ตอนที่ 465 จับได้

วาสนาบันดาลรัก

คุณชายรองหลัวยืนอยู่ข้างเตียง เขามองเยียนเหนียงเงียบๆ โดยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง

 

 

ผมยาวดำขับราวขนของอีกาขับให้ใบหน้ารูปไข่ของนางขาวสว่างขึ้น ขนตาดำหนาของนางปกคลุมดวงตาของนางเอาไว้ การใช้ชีวิตสบายๆ ของนาง ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ดอกฟ้าร่วงโรยเท่านั้นแต่ยังทำให้มันบานสะพรั่งอีกด้วย

 

 

คุณชายรองหลัวถอนใจพลางคิดว่า นี่ต่างหากคือสตรีที่แท้จริง นางไช่ผู้นั้นคืออะไรกัน นางเหมือนสาวใช้ที่มีหน้าที่ปูที่นอนพับผ้าห่มให้เขาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ดูจืดชืดมากนัก

 

 

หมาป่าที่เก็บกดมานานย่อมทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีที่ผ่านมานี้จิตใจของหลัวเอ้อหลั่งคล้ายตกอยู่ในกระทะทองแดงที่ต้มเขาจนแทบสลาย เขาจึงไม่เคยได้สัมผัสความสุขมาก่อน

 

 

ดวงตาของเขาปรากฏเปลวเพลิงขึ้น สว่างจนน่าตกใจ เวลานี้ในหัวของเขามีความคิดเพียงอย่างเดียวคือเขาต้องการได้สตรีนางนี้ ทันใดนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเขาไม่อยากได้ยินคำพูดไร้สาระของใครทั้งนั้นรวมทั้งของผู้หญิงคนนนี้ด้วย!

 

 

คุณชายรองหลัวหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวออกมา ขยำเป็นก้อนกลมๆ แล้วยัดเข้าไปในปากของเยียนเหนียง

 

 

เยียนเหนียงตื่นขึ้น นางพยายามที่จะดิ้นรนต่อสู้แต่แขนขาของนางกลับถูกมือเท้าของชายผู้นั้นควบคุมเอาไว้แน่น ปากของนางถูกอุดเอาไว้จึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องอู้อี้เท่านั้น

 

 

“ข้าเอง” คุณชายรองหลัวยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้าหมดหวังของเยียนเหนียง และน้ำตาของนางที่เอ่อล้น เขากลับรู้สึกมีความสุขพลางใช้ขาของตนแยกขาของนางออก จากนั้นร่างกายของเขาจึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนาง

 

 

ในตอนนั้นนายท่านรองหลัวได้มาถึงด้านนอกของเรือนเล็กอย่างชำนาญเส้นทาง เมื่อเห็นกำแพงเตี้ยๆ เช่นนั้นจึงยิ้มออกมา เขาใช้มือช่วยประคองจากนั้นจึงกระโดดขึ้นกำแพงแล้วกระโดดลงไปอีกฝั่ง

 

 

เหนือความคาดหมายตรงที่เสียงตอนตกลงพื้นไม่ดังนัก นายท่านรองหลัวจึงยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าตัวเองยังปีนกำแพงได้ อารมณ์ของเขาพลันดีขึ้น

 

 

การที่เขากระโดดเช่นนี้ได้ ทำให้เขาได้ความมั่นใจแบบวัยหนุ่มสาวกลับมา

 

 

นายท่านรองหลัวมุ่งหน้าไปยังหน้าต่างของห้องหลัก เขาจึงไม่รู้เลยว่าตัวเลือกของเขาสองพ่อลูกเหมือนกัน

 

 

แต่ต่างจากคุณชายรองหลัว นายท่านรองหลัวไม่ได้มาที่นี่เพียงครั้งสองครั้ง เขาไม่เคยหลงลืมสตรีที่น่าหลงใหลผู้นี้เลย โดยเฉพาะนางไช่ที่ชอบวางตัวน่าเคารพแข็งกระด้าง เทียบไม่ได้เลยกับความอ่อนโยนของนางเถียน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาที่นี่บ่อยขึ้น

 

 

นายท่านรองหลัวเองก็พอมองออก จากท่าทางของเยียนเหนียงแล้ว คล้ายไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขา แต่แล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงมีเจ้าแปดอยู่ ทุกครั้งที่มานางย่อมต้องยอมแต่โดยดี

 

 

และด้วยสาเหตุที่เยียนเหนียงไม่ค่อยว่าง่ายนัก ยิ่งทำให้นายท่านรองหลัวชอบมาที่นี่โดยที่ไม่บอกล่วงหน้าเพื่อที่จะได้เห็นนางตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้วพยายามขัดขืน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเขาอยู่ดี

 

 

ทว่าคราวนี้ ขณะที่เดินไปจนถึงหน้าต่างกลับได้ยินเสียงอันรื่นรมย์ของชายหญิงดังออกมา ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับโดนฟ้าผ่ากลางศีรษะ

 

 

นายท่านรองหลัวแทบจะลืมหายใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเริ่มใจเย็นขึ้น ดวงตาของเขาที่เบิกกว้างราวระฆังค่อยๆ ขยับ จากนั้นจึงหยิบขอบหน้าต่างไม้ที่ไม่รู้ว่าร่วงอยู่ด้านนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ขึ้นมา จากนั้นจึงกระโดดเข้าไปทางหน้าต่าง

 

 

คนในห้องเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบกระโดดลงจากเตียงแล้วหันไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างร้อนรน

 

 

ใต้แสงจันทราสลัว นายท่านรองหลัวจึงเห็นแผ่นหลังขาวๆ ก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อเห็นชัดว่าคนผู้นั้นคือใคร โลหิตของเขาพลันสูบฉีด จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าไปต่อยคนผู้นั้นไม่ยั้งมือพลางก่นด่าออกมาว่า “เดรัจฉาน ไอ้เดรัจฉาน! ตอนที่เจ้าเกิดมา เหตุใดข้าจึงไม่จับเจ้ายัดส้วมให้ตายไปเสีย!”

 

 

ตอนนั้นคุณชายรองหลัวตื่นตระหนกอย่างมาก คำพูดตีบตัน เขาทำได้เพียงยกมือขึ้นมาป้องหน้าตัวเองเอาไว้แล้วก้าวถอยหลังเพื่อหลบหลีกการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของนายท่านรองหลัว

 

 

นายท่านรองหลัวกลับยิ่งรุกโจมตีหนักขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาผรุสวาทด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุดออกมา “ไอ้เดรัจฉาน ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นสวะไร้ประโยชน์ มิน่าเล่าเจ้าถึงสอบไม่ผ่านทั้งสองครา เพราะเจ้ามีใจอยากนอนกับเมียของข้า ฟ้าดินจึงทนดูไม่ได้ แม้ฟ้าไม่ผ่าเจ้าตาย ข้าก็จะจัดการเจ้าให้ตายคามือเอง!”

 

 

คำพูดเหล่านี้คมกริบราวกับมีดที่แทงเข้าไปในหัวใจของคุณชายรองหลัว ตอนนั้นเอง เขาลืมความเป็นพ่อเป็นลูกไปสิ้น มือของเขาไม่ได้ใช้ป้องกันอีกต่อไป แต่กลับโจมตีด้วยการผลักเขาออกไปเต็มแรง

 

 

นายท่านรองหลัวศูนย์เสียการควบคุมตัวเองไปและไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าลูกชายแท้ๆ ของตัวเองจะกล้าลงมือจึงไม่ได้เตรียมตั้งรับเอาไว้ เมื่อถูกผลักเต็มแรงเช่นนี้ เขาจึงผงะหงายหลังลงไปกระแทกกำแพงอย่างแรง

 

 

เยียนเหนียงที่พึ่งลุกขึ้นเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ยังคงตั้งท่าป้องกันคุณชายรองหลัวอยู่ ร่างกายของนางยังคงชะงักนิ่งอยู่เช่นนั้น ฉับพลันบรรยากาศภายในห้องจึงเงียบสงัดลง

 

 

หลังจากนั้น มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

 

 

ตอนนั้นคุณชายรองหลัวคล้ายได้สติกลับคืนมา เขาหันซ้ายหันขวา

 

 

เขาหันไปเห็นลี่ว์เจวียน สาวใช้ของเยียนเหนียงที่คอยอยู่เฝ้านางมีสีหน้าตกใจกลัว สีหน้าของนางขาวราวหิมะ

 

 

คุณชายรองหลัวหรี่ตา จากนั้นจึงก้าวยาวๆ พุ่งตรงไปหาลี่ว์เจวียน

 

 

ตอนนั้นเอง ลี่ว์เจวียนกล้าสาบานเลยว่า นางรู้จักกับความหมายของคำว่าคาดแค้นหมายเอาชีวิตเป็นอย่างไร

 

 

ช่วงเวลาเป็นตายเช่นนี้ แม้แต่คนที่ยอมรับชะตากรรมยังมีความหวังที่จะรอดชีวิต เมื่อเห็นผู้ที่จะเอาชีวิตนางเดินเข้ามาใกล้ ลี่ว์เจวียนไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย นางได้แต่ก้มหน้าก้มตาวิ่งหนีเท่านั้น

 

 

นางกลั้นใจวิ่งไปยังประตู นางใส่กลอนประตูบานใหญ่สีซีดจากอีกด้าน ในขณะที่นางลองทดสอบเขย่าประตูดูสองทีด้วยความตื่นตระหนกและเห็นว่าประตูไม่สามารถเปิดออกได้ ตอนนั้นนางพลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ลี่ว์เจวียนตื่นตระหนกจนอกแทบจะแตกออกมา ถึงขนาดรับรู้ได้ถึงเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย ตอนนั้นเองที่กลอนประตูหลุดออกในที่สุด ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก คุณชายรองหลัวจึงวิ่งไล่เข้ามาแล้วยื่นมือเตรียมจะคว้าตัวลี่ว์เจวียนเอาไว้

 

 

ลี่ว์เจวียนถูกคว้าแขนเสื้อเอาไว้ ความหวาดผวาสุดขีดสูบสติสัมปชัญญะของนางไปสิ้น นางกรีดร้องออกมา แต่บังเอิญที่มีธรณีประตูขวางคุณชายรองหลัวเอาไว้ได้ครู่หนึ่ง นางจึงใช้โอกาสนี้ออกแรงจนได้ยินเสียงแขนเสื้อของตัวเองขาดแควก จากนั้นลี่ว์เจวียนจึงวิ่งหนีหายเข้าไปในความมืดยามค่ำคืน

 

 

เรือนด้านในของจวนกั๋วกงไม่มีคนคอยเฝ้า แต่ในพื้นที่เจ็ดแปดส่วนของจวนมีหญิงรับใช้ที่เข้าเวรอยู่ ตอนนั้นบังเอิญที่มีหญิงรับใช้คนหนึ่งตื่นกลางดึก อากาศร้อนทำให้กลิ่นรุนแรงขึ้น นางจึงลุกขึ้นเอากระโถนปัสสาวะออกมาวางไว้ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องเช่นนั้น นางพลันมืออ่อนจนทำให้กระโถนที่อยู่ในมือเอียงหกเลอะรองเท้าของนาง

 

 

ตอนนั้นหญิงรับใช้สบถด่าออกมาเพราะแอบเสียดายรองเท้าของตน นางจึงวางกระโถนลงด้านข้างแล้วสาวเท้าวิ่งพลางตะโกนร้อง “ใครก็ได้ช่วยด้วย เกิดเรื่องแล้ว!”

 

 

การตะโกนของนางเช่นนี้ทำให้หลายคนตื่นขึ้นแล้วเดินถือโคมไฟออกมามุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก

 

 

“เกิดอะไรขึ้น” คนผู้หนึ่งงุนงง ขณะที่วิ่งตามฝูงชนออกมาเอ่ยถามขึ้น

 

 

“เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงคล้ายผีร้องโหยหวน ดังมาจากทางทิศตะวันตกนู่น!”

 

 

“อ้อ ตรงนั้นอยู่ห่างไกลลับตา คงมิได้มีของสกปรกอะไรอยู่แถวนั้นกระมัง”

 

 

หญิงรับใช้ที่โดนปัสสาวะหกเลอะเท้าเมื่อครู่ส่งเสียงอย่างดูถูก “ถุย กลัวอะไรกับผี ข้าจะเอารองเท้าเขวี้ยงใส่หน้าให้ มันจะได้กลับไปไม่ได้อีก!”

 

 

ขณะที่พูดคุยกันอยู่จึงเห็นผีสตรีปล่อยผมยาวสยายวิ่งตรงเข้ามา คนอื่นๆ ต่างพากันตกใจจนหลีกไปสองข้างทาง เหลือเพียงหญิงรับใช้ที่พูดโอ้อวดอยู่เพียงคนเดียว

 

 

หญิงรับใช้ผู้นั้นตกใจตัวแข็งแล้วยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น

 

 

ลี่ว์เจวียนวิ่งหนีเตลิดออกมาเช่นนี้ เมื่อเห็นคนนางพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจึงซวนเซพุ่งมาข้างหน้า หญิงรับใช้ผู้นั้นจึงเห็นเพียงผีสาวหน้าเขียวคล้ำยื่นมือมาที่ตน

 

 

“แม่เอ๊ย ผีตนนี้จะบีบคอข้าตาย!” ต่างว่ากันว่ามนุษย์เมื่อเผชิญหน้ากับความกลัวตายจะต่อสู้หัวชนฝา หญิงรับใช้คนนี้ถือว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่โดดเด่น ตอนนั้นนางไม่ได้ยืนเหม่อแต่กลับถอดรองเท้าของตนที่เลอะปัสสาวะออกอย่างรวดเร็วแล้วเขวี้ยงใส่ผีผู้หญิงตนนั้นอย่างรุนแรง

 

 

น่าเสียดายที่ผีตนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ มันเป็นลมล้มคว่ำลงไปฟุบกับพื้น รองเท้าจึงลอยไปยังคนที่วิ่งตามมาด้านหลัง

 

 

เกิดเสียงดัง เพี๊ยะ ขึ้น รองเท้าอัดเข้าใส่หน้าของคนผู้นั้น

 

 

โอ้โห อย่างน้อยๆ รองเท้าของเราก็ยังโดนอีกตัวหนึ่ง หญิงรับใช้คนนั้นพลันมีสีหน้าดีใจจึงตะโกนออกไปว่า “รีบจับวิญญาณทั้งสองตนนี้เอาไว้!”

 

 

ตอนนั้นเองที่มีคนตาดีจำได้ว่าคนผู้นี้คือคุณชายรองหลัว สีหน้าพลันเปลี่ยนไป “คุณพระ ทำไมถึงเป็นคุณชายรองไปได้”

 

 

“อะไรนะ คุณชายรอง” ทุกคนต่างพากันงุนงง

 

 

คุณชายรองหลัวหลังถูกจับได้ระหว่างกิจกรรมสวาทและผลักนายท่านรองหลัวล้มไปโดยยังไม่รู้เป็นตายร้ายดี และเขาวิ่งตามลี่ว์เจวียนมาเพื่อหวังจะปิดปาก ใจของเขาจึงเต้นระรัว เมื่อโดนรองเท้ากระแทกเข้าหน้าเช่นนี้ เขาจึงเห็นดาวลอยเต็มไปหมด จากนั้นร่างกายของเขาจึงโงนเงนอยู่พักหนึ่งก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไป

 

 

เมื่อเขาเป็นลมไปแล้ว ลมราตรีพัดชุดของเขาให้เปิดออกพอดี มีคนผู้หนึ่งปิดตาพลางเอ่ยว่า “เอ๊ะ ทำไมคุณชายสองถึงไม่ใส่ชุดด้านในเล่า”

 

 

คนเหล่านี้มีอายุราวสี่สิบกว่าปี นิสัยหยาบกร้านเช่นเดียวกับรูปร่างจึงไม่มีความเขินอายเหมือนอย่างหญิงสาวทั่วไป พวกนางคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เมื่อเอ่ยจบแล้วทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาพลางคิดว่าเรื่องนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง

 

 

คนสองคนกระซิบกระซาบกันว่า “หรือว่าคุณชายรองกำลังจะข่มขืนสาวใช้นางนี้”

 

 

พวกนางเข้ามาใกล้มากขึ้นจึงเห็นการแต่งกายของสตรีที่สลบอยู่บนพื้นชัดขึ้น

 

 

“ตายแล้ว นี่คงไม่ใช้ลี่ว์เจวียนกระมัง!” ในที่สุดก็มีคนที่สายตาเฉียบขาดผู้หนึ่งจำนางได้

 

 

แต่ก็มีคนที่ความจำไม่ค่อยดีถามขึ้นว่า “ลี่ว์เจวียนคือผู้ใด”

 

 

“ก็คือสาวใช้ของเยียนเหนียงอย่างไรเล่า!”

 

 

เยียนเหนียงรูปโฉมงดงาม อยู่ๆ ดีก็ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนที่ถูกละเลยเช่นนั้น และคล้ายว่าตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา คุณชายรองก็เริ่มมีท่าทางผิดหวัง คนในจวนต่างไม่มีใครกล้าวิจารณ์กันต่อหน้า แต่มีไม่น้อยที่แอบวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

 

 

เมื่อจำได้ว่านางคือสาวใช้ของเยียนเหนียง แถมยังมีคุณชายรองเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน มีคนผู้หนึ่งที่อารมณ์ค่อนข้างสงบหน่อยกล่าวว่า “พวกเราไปรายงาน ฮูหยินของซื่อจื่อกันเถิด! และแบ่งอีกกลุ่มหนึ่งไปดูที่จวนของอี๋เหนียง!”

 

 

เสียงเคาะประตูอย่างร้อนใจดังขึ้น หญิงรับใช้ที่มีหน้าที่เฝ้าประตูของเรือนชิงเฟิงจึงขยี้ตาแล้วบ่นอุบ พลางตะโกนถามว่า “ใครน่ะ”

 

 

“ได้โปรดเปิดประตู ข้าคือหญิงรับใช้จาง ผู้เข้าเวรเฝ้าเรือน ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานฮูหยินกับซื่อจื่อ!”

 

 

หญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่รู้จักนาง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นหญิงรับใช้เช่นกัน แต่ผู้เฝ้าประตูเรือนชิงเฟิงกับหญิงที่เข้าเวรเฝ้าจวนตอนดึกนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนนั้นนางจึงยิ้มอย่างไร้อารมณ์แล้วเอ่ยว่า “วันนี้ต้าไหน่ไหน่เหนื่อยจากการจัดงานชมดอกไม้จึงหลับไปนานแล้ว หากมีเรื่องอะไรด่วนก็อย่าเพิ่งรายงานเลย เก็บไว้รายงานพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า!”

 

 

ตอนนั้นเองที่มีอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น “ปัดโถ่ พี่หวัง รีบเปิดประตูเถิด ตอนนี้คุณชายรองกับสาวใช้อีกนางหนึ่งเป็นลมอยู่ด้านนอก พวกเราตัดสินใจไม่ได้จึงรอให้ฮูหยินซื่อจื่อเป็นคนตัดสิน!”

 

 

เมื่อหญิงรับใช้เฝ้าประตูได้ยินดังนั้นก็ไม่กล้ารอช้าอีก จึงตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้ารอประเดี๋ยว ข้าขอไปรายงานก่อน”

 

 

หญิงเฝ้าประตูไม่สามารถเข้าไปด้านในห้องได้จึงรีบตะโกนเรียกมู่จือที่อยู่ในห้องข้างให้ตื่น เมื่อมู่จือได้ยินเช่นนั้นจึงรีบร้อนเข้าไปในห้อง แล้วยืนรายงานอยู่ตรงฉากกั้นลม “ซื่อจื่อ ต้าไหน่ไหน่ ด้านนอกเกิดเรื่องเจ้าค่ะ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นทันที เมื่อเหลือบไปเห็นเจินเมี่ยวยังคงหลับอยู่ก็ค่อยๆ ลงจากเตียงเบาๆ จากนั้นจึงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปทางฉากกั้นลม เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

“หญิงรับใช้ที่เข้าเวรอยู่ด้านนอกมารายงานว่าคุณชายรองกับสาวใช้นางหนึ่งเป็นลมอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ” มู่จือเอ่ยเสียงเบาเช่นกัน

 

 

“ดูแลต้าไหน่ไหน่ด้วย” สีหน้าของหลัวเทียนเฉิงเย็นชา จากนั้นจึงรีบก้าวออกไปข้างนอก

 

 

“จิ่นหมิง?”