บทที่ 356 ลอบโจมตี

ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่แปลกประหลาดเหนือเมืองหยูหลัน ทำให้หลายคนตกตะลึงอย่างมากเนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดภาพเช่นนี้ขึ้นได้

มี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจอย่างมาก พวกเขาไม่เคยเห็นทักษะที่สามารถทำให้ ‘กลางวันกลับกลายเป็นกลางคืนและกลางคืนกลับกลายเป็นกลางวัน’ ได้เช่นนี้ มันจึงทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก

“พี่หญิง ท่านรู้ไหมว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น?” หลิวเฟ่ยเฟ่ยถามเย่ชิงเฉิง

เมื่อได้ยินคำถามของหลิวเฟ่ยเฟ่ย มี่ไล หลิงเทียนหยุนและคนอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่เย่ชิงเฉิง

เนื่องจากพวกเขาทราบเป็นอย่างดีว่าเย่ชิงเฉิงมาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และไม่เพียงแต่นางจะมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ มากกว่าพวกเขา พ่อแม่ของนางก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง หากจะมีใครที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เย่ชิงเฉิงจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน

เย่ชิงเฉิงยิ้ม “นี่เป็นการต่อสู้ของเจตจำนงของพลังสองสายที่แข็งแกร่ง ดวงดาวประเภทนี้ก่อตัวขึ้นเนื่องจากเจตจำนงของทั้งสองฝ่ายนั้นขัดแย้งกัน!”

“ข้าไม่เข้าใจ!” มี่ไลส่ายหัว

เยว่ชิงเฉิงหัวเราะ “สามีคงไม่มีเวลาอธิบายเรื่องเหล่านี้กับเจ้า ให้ข้าบอกกับพวกเจ้าแทนก็แล้วกัน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ฝึกฝนในการใช้พลังอำนาจแห่งกฎ และใช้พลังแห่งกฎของสวรรค์และโลกหลอมรวมเข้ากับทักษะอาณาเขตสวรรค์ของตัวเองเพื่อสำแดงอำนาจของมัน”

“ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตสวรรค์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก แต่พ่อแม่ของข้าเคยเล่าให้ฟังว่ามันเกี่ยวกับอำนาจแห่งเจตจำนง”

“ตามที่พ่อแม่ของข้าพูดให้ฟัง เมื่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ทะลวงขอบเขตไปเหนือกว่าขอบเขตสวรรค์ขึ้นไป พวกเขาจะต้องบรรลุความเข้าใจหนึ่งในกฎของสวรรค์และโลกได้อย่างถ่องแท้ จากนั้นพวกเขาจะสามารถใช้เจตจำนงของพวกเขาสั่นคลอนกฎที่พวกเขาบรรลุมาและทำให้กฎนั้นทำทุกอย่างตามความประสงค์ของพวกเขา”

“ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งจักรพรรดิสองคนได้ใช้เจตจำนงในการสั่นคลอนกฎของสวรรค์โลกที่พวกเขาเข้าใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับพวกเขามากที่สุด”

“หลังจากที่พวกเขาสั่นคลอนกฎของสวรรค์และโลกด้วยเจตจำนงของพวกเขา กฎของสวรรค์และโลกก็ตอบสนองและก่อตัวขึ้นเป็นภาพของสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนการที่จะทำให้เจตจำนงของอีกฝั่งอ่อนแอลงหรือถูกลบล้างไปนั้นทำอย่างไร ในข้อนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่บางทีสามีอาจจะรู้!”

มี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ยและแม้แต่โม่เอ๋อก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ เมื่อพวกเขาได้ฟังคำอธิบายของเย่ชิงเฉิง

เมื่อตอนนี้พวกเขาได้รับคำตอบจากคำถามของพวกเขาแล้ว พวกเขาจึงเฝ้าดูสถานการณ์ต่ออย่างใจเย็น

หลิงตู้ฉิงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจตจำนงการต่อสู้ทั้งสองในอากาศ เขาหันกลับและเดินเข้าไปในเรือน และพูดกับสีเป่ยเซียะ “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการช่วย?”

สีเป่ยเซียะยิ้มและพูดว่า “ข้าจะช่วย แต่ถ้าท่านได้รับผลประโยชน์ใด ๆ มา ท่านต้องแบ่งมันให้ข้าบ้าง”

แม้ว่านางจะเคยพูดไปแล้ว แต่นางก็ต้องเน้นย้ำอีกครั้ง

ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าการช่วยหลิงตู้ฉิงและลั่วหยุนรอบนี้จะได้ประโยชน์มากแค่ไหน แต่นางจะพูดข้อแม้ของนางให้ชัดเจนเพื่อที่นางจะได้ไม่เสียเปรียบหลังจากจบเรื่องนี้

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ภารกิจที่ข้ามอบหมายให้เจ้าคือการแยกร่างที่ผนึกวิญญาณปีศาจออกมาจากวิญญาณของมัน ร่างนั้นเป็นร่างของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งจักรพรรดิ ดังนั้นคนธรรมดาย่อมไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้แน่นอน แต่ในฐานะที่เจ้าเป็นคนของสำนักเบญจธาตุ ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถแยกมันได้อย่างแน่นอน”

สีหน้าของสีเป่ยเซียะกลายเป็นจริงจังและพูดว่า “มันคือ วิญญาณปีศาจ! หากแยกวิญญาณของมันออกจากร่างที่ผนึกมัน ความแข็งแกร่งของมันก็จะถูกปลดผนึกอย่างสมบูรณ์ และพลังของมันจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิที่แท้จริง จากนั้นมันจะไม่ใช่แค่สามารถใช้พลังแห่งเจตจำนงได้เพียงอย่างเดียว มันจะกลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวอย่างไม่มีใครเทียบได้”

“ข้าต้องการให้เจ้าปลดปล่อยมัน เจ้าแค่ทำตามคำสั่งของข้า” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

เมื่อเห็นการแสดงออกที่แน่วแน่ของหลิงตู้ฉิง สีเป่ยเซียะค่อย ๆ พยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดูหากข้ามีโอกาส!”

หลิงตู้ฉิงหันกลับมาและพูดกับคนอื่น ๆ “จงตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็หันกลับและเดินเข้าไปด้านในมิติของมหาค่ายกลที่ลั่วหยุนนำมาด้วยและพูดกับเหวินลู่หยาน “พวกเจ้าทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอวิญญาณปีศาจปรากฏขึ้น สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือโคจรวิชาบุปผาสยบมารของพวกเจ้าเพียงอย่างเดียวโดยไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องอื่น”

เหวินลู่หยาน และคนอื่น ๆ ต่างก็สั่นสะท้าน ขณะที่พวกนางถามว่า “นายท่าน พวกเราจะสามารถจัดการกับวิญญาณปีศาจนั้นได้จริงหรือ?”

เมื่อเห็นภาพของสถานการณ์ที่น่าตื่นตะลึงด้านนอก ความมั่นใจของพวกนางก็เริ่มลดต่ำลง

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าคือกุญแจสำคัญในการกำจัดมัน วิชาที่ข้าถ่ายทอดให้กับพวกเจ้านั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับมันโดยเฉพาะ”

ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการ การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้นในอากาศ ภายใต้คำสั่งของวิญญาณปีศาจ กู๋เซินหมิงก็นำเหล่าคนของสำนักอักขระวิญญาณ เก๋อหงเฟยนำคนของอารามนวดารา หนิวฮ่าวตงนำอารามนภากระจ่าง เก๋อชิงโหนำคนของนางสำนักวิญญาณเร้นลับ และอีก 2-3 สำนักที่ถูกชักจูงโดยวิญญาณปีศาจเข้าโจมตีผู้คนของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ทันที

ในอีกด้าน ไพ่ลับของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ก็ถูกเปิดเผยจนหมด

นอกเหนือจาก ซือเสี่ยวฮุย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด ยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีก 2 คน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาครามอีก 1 คนและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนักบุญอีกเป็นจำนวนมาก

ตลอดเวลากว่าหมื่นปีที่ผ่านมา ลั่วหยุนเองไม่ได้อยู่เฉย ๆ เขาได้ซ่องสุมผู้เชี่ยวชาญไว้เป็นจำนวนมากเพื่อจัดการกับวิญญาณปีศาจ

แน่นอนว่าในเมื่อตอนนี้มันถึงเวลาเผด็จศึกกับวิญญาณปีศาจ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทั้งหมดจึงถูกเรียกออกมาให้ต่อสู้

ในขณะนี้เมื่อหอการค้าเชื่อมสวรรค์และสำนักอื่น ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังชุลมุนกันอยู่ ทางด้านของเย่หยูหลันขมวดคิ้วมองไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก จากนั้นนางมองไปที่เย่ชิงเฉิง นางแอบถอนหายใจจากนั้นนางก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

กู่ตงฉิงมองออกไปที่ด้านนอกเช่นกันและเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว

เขาและหลิงตู้ฉิงยังคงมีข้อขัดแย้งกันอยู่ และเนื่องจากหอการค้าเชื่อมสวรรค์ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงจะไม่เข้าไปแทรกแซง และหลิงตู้ฉิงก็เคยพูดไว้นานแล้วว่าถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะลงมือเขาก็สามารถที่จะยืนดูอยู่เฉย ๆ ได้

“นายน้อยเราควรลงมือหรือไม่?” คนรับใช้ชราของตำหนักเทพเหมันต์ถามขึ้น

ปิงยู่หลางมองไปที่ปิงเจิ้งซูที่กำลังต่อสู้อยู่ในอากาศและพูดกับคนรับใช้ของเขา “เจ้าไปด้วย!”

คนรับใช้ชราพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาพุ่งขึ้นไปเข้าร่วมการต่อสู้

สำหรับปิงยู่หลางเอง ร่างของเขาก็พุ่งเข้าหาหานซ่งหยวนและคนอื่น ๆ โดยไม่รู้ตัวเพราะข้าง ๆ หานซ่งหยวนและคนอื่น ๆ คือ กู่ตงฉิง ซึ่งยังไม่ได้เคลื่อนไหว

ในขณะที่การต่อสู้อันชุลมุนกำลังดำเนินไป แสงสีทองก็พุ่งออกจากมือของสีเป่ยเซียะไปยังวิญญาณปีศาจที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ

“ผู้อาวุโส…!!” เก๋อหงเฟยร้องอย่างตกใจ

พวกเขาตกตะลึงเพราะ ‘ผู้อาวุโส’ ของพวกเขากำลังต่อสู้กับเจตจำนงของลั่วหยุน ถ้าเขาถูกซุ่มโจมตีทุกอย่างก็จะจบลง ผู้อาวุโสเป็นผู้สนับสนุนพวกเขา หากพวกเขาสูญเสียผู้สนับสนุน ชะตาของพวกเขาก็จะต้องจบสิ้นตามลงไปแน่นอน

ในขณะที่พวกเขากำลังจะกลับไปช่วย คนของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ก็มองเห็นโอกาสนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าโจมตีเก๋อหงเฟยและคนอื่น ๆ ด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อยับยั้งไม่ให้เข้าไปแทรกแซง

กู๋เซินหมิง ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถหลุดจากการพัวพันออกมาได้และกำลังจะพุ่งตัวไปช่วยวิญญาณปีศาจ แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกทำให้แข็งค้างอยู่กลางอากาศและไม่สามารถขยับได้ เขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอย่างหมดหนทางขณะที่แสงสีทองพุ่งเข้าหาวิญญาณปีศาจ

ในขณะเดียวกัน วิญญาณปีศาจที่กำลังนั่งอยู่ในอากาศบนกล้วยไม้สีดำ มันทำราวกับว่าไม่เห็นแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาหา มันปล่อยให้แสงสีทองตัดไปที่คอของมันเองอย่างง่ายดาย ส่งผลให้หัวของมันหลุดออกจากบ่าและร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างทันที

ในขณะนี้ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแสงสีทองนั้นมันคือมีดบินยาว 3 นิ้ว หลังจากมันบั่นคอของลั่วหยุนเสร็จมันก็บินกลับมาหาสีเป่ยเซียะทันที

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งจักรพรรดิถูกสังหารด้วยมีดบินง่าย ๆ แบบนี้งั้นหรือ?!

หากผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตครึ่งจักรพรรดิถูกสังหารด้วยมีดเล่มเล็ก ๆ แบบง่าย ๆ เช่นนั้น แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะบ่มเพาะไปถึงระดับนั้นกัน?