจะอยู่ในสำนักหญิงล้วนมาก่อน แต่เรื่องพวกนี้ในสำนักก็มักจะพูดเล่นกันบ้างหรอก แถมนางยังเดินทางมาตั้งหลายปีเลยพอจะรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าผิงกั่วอยู่บ้าง
“เจ้าค่ะ จริงๆที่ข้าขอท่านแม่ออกมาก็เพราะอยากไปพบคนคนนั้นเจ้าค่ะ”ผิงกั่วตอบพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ท่าทางเจ้าคงชอบผู้ชายคนนั้นมากเลยสินะ มันเป็นคนแบบไหนงั้นหรือ”หลานฮวาถามพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีเอ็นดู
“เป็นคนดีมากเจ้าค่ะ คนคนนั้นช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แถมยังพาข้ากลับไปส่งบ้านอีกต่างหาก ข้าชอบเวลาคนคนนั้นยิ้มให้ข้าแล้วก็ลูบหัวข้ามากๆเลย”ผิงกั่วตอบด้วยใบหน้ามีความสุขเมื่อได้คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับไป๋จูล่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาหลานฮวาไม่ต้องถามซ้ำเลยว่าผิงกั่วรู้สึกอย่างไรกับคนที่กำลังจะไปหา
“ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่ดีมากเลยนะ หวังว่าเจ้าจะได้พบมันที่อาณาจักรไป๋เร็วๆ”หลานฮวาส่ายหน้าช้าๆออกมาเมื่อเห็นออร่าสีชมพูที่ลอยอยู่รอบๆตัวผิงกั่ว ท่าทางนางจะตกหลุมรักอีกฝ่ายมากจริงๆ
“เจ้าค่ะ”ผิงกั่วยิ้มด้วยท่าทีดีใจ มีคนชมเชยไป๋จูล่งเช่นนี้ทำให้นางดีใจแทบไม่ต่างจากมีคนชมตนเองเลย
.
.
“ฮัดเช้ย….”ขณะเดียวกันที่อาณาจักรอู๋ อยู่ๆไป๋จูล่งก็จามออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอาพวกสาวๆรอบตัวหันมามองด้วยท่าทีประหลาดใจ ปกติผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ป่วยนี่นา ยิ่งเป็นจูล่งด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่
“ฮะๆ คงมีคนคิดถึงเจ้าละมั้ง”หยงเวยหัวเราะออกมาพลางรำธูปมาส่งให้ไป๋หลินเฟยที่มาไหว้พระกับไป๋จูล่งพอดี
“ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะควันธูปเฉยๆขอรับ”จูล่งว่าพลางหัวเราะออกมา เพราะหากบอกว่ามีคนบ่นถึงแล้วจะจามออกมา จูล่งคงจามทั้งวันแน่ๆ เพราะตอนนี้มันเป็นเจ้าของกองทุนขนาดใหญ่ที่มีคนมาขอกู้ยืมเงินอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าตอนนี้เงินของตนเองลดไปเท่าไหร่หรือเพิ่มมาเท่าไหร่นั้นจูล่งยังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำ
“ท่านตาๆ ต้องใช้ธูปกี่ดอกหรือขอรับ”หลินเฟยถามพลางกระตุกชายเสื้อของหยงเวยเบาๆ ทำให้หยงเวยต้องก้มตัวลงสอนหลานชายคนใหม่อย่างเอ็นดู
“ท่านอา ท่านฟื้นฟูพลังกลับมามากแล้วนะขอรับ อีกไม่นานคงกลับไปเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 แห่งอาณาจักรอู๋แน่ๆ”จูล่งว่าพลางใช้ดวงตาสีม่วงตรวจสอบพลังวิญญาณของหยงเวยที่ยามนี้เกือบจะเข้าระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 7 อยู่แล้ว การฟื้นฟูพลังนั้นช่างรวดเร็วจริงๆ
“ไม่หรอก ข้าไม่คิดจะเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 อีกแล้ว”หยงเวยตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ มันตัดสินใจที่จะอยู่ที่วัดแห่งนี้ไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้บวชเป็นพระก็ตาม
“เหอะ…ดีจังเลยนะอยากเป็นก็ได้เป็น ไม่อยากเป็นก็ไม่เป็น”อยู่ๆเสียงบ่นจากชายชราคนหนึ่งก็ดังขึ้นหลังจากชายชราคนนั้นจุดธูปไหว้พระจนเสร็จแล้ว
“ท่านอาวุโส ไหนท่านบอกว่าท่านปล่อยวางแล้วไงขอรับ”หยงเวยถามพลางมองไปที่เฒ่าประทับสวรรค์ด้วยท่าทียิ้มแย้ม ตอนนี้เฒ่าประทับสวรรค์ปล่อยวางเรื่องยอดฝีมืออันดับ 1 ไปแล้ว ยิ่งพอได้เห็นพลังจริงๆของจูล่งมันยิ่งปลงตกเข้าไปใหญ่ สุดท้ายเลยทิ้งยุทธภพและเข้าวัดทำบุญร่วมกับเหล่าเซียงอาจารย์ของหลี่เย่ที่ดูแลมันมาตลอด
“แค่อารมณ์ชั่ววูบน่ะ ว่าแต่เจ้าเถอะไหนบอกว่าจะไม่ฝึกฝนพลังเพิ่มแล้วไง”เฒ่าประทับสวรรค์ถามด้วยใบหน้าที่ดูผ่องใสกว่าสมัยก่อนมาก
“ข้ามีความจำเป็นนิดหน่อยนะขอรับ”หยงเวยตอบพลางหัวเราะออกมาน้อยๆ ช่วยไม่ได้นี่นาพลังของมันไม่ใช่พลังมารที่ได้จากดาบมรกตอีกแล้ว ทำให้มันกลับมาใช้ได้แค่ธาตุดินปกติธรรมดาเท่านั้น หรือก็คือมันไม่อาจสร้างมรกตที่แข็งแกร่งหรือหยกจากพลังของมันได้อีกแล้ว แต่กลับมีแมงมุมตนหนึ่งบ่นมันทุกเช้าเย็นให้มันรีบสร้างหยกให้ได้อีกครั้ง จนแล้วจนรอดเพราะความพยายามที่จะฝึกพลังธาตุเพื่อสร้างหยกออกมา มันก็เลยเพิ่มระดับพลังวิญญาณมาถึงขั้นนี้โดยไม่ได้ตั้งใจเสียย่างนั้น