องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 662 สืบหาอันเสี่ยวฮวน
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องเย่เป็นขุนนางผู้มีคุณูปการ และไม่มีเหตุผลใดที่ขุนนางผู้มีคุณูปการจะถูกส่งตัวเข้าไปในคุก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน อันเสี่ยวฮวนบอกว่าเป็นศิษย์พี่ของพระชายาเย่ มีหลักฐานหรือไม่ หากเขาหลอกลวงเล่า?” แม่ทัพฉีไม่กล้าพูด
ในท้องพระโรงเต็มไปด้วยข้าราชบริพารที่รอฟังการอภิปรายอยู่ตรงหน้า และล้วนแต่มองไปที่จักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“บัดนี้ต้าเหลียงชนะสงครามแล้ว ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับอ๋องเย่และคนอื่น ๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
ส่วนเรื่องของอันเสี่ยวฮวน ท่านราชครูจวิน อวิ๋นกั๋วกง พวกท่านทั้งสองไปควรถามพระชายาเย่ แล้วมารายงานให้ข้า
เรื่องการสืบค้นให้ระงับไว้ชั่วคราว หลังจากถามพระชายาเย่แล้ว แน่นอนว่าต่องสืบสวนเรื่องนี้
หากคนผู้นี้มีอยู่จริง ถามแน่ชัดแล้วค่อยพระราชทานการอภิเษกสมรส และหากเขาไม่เหมาะสม ข้าไม่มีทางที่จะปล่อยให้แม่ทัพน้อยของต้าเหลียงแต่งออกไปอย่างแน่นอน
หากคนผู้นี้มีอยู่จริง ก็ต้องปรับตัวให้ถูกต้อง หากไม่วางใจพระชายาเย่ก็ถือเสียว่าไปเยี่ยมเยือน
คนไม่ใช่ต้นไม้ที่จะไร้ความรู้สึก ทุกอย่างย่อมมีเหตุผล และไม่จำเป็นต้องยึดติด
ในเมื่ออันเสี่ยวฮวนสามารถบัญชาการกองทัพแนวหลังได้ และช่วยต้าเหลียงของเราบุกยึดแคว้นอู๋โยว แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ฉันยินดีที่จะรับผู้ที่มีความสามารถ และเชิญเขามาเป็นขุนนางในราชสำนัก
หากได้แต่งงานกับแม่ทัพน้อยหวาก็คงจะเรื่องดี”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” หวาชิงรีบขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อไม่ให้มีปัญหาใหม่แทรกเข้ามา
หนานกงเย่กล่าวต่อ:“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าอันเสี่ยวฮวนผู้นี้ประพฤติตัวไม่ดี หากเขามาที่นี่อย่างสง่าผ่าเผย กระหม่อมจะถูกหลอกได้อย่างไร?”
“ท่านอ๋องเย่ เหตุใดพระองค์ถึงไม่บอกว่าก่อนที่จะรบชนะ?” หวาชิงไม่ยอมแพ้ ดวงตาของนางเบิกกว้าง
หนานกงเย่ต้องการพูดอะไรบางอย่าง จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่สบอารมณ์:“อ๋องเย่ เจ้าอย่าพูดอีกเลย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าจะไม่ซักถาม เจ้าคิดว่าอย่างไร?
คนของพระชายาเย่ หากพระชายาเย่ไม่พูดออกมาให้หมด ข้าก็ยังต้องถาม”
“ฝ่าบาท อวิ๋นอวิ๋น นางไม่เคยไม่เคยบอกว่ามีคนผู้นี้มาก่อน!”
“ฮึ มีหรือไม่ กลับไปถามก็รู้เอง ท่านราชครูจวิน อวิ๋นกั๋วกง รบกวนท่านทั้งสองแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อ๋องเย่กลับไปสมรู้ร่วมคิดกับพระชายาเย่ ท่านทั้งสองล่วงหน้าไปก่อน แม่ทัพฉี อ๋องเย่ แม่ทัพหวา แม่ทัพน้อยหวา อ๋องหย่งจวิ้น แม่ทัพอวิ๋นและภรรยา พวกเจ้ารออยู่ที่พระที่นั่งบำรุงฤทัยก่อน เลิกประชุม”
จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นและจากไปอย่างโกรธเคือง บรรดาขุนนางน้อมส่งเสด็จฝ่าบาท หลังจากนั้นก็มองหน้ากัน ราชครูจวินและอวิ๋นกั๋วกงไปที่จวนอ๋องเย่ด้วยกัน แม่ทัพหวามองไปที่แม่ทัพฉี ในเมื่อไม่ใช่พ่อบุญธรรมของอันเสี่ยวฮวน เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ
แม่ทัพหวาเหลือบมองแม่ทัพฉีอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หันหลังเดินไปที่พระที่นั่งบำรุงฤทัยและคนอื่น ๆ ก็เดินตามไป
เดิมทีอู๋กั่วอยากรีบกลับไปพบเฟิงอู๋ชิง แต่ไม่คิดว่าต้องเข้ามาในวัง
และยืนอยู่ข้าง ๆ อวิ๋นเซวียนอี้อย่างอึดอัดใจและจนปัญญา
อวิ๋นเซวียนอี้จับมือของนางอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ตอนนี้ได้แสดงให้ทุกคนในวังเห็นแล้วว่าภรรยาของอวิ๋นเซวียนอี้หน้าตาเป็นอย่างไร?
ในเวลานี้แม่ทัพฉีและหนานกงเย่ยืนอยู่ด้วยกัน แม่ทัพฉีค่อนข้างไม่สบอารมณ์:“ในเมื่อรู้แล้วว่าอันเสี่ยวฮวนเป็นบ่อเกิดของความหายนะ ก็ไม่ควรจะปล่อยเสือเข้าป่า จะรั้งไว้ก็ยุ่งยากลำบาก เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ”
ชายชราจงใจทำเป็นโกรธเคือง และแน่นอนว่าหนานกงเย่ก็ให้ความร่วมมือ
“ข้าก็อยากยืมจมูกคนอื่นหายใจ ถึงอย่างไรก็วิ่งเร็วกว่ากระต่าย ข้ายังต้องการไปทำศึก พอหันกลับมาเขาก็หายตัวไปแล้ว กองทัพม้าเหล็กของข้า กองทัพปีกเหล็ก และทการเกาะเหล็กต่างก็ไล่ล่าทั้งคืนและมีคำสั่งให้ฆ่าในทันที แต่ก็หาเขาไม่พบ ช่างทำให้ข้าลำบากใจเสียจริง!”
“ท่านพูดว่าอะไรนะ?” หวาชิงตกตะลึง นางอยู่ที่ด้านนอกพระที่นั่งบำรุงฤทัย และเดินเข้ามาเพื่อคิดบัญชีกับหนานกงเย่:“ท่านส่งคนไปไล่ล่าเขา แล้วยังส่งคนมากมายเช่นนั้นไปตามฆ่าเขาอีก?”
“นั่นเป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับท่านแม่ทัพน้อย”
“หนานกงเย่……”
หวาชิงโกรธ
แม่ทัพหวาไม่ได้สนใจ เขาก็ไม่คิดว่าแม่ทัพหวาจะเกรงกลัวหนานกงเย่
แม่ทัพฉีกล่าวอย่างโกรธเคือง:“หวาชิง เจ้าบังอาจ เจ้ากล้าเรียกชื่อของท่านอ๋องเย่!”
อ๋องหย่งจวิ้นก้มหน้าลง แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพ แต่ตอนนี้เขากับราชครูจวินก็ไม่ได้แตกต่างกัน จากนั้นก็เอามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน แล้วเริ่มสัปหงก
อวิ๋นเซวียนอี้จับมือของอู๋กั่วและแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ทั้งสองมองออกไปทางอื่น
หวาชิงกล่าวว่า:“แม่ทัพฉี อยู่ที่ต้าเหลียง การฆ่าคนเป็นผักเป็นปลานั้นผิดกฎหมาย”
“อันเสี่ยวฮวนสวมรอยเป็นคนในครอบครัวของข้า ควรถูกลงโทษ”
……
“ท่านแม่ทัพทุกท่าน ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงเรียกพบ!”
เสี่ยวสวีจื่อเดินออกมาจากด้านใน และทุกคนก็หยุดโต้เถียงกัน
แม่ทัพฉีเข้าไปในพระที่นั่งบำรุงฤทัยก่อน จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลงบนบัลลังก์และเหลือบมองผู้คนที่เดินเข้ามา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นแล้วก็รู้สึกปวดหัว และกล่าวว่า:“อันเสี่ยวฮวนเพียงคนเดียวทำให้พวกเจ้ากลายเป็นเช่นนี้”
“……” ในเวลานี้ไม่มีใครพูดอะไร หวาชิงกำลังคิดเตรียมการ เพียงแค่ราชครูจวินและอวิ๋นกั๋วกงกลับมาพูดแถลง
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นได้ยิน นางก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าไม่รู้จักอันเสี่ยวฮวนผู้นี้เลย!” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
ราชครูจวินเงียบ เขากอดแขนเสื้อแล้วนั่งนิ่ง
อวิ๋นกั๋วกงจึงถามอีกครั้งว่า:“พระชายาเย่ทรงไม่รู้จักอันเสี่ยวฮวนจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่รู้จัก”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดอย่างรอบคอบแล้วส่ายหัว
อวิ๋นกั๋วกงมองไปที่ราชครูจวิน ในเวลาเช่นนี้เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ
อวิ๋นกั๋วกล่าวว่า:“ในเมื่อไม่รู้จักผู้ที่ชื่ออันเสี่ยวฮวน เช่นนั้นน่าจะรู้จักคนผู้นี้ เขาบอกว่าเขาลงมาจากบนเขา และเป็นศิษย์พี่ของพระชายาเย่ เขาลงมาจากบนเขาเพื่อมาดูว่าพระชายาเย่ทรงสบายดีหรือไม่ อีกทั้งเขายังช่วยสู้รบกับแคว้นอู๋โยว และเป็นผู้บัญชาการกองทัพแนวหลัง”
ฉีเฟยอวิ๋นทำหน้าตางุนงง:“ข้ามีศิษย์พี่ที่ไหนกัน ตอนที่ท่านอาจารย์ของข้ามา เขาบอกว่าข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียว นอกเสียจากว่าท่านอาจารย์รับศิษย์หลังจากที่จากไป แต่หากหลังจากที่ไปแล้ว ก็มิน่าจะเป็นศิษย์พี่ของข้าได้ อย่างมากก็เป็นศิษย์น้องของข้า”
“……” ราชครูจวินลุกขึ้น:“ในเมื่อไม่ใช่ เช่นนั้นข้ากับกั๋วกงอาวุโสก็จะกลับไปกราบทูลก่อน”
“น้อมส่งท่านราชครูจวินและกั๋วกงอาวุโส”
เมื่อราชครูจวินและกั๋วกงอาวุโสจากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หงเถาและลี่ว์หลิ่วรีบถาม:“พระชายา เหตุใดถึงมีอันเสี่ยวฮวนได้ล่ะเพคะ?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน คาดว่าคงจะมีคนแอบอ้าง คงต้องการจะช่วยต้าเหลียงของเราสู้รบกระมัง ยกทัพทำศึกอย่างไม่มีข้ออ้าง และบอกว่าเป็นคนของจวนแม่ทัพ แต่ตอนนี้เขาหายไปแล้ว”
ราชครูจวินและกั๋วกงอาวุโสเข้าไปในวังเพื่อกราบทูล เมื่อจักรพรรดิอวี้ตี้ได้ยินว่าไม่มีคนผู้นี้ เขาก็มองไปที่หวาชิงและคนอื่น ๆ
“ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะไม่ใช่ศิษย์พี่ของพระชายาเย่ ในเวลานี้ได้ตรวจสอบตัวตนของเขาแล้ว แต่หากข้าสั่งให้สืบหาคนผู้นี้ คงจะไม่เป็นการดี เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของจวิน……”
เดิมทีจักรพรรดิอวี้ตี้คิดว่าเรื่องใหญ่ทำให้เป็นเรื่องเล็ก และเรื่องเล็กทำให้หมดสิ้นไป
แต่หวาชิงไม่ยอม
“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการสืบหาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้หม่อมฉันกลายเป็นตัวตลก หม่อมฉันต้องการจะแต่งงานกับผู้ที่ไม่มีที่มาที่ไปและเป็นตายไม่รู้แน่
เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันอยู่ด้านนอกพระที่นั่งบำรุงฤทัย หม่อมฉันได้ยินท่านอ๋องเย่กล่าวว่าเขาอยู่ตอนที่อันเสี่ยวฮวนออกไปจากค่ายทหาร มีคำสั่งให้คนไปตามฆ่าอันเสี่ยวฮวน และส่งกองทัพม้าเหล็กของเขา กองทัพปีกเหล็ก และทหารเกราะเหล็กไล่ตามออกไป อีกทั้งยังมีคำสั่งให้ฆ่าในทันที
ถามว่าอันเสี่ยวฮวนจะออกมาหรือไม่?
หม่อมฉันต้องการพบพระชายาเย่ด้วยตนเอง และขอให้พระชายาเย่ไปสืบหาอันเสี่ยวฮวนกับหม่อมฉัน เพื่อความปลอดภัยของอันเสี่ยวฮวน
หากอันเสี่ยวฮวนตายด้วยน้ำมือของท่านอ๋องเย่ เช่นนั้น ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต”
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่หนานกงเย่ เดิมทีวางแผนว่าจะปล่อยเขาไป แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เย่อหยิ่งของเขาแล้ว จึงตัดสินใจให้เขาได้ลิ้มรสของความทุกข์ยาก
“อนุญาต!”
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้น แววตาของเขาดูไม่เต็มใจ จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนขึ้น:“เลิกประชุม เรื่องการสืบหาอันเสี่ยวฮวนยหให้เป็นหน้าที่ของแม่ทัพน้อยหวา ส่วนคนอื่น ๆ ก็รอฟังข่าว