ส่วนที่ 5 ตอนที่ 51 ความโง่งมงายนำมาซึ่งความวิตกกังวล

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

กงซูมู่ตบภาพแบบก่อสร้างม้วนหนึ่งลงบนโต๊ะด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง อวิ๋นเยี่ยหยิบออกมาเปิดดูก็รู้ได้ในทันทีว่า นี่เป็นภาพแบบก่อสร้างของกำแพงที่เคลื่อนไหวได้เหล่านั้น เขาม้วนภาพแบบก่อสร้างเก็บกลับขึ้นอีกครั้ง เมื่อมัดเสร็จก็ส่งคืนให้กงซูมู่และบอกเขาว่า “เหตุใดท่านจึงต้องทำถึงเพียงนี้ด้วย ที่ข้าน้อยลงโทษหลี่ไท่ก็เพราะเขาพึ่งความเฉลียวฉลาดที่มีเพียงเล็กน้อยกระทำการกำเริบเสิบสาน ไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนร่วมรุ่นแม้แต่น้อย หาได้ต้องการแอบดูความลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นของตระกูลกงซูอย่างเด็ดขาด ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

 

 

“แอบดูหรือ เจ้าคงยังไม่ทำถึงขั้นนั้น ในเมื่อข้านำภาพแบบก่อสร้างมาแล้ว ก็คือตั้งใจที่จะให้เจ้าเห็นว่าตระกูลกงซูไม่ใช่ผู้ที่หวงวิชา แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรจนไม่ยอมถ่ายถอดให้ใคร เหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกของบรรพบุรุษของตระกูลข้า พวกเขาสามารถหาวิธีการอันน่าอัศจรรย์มาเคลื่อนย้ายของหนักได้ แล้วรุ่นลูกหลานอย่างพวกเราจะพ่ายแพ้ให้กับบรรพบุรุษหรือ เมื่อเจ้าเห็นภาพแบบก่อสร้างนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเราจะปรับปรุงมันให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นเจ้าอ่านดูได้โดยไม่ต้องเกรงใจ”

 

 

กงซูมู่นั้นไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด ลูกศิษย์ที่สำคัญที่สุดเพียงคนเดียวของเขากำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าประตูใหญ่ เขาในฐานะอาจารย์กลับทำอะไรไม่ได้เลย นี่ไม่ได้ทำให้เสียภาพลักษณ์ของอาจารย์หรอกหรือ ในครานี้ที่นำภาพแบบก่อสร้างมานั้น คิดว่าต้องกัดฟันตัดสินใจอย่างแน่นอน ความหมายแฝงภายในนั้นไม่ต้องพูดก็เห็นอย่างชัดแจ้ง ก็เพียงแค่ต้องการรู้รหัสผ่านเพื่อเข้าประตูสำนักศึกษาเท่านั้นเอง กงซูมู่เรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษ ที่จริงแล้วเขาเพียงแค่เปิดอุปกรณ์เชื่อมต่อออกดู ก็จะเข้าใจทุกอย่างได้ ก็แค่ผลักมันกลับมาเท่านั้นเอง สำหรับเขาไม่มีอะไรยากเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับไม่เลือกวิธีการนี้ แต่กลับยอมเสียหน้านำความรู้แลกเปลี่ยนความรู้ บุคคลเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยยังจะมีอะไรไม่สามารถพูดได้อีก

 

 

“แผนภูมิตำแหน่งดาวที่จริงแล้วเป็นเกมการละเล่นอย่างหนึ่ง หากต้องการแก้ปริศนานั้นก็เพียงแค่กรอกตัวเลขทั้งหมดลงในช่องว่าง ไม่ว่าจะบวกกันในแนวนอนหรือแนวตั้ง รวมถึงเมื่อรวมกันในแนวทแยงแล้วจะต้องเท่ากับสี่สิบห้า ข้ามีพลงกลอนอยู่หนึ่งบท ข้าให้ท่านจดไว้ สองและสี่คือไหล่ หกและแปดเป็นเท้า ซ้ายเจ็ดและขวาสาม เมื่อใส่เก้าจะรวมเป็นหนึ่ง เลขห้านั้นอยู่กลาง เพียงแค่นำตัวเลขเหล่านี้คูณด้วยสามซึ่งก็คือรหัสผ่านที่ถูกต้องของประตูสำนักศึกษา”

 

 

กงซูมู่ไม่ได้สนใจอวิ๋นเยี่ยปากก็ท่องเพลงกลอนไปสองรอบ นำภาพแบบก่อสร้างในมือยัดเยียดใส่มืออวิ๋นเยี่ยและรีบไปช่วยลูกศิษย์ของเขา

 

 

อวิ๋นเยี่ยเปิดภาพแบบก่อสร้างออกดูอย่างละเอียด ก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือร้องเยี่ยมให้กับบรรพบุรุษของตระกูลกงซู ผู้ที่นำเรื่องทรายดูดมาใช้ได้ถึงขั้นนี้ การคิดวิเคราะห์นั้นยากแก่การคาดเดาได้จริงๆ การแลกเปลี่ยนครานี้ตระกูลกงซูนั้นขาดทุนครั้งใหญ่เสียแล้ว สำหรับผู้แพ้สาธารณะ ระยะนี้อาจารย์หลีสือก็ดูค่อนข้างเหมือนคนบ้า นั่งซังกะตายอยู่ในห้องที่วางโครงกระดูกไดโนเสาร์โดยไม่พูดอะไรเลยตลอดทั้งวัน สหายเก่าอย่างพวกหลี่กังไปเยี่ยมเขาบ่อยครั้ง เขาบอกเพียงว่าเขาสบายดี เพียงแค่มีปมบางอย่างในใจที่ไม่สามารถแก้ไขได้เท่านั้นเอง การนั่งอยู่ข้างโครงกระดูกสามารถช่วยเขาในการตรึกตรองได้ ทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมัน กลับจะรู้สึกยินดีกับเขาเสียด้วยซ้ำ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนก็มีวันพบกับอุปสรรคทางความคิดเช่นกัน เมื่อความรู้ที่สั่งสมมาตลอดชีวิตของเขานั้นมากมายลึกซึ้งก็จะทำให้เกิดข้อสงสัย โดยที่ไม่มีใครสามารถตอบข้อสงสัยเหล่านี้ได้ มีแต่จะต้องพินิจพิเคราะห์ด้วยตัวของเขาเอง เมื่อคิดออกแล้วจึงจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และพัฒนาความรู้ได้อย่างเต็มที่ มีเพียงการข้ามผ่านบ่อแห่งนี้ไปได้จึงจะได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการศึกษา อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเห็นเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ไม่เคยได้ยินว่ามีนักวิชาการในยุคปัจจุบันคนไหนที่ต้องผ่านด่านนี้ หรือจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักวิชาการจอมปลอม ซึ่งที่จริงแล้วไม่สามารถค้นคว้าไปถึงเรื่องของกำแพงป้องกันนั้นอย่างนั้นหรือ อาจารย์หยวนจางได้เป็นคนที่ส่งอาหารของอาจารย์หลีสือเข้าไปด้วยตนเอง อวิ๋นเยี่ยได้แต่หมอบบนหน้าต่างมองดูเท่านั้น อาหารที่ส่งเข้าไปในตอนเช้าได้ถูกอาจารย์หยวนจางนำกลับออกมาโดยที่ยังคงห่อไว้เหมือนเดิม อวิ๋นเยี่ยส่ายศีรษะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หากคิดหาคำตอบไม่ได้ อาจารย์หลีสือจะอดข้าวตายเพราะตนเอง ใบหน้าของเขาซูบผอมมาก ผมยุ่งเหยิงปรกลงมา ปากก็เอาแต่พูดไม่หยุด หลังจากฟังมาเป็นเวลานานจึงได้เข้าใจ เขาถามตัวเองไม่ยอมหยุดว่า

 

 

“สำหรับสวรรค์แล้วข้าคืออะไร สำหรับการเวลาแล้วข้านั้นคืออะไร แมลงปีกแข็งที่กัดกินรากไม้ อายุขัยสั้น ข้าเห็นผีเสื้อกำลังบิน ข้าเห็นปลากำลังว่ายน้ำบริเวณน้ำตื้น ตั๊กแตนตำข้าวที่อยู่ด้านหน้าล้อพูดคุยกับข้า ปลาใหญ่ช่วยให้ชาวบ้านแถบเหอตงอิ่มท้อง นกยักษ์ที่พิโรธหายไปแล้ว มหานทีอันกว้างใหญ่มีเพียงปลาคุน อนิจจาอาจารย์ ศิษย์ควรจะไปที่ใดดี” จู่ๆ เขาก็บ้าคลั่งขึ้นมา

 

 

ทุบตีตัวเองไม่ยอมหยุด ฉีกเสื้อขาด อาจารย์หยวนจางร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงรบเร้าให้อวิ๋นเยี่ยหาทางแก้ไขว่ามีวิธีอะไรดีๆ บ้างหรือไม่ นี่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายคนเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว วิธีการของอวิ๋นเยี่ยก็คือการจับเขากดลงแล้วฉีดยาระงับประสาทให้  แต่จะให้เขาไปหาของสิ่งนั้นมาจากที่ใดกัน

 

 

อาจเป็นเพราะรู้สึกเจ็บปวด อาจารย์หลีสือจึงไม่ทรมานตัวเองอีก แต่กลับเริ่มทรมานไดโนเสาร์แทน ไดโนเสาร์เป็นฟอสซิล มีหรือที่โครงกระดูกแขนและขาเล็กๆ จะทานทนได้ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังมองดูอยากสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่นั้นศีรษะก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา หันกลับไปกำลังจะด่า กลับเห็นเป็นหลี่กังที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ หรือว่าเมื่อครู่ตัวเองสนุกสนานมากเกินไปหน่อย นวดศีรษะแล้วแสร้งทำหน้าเศร้าเบ้ปากอย่างน่าสงสารและดูละครลิงต่อไป การคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวกาศกับเวลาเพียงลำพังจึงทำให้คิดมากจนธาตุไฟเข้าแทรกหรือ ก็ไม่ได้ฝึกวิชากรงเล็บกระดูกขาวเสียหน่อย จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าสู่กองไฟด้วยหรือ”

 

 

หลีสือได้เดินเข้าสู่ทางสองแพร่งแล้ว เขามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์และดวงดาว นี่เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขามุ่งเน้นศึกษาคัมภีร์อู่จิงมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เริ่มสนใจศึกษาปรัชญาจิตตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจในทันที เกรงว่าอาจารย์หลีสือจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเถียนเซียงจื่ออยู่ไม่น้อย เถียนเซียงจื่อคือผู้ที่คิดค้นเรื่องปรัชญาจิต ทุกสรรพสิ่งไม่ต้องถามหาพื้นฐาน เพียงแค่ถามใจตนเอง อาจารย์หลีสือตัวดี เถียนเซียงจื่อตัวดี หากไม่เป็นเพราะวันนี้นึกสนุกจึงได้มาเดินเล่นที่สำนักศึกษาก็จะไม่ได้เห็นความบ้าคลั่งของหลีสือ เมื่อไม่เห็นหลีสือบ้าคลั่งก็จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเถียนเซียงจื่อ หากจู่ๆ อาจารย์หลีสือก็ต่อต้านพวกเราขึ้น อวิ๋นเยี่ยแทบไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายเลย เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตนให้ความเคารพมากที่สุด ตนจริงใจกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับมีเจตนาไม่ดี ซีถงได้เปิดเผยความลับมากมายให้อวิ๋นเยี่ยรู้ รวมถึงประวัติความเป็นมาของปรัชญาจิต สามารถสอนปรัชญาจิตได้จนถึงขั้นโง่งมงายได้ เถียนเซียงจื่อ นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครมีความสามารถเช่นนี้ ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยมืดมนราวกับน้ำ ไม่มีท่าทีที่จะดูเรื่องสนุกอีกต่อไป เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์หลีจะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคนี้ได้ เช่นนี้แล้วเขาจะต้องยอมปล่อยอาจารย์หลีสือจากไปอย่างนอบน้อมโดยที่ทุกคนมองไม่ออก เช่นนี้จึงจะได้ไม่กระทบกระเทือนถึงมิตรภาพด้วย ซึ่งก็เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย “เจ้าหนุ่มรีบหาวิธี” หลี่กังเริ่มรบเร้าอวิ๋นเยี่ย ความวิตกกังวลในแววตาของผู้เฒ่านี้ไม่ว่าใครก็มองออก ตอนนี้แม้ตีอาจารย์หลีสือให้สลบก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเมื่อเขาฟื้นก็จะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เคยมีตัวอย่างเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นหลี่กังจึงได้ร้อนใจ

 

 

 “อาจารย์ของเจ้าได้บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับกาลเวลาบ้างหรือไม่ ถ้าหากมีก็ขอให้อ่านออกเสียงออกมาดังๆ บางทีมันอาจจะช่วยชีวิตของหลีสือได้” อาจารย์อวี้ซันรีบร้อนเข้ามาและพูดกับอวิ๋นเยี่ย เขาชื่นชมนับถืออาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยอย่างหมดใจ สัญชาติญาณบอกเขาว่าการทำเช่นนี้นั้นจะเกิดผล อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าอาการป่วยทางจิตที่รุนแรงเช่นนี้จะหายขาดได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ ล้อเล่นอะไรกัน ในเมื่อพวกเจ้าอยากฟังเช่นนั้น ฉันท่องให้ฟังก็ย่อมได้ บทกวี ‘งานเลี้ยงคืนฤดูใบไม้ผลิ’ ของอาจารย์หลี่ไป๋น่าจะยอดเยี่ยมพอนะ อยากฟังก็จะท่องให้ฟัง เขากระแอมเสียงแล้วท่องออกเสียงดังๆ

 

 

“ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน”

 

 

ใครจะรู้ได้ท่องเพียงแค่สองประโยคเท่านั้นก็ทำให้หลีสือสงบลงได้ หลี่กังรู้สึกดีใจมาก ท่ามกลางความสับสนอลหม่านเขาก็ยังไม่ลืมที่จะยกย่องหลี่ไป๋อยู่หลายประโยค หมุนศีรษะดื่มด่ำราวกับได้ดื่มน้ำอมฤต “ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน” อาจารย์อวี้ซันท่องตาม อาจารย์หยวนจางก็ท่องตามด้วยอีกคน เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาที่ได้ยินข่าวแล้วรีบตามมาต่างก็เริ่มท่องตามอย่างเสียงดัง เพียงพริบตาเดียวทั้งลานกว้างของสำนักศึกษาก็เต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือน

 

 

อวิ๋นเยี่ยแค้นใจนัก! ความฟุ้งซ่านของอาจารย์หลีสือค่อยๆ สงบลง แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดวิ่นจนดูไม่ได้ มีบาดแผลเต็มตัวไปหมด กลับเอามือไพล่หลังเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง ปากก็พร่ำท่องว่า “ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน” เขากระแทกหัวของเขาในขณะที่อ่านมันและในที่สุดก็พูดออกมาดัง ๆ ว่า“ พวกเราแค่ผ่านลูกค้า” ท่องพลางเขกศีรษะของตนเอง ท้ายที่สุดก็พูดเสียงดังประโยคหนึ่งว่า “พวกเราเป็นเพียงแขกที่ผ่านทางมาเท่านั้น” เมื่อพูดจบก็หงายหน้าล้มลงแต่ถูกอาจารย์หยวนจางช่วยพยุงเอาไว้ เมื่อวัดลมหายใจของเขาก็รู้ว่าเข้าได้หลับไปแล้ว ซุนซือเหมี่ยวเรียกนักเรียนสองคนหามออกจากห้องไปและรีบกลับไปที่คลังยาของเขา เมื่อเขาไปถึงที่นั่นอาจารย์หลีสือจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

 

 

อวิ๋นเยี่ยสภาพจิตใจแย่มาก แต่กลับจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับคำสรรเสริญเยินยอจากทุกคนในสำนักศึกษา สรรเสริญอย่างที่สุดต่อคำสองประโยคนี้ หลี่กังใช้สองนิ้วลูบหนวดหลิมของเขา รอจนทุกคนสงบลงแล้วจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ย “บทกวีที่ดีสามารถช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นคืนกลับมา คำพูดประโยคนี้ช่างเป็นคำที่โบราณกล่าวไว้ไม่ผิดเลย เจ้าหนุ่ม ท่องเนื้อหาส่วนที่เหลือให้จบ ข้ายังรอคอยที่จะได้ดื่มด่ำกับมันอยู่” ในเมื่อใช้บทกวีของผู้อื่นแล้วแน่นอนว่าต้องช่วยเผยแพร่ด้วย อย่างไรเสียชื่อเสียงของหลี่ไป๋จะทำให้เป็นที่รู้จักล่วงหน้าสักร้อยปีก็ไม่เสียหายอะไร “บทความนี้ไม่ได้เขียนโดยอาจารย์ข้า หากแต่เป็นผู้ที่มีนามว่าหลี่ไป๋เขียนขึ้นขณะร่วมงานเลี้ยง อาจารย์คิดว่ามันยอดเยี่ยมมากจึงได้ให้ข้าท่องจำเอาไว้ เช่นนั้นข้าจะท่องส่วนที่เหลือให้ทุกท่านได้รับฟังกัน

 

 

“ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน คนโบราณถือเทียนไขยามท่องเที่ยว ย่อมมีเหตุข้องเกี่ยวในตัวของมัน ใบไม้ผลิเย้ายวนข้าให้ใฝ่ฝัน ธรรมชาตินั้นพลันส่งมอบความงาม มาพบปะสังสรรค์ที่สวนท้อ ไม่รีรอที่จะพูดคุยและไต่ถาม เหล่ายอดชายล้วนแล้วแต่น่าเกรงขาม ตัวข้ายามนี้ได้แต่เขียนกวี รู้สึกผิดแน่นอกเป็นหนักหนา แต่ทว่าทุกคนชมอย่างเปรมปรีดิ์ เสวนาด้วยความสุขอันล้นปรี่ ตระเตรียมที่ร่ำสุราชมพฤกษา ต่างเมามายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ซึ่งบทกวีนั้นห้ามขาดหนา เพื่อระบายความรู้สึกในอุรา ใครพลาดท่าต้องโทษดื่มสามจอก”

 

 

หลังจากท่องจบอวิ๋นเยี่ยก็ประสานมือกล่าวลาเพื่อไปพบซุนซือเหมี่ยวโดยไม่รอให้ทุกคนรั้งตัว อาการทางจิตที่รุนแรงเช่นนี้ของอาจารย์หลีสือ หากไม่กำจัดออกไปมีหรืออวิ๋นเยี่ยจะหลับตานอนลงได้ หากอาจารย์หลีสือมีความสัมพันธ์กับโต้วเอี้ยนซันจริงมันจะเป็นหายนะสำหรับตระกูลอวิ๋น อาจารย์หลีสือสามารถเข้านอกออกในบ้านตระกูลอวิ๋นได้อย่างอิสระ ไม่ต้องลำบากอะไรมากเพียงแค่ใช้ยาพิษก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลอวิ๋นเจ็บใจไปจนวันตาย

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ไว้ได้และไม่กล้าด้วย ดังนั้นจึงต้องกำจัดปัญหาให้ได้ เมื่อมาถึงที่พักของซุนซือเหมี่ยว เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับสุขภาพของอาจารย์หลีสือ จึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า

 

 

“ไม่เป็นอะไรมาก อาจารย์หลีสือเพียงแค่คิดมากเกินไปจึงกระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจ ให้พักผ่อนสักระยะหนึ่งก็จะฟื้นฟูดังเดิม ไม่ต้องเป็นกังวลไป” หากบอกว่าจะมีใครสักคนในใต้หล้านี้ที่อวิ๋นเยี่ยไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไม่ระแวดระวัง นอกจากท่านย่าแล้วก็คือซุนซือเหมี่ยว นั่งอยู่นอกห้องยา อวิ๋นเยี่ยได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ซุนซือเหมี่ยวฟัง เหล่าซุนฟังแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้าหนุ่ม เรื่องนี้เจ้าคาดคะเนจากเบาะแสที่มีเพียงบางส่วน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าเข้าใจหลีสือผิดไป สำนักศึกษาจะแตกสลายลงทันทีซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการเห็นอย่างแน่นอน”