ตอนที่ 725 มรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรค

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 725 มรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรค โดย ProjectZyphon

ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ข่าวเกี่ยวกับศึกนองเลือดในป่าต้นหม่อนทยอยถูกสายสืบของจักรวรรดิในแต่ละพื้นที่ส่งข่าวกลับมา

เพียงแต่ข่าวที่ส่งมาเช้านี้กลับเห็นได้ว่าไม่ธรรมดายิ่งนัก

“คุณชายหลินสือเอ้อร์ง้างธนูสังหารราชันกึ่งระดับสี่คน สยบศัตรูทั้งมวล! ประกาศศักดาจักรวรรดิเรา!”

“นายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดอิ๋งเชวี่ยถูกคุณชายหลินสือเอ้อร์สังหาร คนทรยศหลิ่วเหวินรับโทษถูกตัดหัว!”

“ศึกป่าต้นหม่อน คุณชายหลินผงาดกร้าวฆ่าสังหาร ใช้ฝีมืออันเยี่ยมยอดฆ่าฟันศัตรู ทำเอาผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนแค่ได้ยินก็กลัวหัวหด!”

ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของหลินสวินด้านแล้วด้านเล่าโปรยปรายทั่วค่ายหมายเลขเจ็ดราวเกล็ดหิมะ ก่อเกิดความฮือฮาในหมู่ผู้ฝึกปราณโดยพลัน

“คุณชายหลินดุจเทพเซียนเกินไปแล้ว!”

เหล่าหวงหัวหน้าทหารยามประจำค่ายตื่นเต้นจนตบเข่าฉาด ทั่วหน้าเปล่งประกาย

“เจ้าเด็กนี่… ทำข้ากังวลแทนเขา ใครเล่าจะคาดคิดว่าเขากลับป่าเถื่อนเช่นนี้…”

กองพลาธิการ หลูเหวินถิงซึ่งกำลังจัดการงานหลวงตกใจแทบสะดุ้งโหยง แต่จากนั้นก็เป็นสุขอย่างยิ่ง สบายอกสบายใจหาใดเปรียบ

ผู้ฝึกปราณซึ่งมาแลกเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญที่กองพลาธิการวันนี้ต่างพบเจอเรื่องเกินคาด ด้วยหลูเหวินถิงผู้มีชื่อว่าหน้าเหล็กเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้มมาตลอดในอดีต วันนี้กลับกระตือรือร้นและเป็นกันเองผิดปกติ

ทุกครั้งที่เห็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง เขาก็ยิ้มกล่าวคราหนึ่ง “ไอ๊หยา คืนนี้จะต้องไปดื่มเหล้ากับคุณชายหลิน ในฐานะสหายต้องแสดงความยินดีกับเขาให้เต็มที่!”

ดังนั้นจึงนำมาซึ่งสายตาอิจฉา อย่าว่าแต่เป็นเพื่อนกับคุณชายหลินสือเอ้อร์เลย แค่ร่ำสุรากับเขาเพียงคราเดียวก็เป็นเกียรติพิเศษอย่างหนึ่งแล้ว

“ปฐมาจารย์หลินไม่เพียงมีความรู้ลึกซึ้งเป็นเลิศบนวิถีสลักวิญญาณจนใครๆ ต่างแหงนมอง แม้แต่บนวิถียุทธ์วิถีปราณก็เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าไร้เทียมทาน!”

กองยุทโธปกรณ์ นักสลักวิญญาณทั้งหมดเบิกบานภาคภูมิ ฮึกเหิมและภูมิใจ แม้แต่ปรมาจารย์อิงยังลูบหนวดเคราผงกศีรษะเห็นด้วยไม่หยุด

“หลิ่วเหวินกลายเป็นผู้ทรยศ…”

หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราหูทงในใจสับสนยิ่ง คาดไม่ถึงสักนิด หลิ่วเหวินที่เขาคิดว่าตายไปแล้วไม่เพียงมีชีวิตรอด ยังทรยศจักรวรรดิไปพึ่งพาเศษสวะพ่อมดเถื่อน

“คนพรรค์นี้สมควรลงพันมีดหมื่นแล่ ไม่ให้ตายดี!”

อาปี้ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าเคียดแค้นชิงชังและรังเกียจ “ข้าบอกได้แค่ คุณชายหลินสังหารได้ดี!”

พูดถึงตอนท้ายสุด นางนึกถึงผลงานอันเกริกก้องลือกระฉ่อนเกี่ยวกับหลินสวินที่ป่าต้นหม่อนวันนี้ ในใจเกิดความรู้สึกเหลือจะเอ่ยวูบหนึ่ง

เด็กหนุ่มที่ถูกนางเห็นเป็นเจ้าหน้ามนในตอนแรก ถึงกับเป็นผู้กล้าที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้าคนหนึ่ง ตอนนั้นนางยังประกาศศักดาหมาย ‘คุ้มกะลาหัว’ ฝ่ายตรงข้ามอยู่เลย!

ระหว่างกลุ่มผู้ฝึกปราณสี่ห้ากลุ่ม ทั้งในโรงเตี๊ยม บนท้องถนน ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ผลงานเจิดจรัสครานี้ของหลินสวินพาให้พวกเขาไม่อาจไม่พอใจ ไม่อาจไม่อัศจรรย์ใจ

อย่างไรเสียเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง นับจากปรากฏตัวที่สมรภูมิกระหายเลือดกลับจู่โจมสังหารราชันกึ่งระดับมากมายต่อเนื่อง นี่เห็นได้ว่าไม่อาจจินตนาการเกินไปแล้ว!

โครม!

โต๊ะทำงานเบื้องหน้าจ่างซุนเลี่ยถูกซัดละเอียดอีกครั้ง ครานี้เขาหน้าตาพิลึกพิลั่น ปากบ่นอุบอิบไม่หยุด “ไอ้เฒ่าระยำราชันกระหายเลือดนี่ไปหาสัตว์ประหลาดเช่นนี้จากไหนกัน นี่มันเทพชัดๆ! ข้ามีชีวิตอยู่จนป่านนี้ มีอัจฉริยะแบบใดที่ไม่เคยเห็นบ้าง แต่ยังไม่เคยพบใครเย้ยฟ้าเยี่ยงเจ้าเด็กนี่…”

นอกประตูได้ยินเสียงโต๊ะทำงานแตกละเอียด ทหารยามมุมปากกระตุกหนักหน่วงไม่หยุด เขาพลันปวดหัว ช่วงนี้เพราะหลินสือเอ้อร์คนเดียวทำท่านแม่ทัพตบโต๊ะพังไปหลายตัว คราวนี้เยี่ยมเลย ต้องเปลี่ยนโต๊ะใหม่อีกแล้ว…

‘ดูท่า ช่วงนี้คงต้องทำโต๊ะเตรียมไว้เยอะหน่อย…’

ทหารยามตัดสินใจกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะเขารู้สึกว่าจากนี้ขอแค่หลินสือเอ้อร์ยังอยู่ในค่ายหมายเลขเจ็ด เหตุการณ์คล้ายคลึงกันคงต้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง เตรียมโต๊ะทำงานไว้เยอะหน่อยคงไม่เลว

ไม่เพียงแต่ค่ายหมายเลขเจ็ด ในค่ายอื่นของจักรวรรดิ เมื่อข่าวของหลินสวินแพร่ไปถึงก็ประหนึ่งเป็ฯระเบิดลูกใหญ่ เปิดฉากเสียงอึกทึกและวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน

“คุณชายหลินสือเอ้อร์ ผู้กล้าไม่เป็นสองรองใคร!”

นี่คือคำประเมินอันเป็นเอกฉันท์ของผู้ฝึกปราณส่วนมาก

ภายในห้อง สายตาหลินสวินถูกดึงดูดแน่นหนา

วิ้ง…

ดาบหักกำลังเปล่งประกาย หมุนคว้างกลางอากาศติ้วๆ บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหินหยกอัศจรรย์ที่แหลกละเอียด

ดาบหักแปรเปลี่ยนแล้ว!

ตัวดาบที่ดำสนิทดุจรัตติกาลนิรันดร์เปลี่ยนเป็นขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ แทบจะโปร่งแสง กระจ่างเป็นประกายราวเจียระไนจากหยกมันแพะ

ประกายดาราเพริศแพร้วเป็นสายๆ ดั่งฝันเสมือนภาพลวงตา ทำให้ดาบหักเปล่งพลานุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน

มันไม่อำมหิตชวนประหวั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก กลับมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง แวววาวเปล่งประกาย ระลอกคลื่นปริศนาไหลเวียน

หลินสวินในขณะนี้รู้สึกตกตะลึง

ช่างดั่งมายาและเจิดจ้าเหลือเกิน เสมือนผลงานชิ้นเอกแห่งสรวงสวรรค์!

ชิ้ง!

หลินสวินกุมมันไว้ในมือ มันมีน้ำหนักเบาราวว่างเปล่า ประดุจหยิบยกขนนกหนึ่ง คมดาบแผ่ประกายดาราดั่งหยาดพิรุณ ส่องสว่างห้องอันหมองหม่น ย้อมกลิ่นอายบริสุทธิ์ผุดผ่อง

หลินสวินเลื่อนสายตาไปยังผิวดาบ ตรงนั้นมีลายมรรคหนาแน่นแต่ชัดเจนปรากฏอยู่ภายในตัวดาบหักที่คล้ายโปร่งแสง

เพียงแค่มองปราดเดียวก็ทำให้หลินสวินใจสะท้าน สัมผัสถึงพลังไพศาล เร้นลับ ไร้สิ้นสุดอย่างหนึ่ง

นี่คือการเปลี่ยนแปลงซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน!

หลินสวินใช้จิตรับรู้ไปสำรวจลายมรรคปริศนานั่นอย่างอดไม่อยู่

สวบ!

เหตุไม่คาดฝันพลันปรากฏ ดาบหักจู่ๆ ก็หายไป ขณะเดียวกันในห้วงนิมิตของหลินสวินก็สั่นไหว สะเทือนอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เสมือนถูกสิ่งแปลกปลอมหนึ่งแทรกเข้าไป

‘นี่มัน…’

ทันใดนั้นหลินสวินค้นพบอย่างน่าตะลึงว่า ดาบหักถึงกับปรากฏอยู่ในห้วงนิมิตของตน ขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ใสจนแทบจะโปร่งแสง ละอองแสงแผ่พลิ้วออกมา ใสเย็นดุจภาพฝัน

เมื่อหลินสวินโคจรพลังจิต แค่พริบตาพลันเกิดการขานรับอันน่าอัศจรรย์กับดาบหักในห้วงนิมิต

ราวดาบหักได้เปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตน กลายเป็นผู้คุ้มกันพลังจิต มีความรู้สึกดุจเป็นสายเลือดเดียวกันอย่างหนึ่ง

อีกทั้งตัวดาบหักเองก็ได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างไร้รูปจากพลังจิต เปล่งเสียงขับขานยินดี ฉวัดเฉวียนเริงระบำรอบพลังจิตไม่หยุด

พรึ่บ!

เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด ดาบหักก็โฉบออกมาโดยพลัน แหวกอากาศออกมาดุจสายฟ้าแลบสีขาวหิมะเจิดจ้า เสียงดาบครวญกู่ก้อง ทำเอาเครื่องเรือนภายในห้องกลายเป็นจุณ สั่นสะเทือนจนกลายเป็นฝุ่นผง

หลินสวินอ้าปากค้าง อานุภาพแข็งแกร่งมาก!

สวบ…

ต่อจากนั้นดาบหักก็โฉบอยู่กลางห้วงอากาศตามเจตจำนงของหลินสวิน คล้ายปลาน้อยแคล่วคล่องตัวหนึ่ง สะบัดหางละอองแสงประกายดาราเป็นสายๆ เริงระบำส่องประกายตามอำเภอใจในห้องเล็กแคบ

ครืน ครืน…

แต่อานุภาพที่ดาบหักปล่อยออกมา กลับทำห้วงอากาศกระเพื่อมไหวรุนแรงดั่งกระแสน้ำ ส่งเสียงอึกทึกสนั่นหู

บ้านทั้งหลังส่ายไหว สั่นระรัวรุนแรงขึ้นมา

เห็นดังนี้ในใจหลินสวินผงะไปชั่วขณะ ขับเคลื่อนความคิดทันใด ดาบหักพลันกลายเป็นแสงกระจ่างสายหนึ่งหายไปในห้วงนิมิต

ภายในห้องจึงสงบลง

แต่จิตใจหลินสวินกลับไม่อาจนิ่งสงบเนิ่นนาน ค่อนข้างตื่นเต้นพอควร

เขาฉุกนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ตนใช้ดาบหักผิดแต่แรก สมบัติชิ้นนี้สามารถเรียกได้ว่า ‘ดาบคมศาสตราจิต’ ที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์

เหตุใดจึงเรียกว่าศาสตราจิต

นั่นก็คือสมบัติที่อาศัย ‘จิต’ ควบคุมบังคับ!

ก็เหมือนดั่งกระบี่เทพเมื่อครั้งบรรพกาลในตำนาน กระบี่บินเล่มหนึ่งฟาดฟันภูตผีเทวดา ตัดสะบั้นฟ้าดิน ปั่นป่วนหยินหยาง!

สรุปง่ายๆ ก็คือเป็นสมบัติที่สามารถอาศัยจิตรับรู้บังคับ เรียกว่า ‘ศาสตราจิต’ โดย ‘จิต’ นี้ก็คือการเรียกขานของพลังจิต

สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ บนโลกในปัจจุบันน้อยนักที่จะพบเห็น ช่างหาได้ยากเกินไปแล้ว แม้แต่ในมือสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างราชันระดับสังสารวัฏยังไม่มี!

หลินสวินมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ยิ่งรู้ดีถึงความยากพบเห็นของศาสตราจิต เนื่องจากวัตถุดิบวิญญาณที่ใช้หลอมศาสตราจิตหายากเกินไป เป็นสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่อาจร้องขอ

อย่างหลินสวินฝึกปราณจวบจนตอนนี้ แม้เคยได้รับของแปลกพิสดาร วัตถุดิบวิญญาณล้ำค่าหาใดเปรียบนานัปการ แต่กลับไม่เคยเจอวัตถุดิบวิญญาณที่สามารถนำมาหลอมศาสตราจิตได้

วัตถุดิบวิญญาณประเภทนี้มักถูกนักสลักวิญญาณเรียกว่า ‘เจตวัตถุ’

ฟู่…

สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หลินสวินควบคุมความตื่นเต้นภายในใจเต็มกำลัง เริ่มนั่งสมาธิสงบจิต หวนนึกถึงดาบหักซึ่งลอยเคว้งกลางห้วงนิมิต

ดาบหักแปรสภาพครานี้ ลายมรรคบนพื้นผิวซึ่งแต่เดิมเลือนรางเปลี่ยนเป็นคมชัดขึ้นมา เห็นชัดถึงความวิเศษอัศจรรย์

ตูม!

ทันทีที่จิตรับรู้ของหลินสวินสัมผัสลายมรรคปริศนานั่น ทั้งจิตวิญญาณพลันประสบแรงปะทะน่าหวาดกลัว เกิดความรู้สึกราวแหลกสลาย

เขาส่งเสียงอึดอัดในคอคราหนึ่ง พลังจิตสั่นระรัว

‘ตะวันจรัสแสง!’ หลินสวินโคจรเคล็ดเวทบริกรรมโดยไม่ลังเล กลางห้วงนิมิตตะวันดวงใหญ่ทะยานกลางฟ้า รัศมีแสงโชติช่วงชัชวาล เจิดจรัสแรงกล้า ยิ่งใหญ่ร้อนแรง

ทันใดนั้นพลังจิตซึ่งเดิมประหนึ่งถูกแหวกผ่าจนสั่นระรัวกลับมามั่นคงใหม่อีกครั้ง นี่ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความหวาดผวา การจู่โจมเมื่อครู่เกรงว่าแม้แต่มหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติก็ยังต้านทานไม่อยู่

หากไม่ใช่เพราะความอัศจรรย์ของเคล็ดเวทบริกรรม หลินสวินก็สงสัยนักว่าพลังจิตของตนคงพังทลายสิ้น!

จากนั้นหลินสวินก็ไม่อาจใส่ใจเรื่องพวกนี้ได้อีก ด้วยจิตใจของเขาถูกค่ายกลเรียบง่ายหาใดเปรียบหนึ่งดึงดูด

นั่นคือค่ายกลที่สะท้อนลายมรรคปริศนาบนผิวดาบหัก เก่าแก่และไพศาล ร่างอักษร ‘ปฐม’ ออกมา

ทุกขีดทุกเส้นล้วนประหนึ่งร่องรอยแห่งมหามรรค ประทับพลังมหามรรคอันเร้นลับ มีพลังเกินคาดเดาปานดึงจิตวิญญาณผู้คนให้จมดิ่งลึกถลำอย่างหนึ่ง

ครืน!

รอเมื่อหลินสวินลองหยั่งสัมผัส พลังมรดกดุจห้วงมหาสมุทรพลันโถมซัดเข้าสู่พลังจิตของหลินสวิน

นี่กลับเป็นมรดกวิชาหนึ่ง มาจากลายมรรคปริศนาซึ่งสลักบนดาบหัก!

แค่พริบตาเท่านั้น ในก้นบึ้งจิตใจหลินสวินเกิดการหยั่งรู้มากมายไม่อาจจินตนาการ ประดุจความรู้แจ้งทั้งมวลประทับสู่จิตอย่างชัดเจน

‘ที่แท้มรดกที่ค่ายกลลายมรรคหลงเหลือไว้ ก็กล่าวถึงวิชาในการใช้ดาบหัก…’

ครู่ใหญ่หลินสวินก็หยั่งถึงโดยสมบูรณ์ ในใจพบทางสว่างฉับพลัน

นี่ทำให้เขาไหวหวั่นคือ ภายในดาบหักถึงกับมีวิชาลับจิตขับเคลื่อนที่เสริมส่งกันและกัน นี่ก็เห็นได้ว่าไม่อาจคาดฝันเกินไปแล้ว

หลินสวินรู้ชัดว่าหากคิดหมายอยากได้มรดกวิชานี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนี้ดาบหักเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็คงไม่มีโอกาสได้เลิกม่านปริศนาที่ปกคลุมดาบหักออก

ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ว่าพลังจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนเป็นทรงพลังหาใดเปรียบจนควบรวมพลังจิตออกมาได้ ทั้งยังครอบครองเคล็ดเวทบริกรรม คงไม่อาจได้รับมรดกเช่นนี้เหมือนกัน!

กระทั่งครู่ใหญ่หลินสวินสงบลงแล้ว ก็พลันเห็นว่า ใกล้ๆ อักษร ‘ปฐม’ บนค่ายกลลายมรรค ยังมีค่ายกลปริศนาอีกสามภาพ

เพียงแต่พวกมันช่างเลือนรางแทบจะไร้รูป ได้แค่มองเห็น แต่ปริศนาภายในกลับไม่อาจถูกหยั่งถึงโดยสิ้นเชิง

‘ดูท่า มรดกวิชาของดาบหักคงแบ่งเป็นสี่ส่วน ตอนนี้ข้ามีแค่วิชาลับส่วนแรกที่เป็นการใช้จิตขับเคลื่อนดาบหัก’

‘และหากหมายจะได้มรดกวิชาลับส่วนที่สอง เกรงว่าคงได้แต่รอเวลาที่ดาบหักจะแปรสภาพครั้งที่สองแล้ว…’

หลินสวินใคร่ครวญ

………………