ตอนที่ 179-1 ส่งสาร

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

กว่าทุกคนจะกลับไปถึงที่ว่าการอำเภอเมืองหย่งเหอก็ใกล้ฟ้าสางแล้ว ทุกคนต่างก็หิวไส้แทบขาด เหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด

 

 

เยี่ยจ้งหมิ่นกระตือรือร้นอย่างยิ่ง และจัดการได้ดีอย่างยิ่งเช่นกัน เขาให้คนของตนที่อยู่ในเรือนออกไปจัดแจงที่ให้ท่านเสิ่นโหวและคนอื่นๆ หลังจากนั้นก็พาหมอมาพร้อมคนรับใช้เตรียมน้ำร้อนและอาหาร ทั้งยังส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปเชิญหมอในอำเภอมาทั้งหมด การกระทำทั้งหมดทำให้เสิ่นเวยอดมองเขามากขึ้นไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยเหนื่อยแล้วจริงๆ ตอนที่อาบน้ำแทบจะหลับอยู่ในอ่าง โชคดีที่เสี่ยวตี๋ตามเข้าไป มิเช่นนั้นนางจะต้องถูกลมหนาวจนไม่สบายเป็นแน่

 

 

เพิ่งจะผ่านศึกใหญ่มา เสิ่นเวยหิวอย่างยิ่ง แต่กลับไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ท้ายที่สุดห้องครัวก็ทำบะหมี่ผักร้อนๆ หนึ่งชามให้ เสิ่นเวยจึงยอมกิน

 

 

กินบะหมี่เสร็จแล้ว ความเหนื่อยล้าก็จู่โจมหัวใจ อย่างไรเสียเรื่องหลังจากนี้ก็มีท่านปู่ หย่งติ้งโหว แม่ทัพอู่เลี่ยกับคุณชายใหญ่สวีจัดการแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องให้นางร้อนใจอีก นางหลับสักตื่นหนึ่งก่อนดีกว่า

 

 

ท่านเสิ่นโหวและคนอื่นๆ รวมตัวปรึกษาหารือกันอยู่ในห้อง ทั้งหมดเห็นว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินไปแล้ว ต้องกราบทูลจักรพรรดิ แต่จะส่งใครไปดีเล่า จากการโจมตีเมื่อคืน ที่พักระหว่างการเดินทางของพวกเขาตกอยู่ในสายตาของคนอื่นมานานแล้ว ฝ่ายตนอยู่ในที่แจ้ง ฝ่ายศัตรูอยู่ในที่ลับ ใครจะรู้ว่าคนที่ส่งไปจะเข้าเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

 

 

สิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งว้าวุ่นใจก็คือ พวกเขาไม่รู้เลยว่าศัตรูคือใคร พูดกันตามตรง นอกจากจักรพรรดิเองแล้ว ยังมีใครที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้อีก แต่จักรพรรดิไม่มีทางปลดตนลงจากตำแหน่งแน่นอน เช่นนั้นจะเป็นใครได้อีก คนหลายคนต่างก็รู้สึกว่าลำคอถูกดาบที่มองไม่เห็นเล่มหนึ่งจี้อยู่ ไม่ปลอดภัยอย่างถึงที่สุด

 

 

“หรือว่า จะรบกวนคุณชายสี่วิ่งไปเที่ยวหนึ่ง” แม่ทัพอู่เลี่ยเสนอความคิดเห็นของตน ความสามารถของคุณชายสี่ผู้นี้เขาเห็นมาโดยตลอด เขาคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่านางอีกแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่านี่คือสตรี แต่แม่ทัพอู่เลี่ยกลับมองข้ามข้อเท็จจริงนี้อยู่เสมอ ก็เพราะคุณหนูสี่ห้าวหาญจนไม่เหมือนสตรีจริงๆ นี่นา

 

 

เมื่อข้อเสนอนี้เอ่ยออกมา หย่งติ้งโหวก็สนใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร กลับมองท่านเสิ่นโหวแทน “ท่านเสิ่นโหวคิดเห็นว่าอย่างไร มีคนที่ดีกว่านี้หรือไม่”

 

 

คุณชายสี่แซ่เสิ่นเป็นหลายชายแท้ๆ ของจงอู่โหว จะส่งเขาไปส่งสาส์นหรือไม่ก็ยังต้องดูเจตนาของท่านเสิ่นโหวก่อน คุณชายสี่แซ่เสิ่นมีความสามารถยิ่งนัก ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแต่หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดเล่า หากมีอุบัติเหตุใดๆ ระหว่างทาง ท่านเสิ่นโหวจะไม่เกลียดพวกเขาเหล่านี้จนตายเลยหรือ

 

 

อันที่จริงท่านเสิ่นโหวก็ไม่อยากให้หลานสาวของเขาไปเสี่ยงอันตรายนี้จากใจจริง ที่หลานสาวบ้าคลั่งเมื่อคืนเขาเห็นกับตา เสี่ยวตี๋เองก็รายงานเขาแล้ว บอกว่าบนร่างคุณหนูมีบาดแผลภายนอกไม่น้อย เขาทั้งรู้สึกผิดทั้งปวดใจ นี่คือสตรี ไม่ใช่เด็กซนที่ผิวหยาบหนังหนาเสียหน่อย

 

 

ดูจากเจตนาของหย่งติ้งโห่วก็มุ่งไปที่เจ้าสี่เช่นเดียวกัน ท่านเสิ่นโหวก็ยิ่งไม่กล้าพูดว่าไม่เห็นด้วย แต่จะให้เขาพูดว่าเห็นด้วยกับปาก เขาก็ไม่ยินดี

 

 

ระหว่าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ก็เห็นศีรษะชะโงกออกมาตรงหน้าประตู “ท่านปู่ พวกท่านปรึกษาเสร็จแล้วหรือยัง ได้ข้อสรุปว่าอย่างไร” เสิ่นเวยกระโดดเข้ามา

 

 

นางหลับไปไม่ถึงสองชั่วยามก็ตื่นแล้ว อันที่จริงนางไม่วางใจจางสง เฉียนเป้าผู้ช่วยเหล่านี้ นางเพิ่งจะไปดูพวกเขามา นอกจากคนที่บาดเจ็บสาหัสหลายคนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแล้ว สถานการณ์ของคนที่เหลือก็ดีอย่างยิ่ง นางจึงวางใจมาหาท่านปู่

 

 

แม่ทัพอู่เลี่ยเห็นเสิ่นเวย ใบหน้าก็แย้มยิ้มในชั่วขณะ “คุณชายสี่ พวกเรากำลังปรึกษาว่าจะส่งสาส์นไปเมืองหลวงอย่างไรดี ผู้ชราคิดว่ามีเพียงคุณชายสี่ที่จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้ ไม่ทราบว่าคุณชายสี่คิดเห็นอย่างไร” เหอะ คิดว่าเขามองไม่เห็นความสมัครใจของหย่งติ้งโหวสุนัขจิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นกับท่านเสิ่นโหวหรือ เป็นแม่ทัพเหมือนกันหมด จะหวาดระแวงถึงเพียงนั้นไปทำไม

 

 

เสิ่นเวยมองปู่นางตามจิตใต้สำนึก แววตาของท่านเสิ่นโหวกะพริบวาบ ยิ้มบางๆ พยักหน้ากล่าว “กำลังหารือกันอยู่ เจ้าสี่มั่นใจหรือไม่ เส้นทางนี้ไม่ง่าย!” เขาบอกเป็นนัย ยังคงไม่อยากให้หลานสาวไปเสี่ยงอันตราย มีบุตรหลานมากมายเพียงนี้ ไหนเลยจะถึงคราวที่หลานสาวคนเล็กของเขาต้องไปเสี่ยงอันตราย

 

 

แสงสว่างหนึ่งสายวาบผ่านดวงตาของเสิ่นเวยไป นางเข้าใจความหมายแฝงของท่านปู่ แต่นางเองก็มีความคิดของตัวเองเหมือนกัน ดูจากการต่อสู้เมื่อคืน คนที่เสียเปรียบมากมายเพียงนั้นล้วนไม่อาจยอมวางมือยุติเรื่องราว การเดินทางต่อจากนี้จะต้องยากลำบากอย่างยิ่ง พวกเขาคนแค่นี้ก็อย่าได้คิดจะกลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัยเลย

 

 

จะทำอย่างไรดี เช่นนั้นก็มีเพียงไปขอกองกำลังหนุนจากจักรพรรดิ ให้จักรพรรดิส่งกองทัพมารับ ส่งข่าวไม่ได้หนึ่งวัน พวกเขาก็เป็นอันตรายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน ดูท่าแล้วยังต้องให้นางวิ่งไปหนึ่งเที่ยวแล้วจริงๆ

 

 

“ได้สิ เช่นนั้นข้าจะวิ่งไปให้!” นึกถึงตรงนี้เสิ่นเวยก็ตอบอย่างสบายๆ เห็นปู่นางขมวดคิ้ว ก็รีบกล่าวปลอบ “ท่านปู่วางใจเถอะ ข้าคิดแผนรับมือไว้แล้ว ไม่อาจมีอันตรายได้แม้แต่นิดเดียว” ความเจ้าเล่ห์แวบผ่านอยู่ในแววตานาง

 

 

ไม่ใช่ว่าเสิ่นเวยชอบยุ่งเรื่องคนอื่น นางจะไม่สนใจท่านปู่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นของนางก็ได้ แต่คนร้อยคนนั้นที่นางพามาจะทำอย่างไร ตายไปสิบกว่าคนแล้ว นางไม่อยากให้มีใครในพวกเขาเสียชีวิตระหว่างทางอีก เฮ้อ นางน่ะ อันที่จริงแล้วก็เป็นห่วง

 

 

แม้ว่าในใจสวีโย่วจะไม่ยินดี แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากค้าน แม้ในใจเขาจะอยากไปพร้อมกับนาง แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เขาเหมือนกับท่านเสิ่นโหว หย่งติ้งโหวและคนอื่นๆ ตกอยู่ในสายตาคนอื่นนานแล้ว หากเขาอยู่ข้างกายเด็กน้อย เกรงว่าจะเป็นการนำอันตรายมาให้นางมากกว่าเดิม

 

 

“น้องสี่แซ่เสิ่น เช่นนั้นให้เจียงเฮยตามเจ้าไปด้วย” ในเมื่อเขาไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้เจียงเฮยไปเป็นเพื่อนนางแล้วกัน หากพบอันตรายจริงๆ ก็ยังมีคนช่วย

 

 

เสิ่นเวยปฏิเสธทันที “ใครบ้างไม่รู้ว่าเจียงเฮยกับเจียงไป๋เป็นทหารคนสนิทที่สุดข้างกายท่าน หากเขาไม่อยู่ ไม่ใช่จะทำให้คนอื่นสงสัยหรือ ไม่ได้ๆ ข้าจะไม่พาไปแม้แต่โอวหยางไน่”

 

 

“เช่นนั้นเจ้า?” เมื่อทุกคนได้ยินนางบอกว่าแม้แต่โอวหยางไน่ก็จะไม่พาไป ชั่วขณะก็เป็นกังวลขึ้นมา

 

 

เสิ่นเวยเองก็จนปัญญาอย่างยิ่ง รอยแผลเป็นนั้นบนหน้าโอวหยางไน่ชัดเจนมาก พาเขาไปด้วยไม่ใช่ทำให้ดึงดูดสายตาหรอกหรือ “วางใจเถอะ เถาฮวากับเสี่ยวตี๋ตามข้าไปก็พอแล้ว ข้ามีแผน รับรองว่าพวกท่านจะต้องตะลึง” ดวงตาของเสิ่นเวยกลอกไปมา ท่าทางเจ้าเล่ห์อย่างถึงที่สุด

 

 

ตอนที่เสิ่นเวยและคนทั้งสองปรากฏตัวอยู่หน้าคนหลายคนอีกครั้ง พวกเขาก็ตกตะลึงจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยเปลี่ยนเป็นชุดจอมยุทธ์สตรีที่คล่องตัว เอวเหน็บกระบี่ล้ำค่าเล่มงาม แต่งตัวเหมือนจอมยุทธ์หญิงในยุทธจักร เถาฮวากับเสี่ยวตี๋เองก็สวมชุดสตรีเช่นเดียวกัน แต่ว่าแต่งเป็นบ่าวรับใช้ ทั้งสามยืนอยู่ด้วยกันแล้วก็คือฉากคุณหนูน้อยตระกูลยุทธภพตระกูลใดตระกูลหนึ่งไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำพาสาวใช้ออกจากบ้านท่องยุทธจักร

 

 

“นาง นาง…” หย่งติ้งโหวชี้เสิ่นเวย ตกใจจนพูดไม่ออก

 

 

แม่ทัพอู่เลี่ยก้าวขึ้นไปจับไหล่ของเขาอย่างภูมิใจ เอ่ยราวกับสนิทสนม “หย่งติ้งโหวเองก็คิดไม่ถึงใช่หรือไม่ คุณชายสี่ของพวกเราเป็นโฉมสะคราญ ตอนแรกข้าเองก็ตกใจ ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็ชิน” หลังจากนั้นก็กดเสียงต่ำกล่าว “เรื่องนี้เจ้ารู้ในใจก็พอแล้ว อย่าได้พูดออกไปเชียว คุณชายสี่เป็นภรรยาที่ยังไม่ออกเรือนของคุณชายใหญ่ผู้นั้น เฮ้อ ท่านเสิ่นโหวเนี่ยสอนลูกหลานดีจริงๆ!” เขายังแสร้งทำเป็นทอดถอนใจ

 

 

“ท่านปู่ เป็นอย่างไร” เสิ่นเวยกางแขนหมุนตัวอยู่กับที่หนึ่งรอบด้วยความภูมิใจ

 

 

ท่านเสิ่นโหวพยักหน้าช้าๆ “นี่กลับเป็นความคิดที่ไม่เลว” แม้ว่าระหว่างทางจะถูกสกัด แต่ต่อให้เขาคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึงว่าคุณชายสี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจะเป็นสตรี

 

 

เสิ่นเวยและคนทั้งสองต่างก็ขี่ม้าเร็วออกไปไกลแล้ว หย่งติ้งโหวก็ยังไม่ได้สติกลับมา ไอ๊หยาแม่จ๋า คิดอยู่เนิ่นนานที่แท้แล้วคุณชายสี่ก็คือคุณหนูสี่นี่เอง! มิน่าเล่าท่านเสิ่นโหวถึงไม่ยินดีให้นางไปเสี่ยงอันตราย หลานสาวคนเล็กตระกูลใดบ้างที่ไม่น่ารักไม่เป็นที่โปรดปราน ไหนเลยจะยอมให้นางไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้

 

 

ตอนอยู่ที่เมืองชายแดนซีเจียงเขาก็ว่าเหตุใดคุณชายใหญ่สวีถึงชอบอยู่ใกล้ๆ คุณชายสี่แซ่เสิ่น ที่แท้แล้วพวกเขาก็เป็นคู่หมั้นกันนี่เอง! มิน่าเล่า! มิน่าเล่า!

 

 

“คุณหนู นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดสะอาดที่สุดในเมืองแล้ว ท่านยอมหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวตี๋ที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมหรูอี้โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด

 

 

ส่วนเสิ่นเวยคุณหนูน้อยที่ถูกนางเกลี้ยกล่อมกลับมีสีหน้าไม่ยินยอมทั้งใบหน้า นางจ้องมองข้างในปราดหนึ่ง ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ใหญ่ที่สุดสะอาดที่สุดอะไร สกปรกจะตายชัก หนวกหูจะตายชัก ที่ข้ามีก็คือเงิน สาวใช้เช่นเจ้ากลับพาข้ามาพักที่โกโรโกโสแบบนี้ ใครๆ ก็บอกว่าเจ้าเก่ง ข้าว่ายังเทียบเถาฮวาที่โง่เขลาไม่ได้ด้วยซ้ำ คิดว่ากลับไปข้าจะไม่กล้าให้ท่านพ่อลงโทษเจ้าหรือ เหอะ!” นางแสดงบทคุณหนูน้อยงี่เง่าเอาแต่ใจที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้เหตุผลได้สมจริงอย่างยิ่ง

 

 

เสี่ยวตี๋จนปัญญา “คุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว! ออกมาข้างนอกไหนเลยจะเหมือนอยู่บ้าน ท่านอยากท่องยุทธจักรไม่ใช่หรือเจ้าคะ ท่องยุทธจักรจะไม่อยู่โรงเตี๊ยมได้อย่างไร” นางเกลี้ยกล่อมช้าๆ

 

 

บนใบหน้าเสิ่นเวยแสดงสีหน้าลังเลออกมา บุ้ยปากอยู่นานจึงกระทืบเท้ากล่าว “ก็ได้ วันนี้ฝืนใจอยู่ที่นี่สักคืน จำไว้ ข้าขอพักห้องที่ดีที่สุด”

 

 

“เจ้าค่ะๆ บ่าวทราบแล้ว เชิญเจ้าค่ะคุณหนู พวกเราไปกินอะไรกันก่อน” เสี่ยวตี๋แสดงท่าทางเหมือนถูกยกภูเขาออกจากอก

 

 

เพราะว่าเสียงสนทนาของทั้งสองไม่เบา โดยเฉพาะเสิ่นเวย คุณหนูน้อยอารมณ์ร้อนไม่ได้ดั่งใจอย่างไรเอะอะโวยวายอย่างไร ฉากหน้าประตูโรงเตี๊ยมฉากนี้จึงตกอยู่ในสายตาคนไม่น้อย พากันตกใจว่านี่คือคุณหนูตระกูลใด นิสัยเอาแต่ใจจริงๆ ยังจะแต่งออกเรือนได้อยู่อีกหรือ