เมื่อคืนตู๋กูซิงหลันไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ยามที่ฟ้าเริ่มสาง พวกองครักษ์ลับของจีเฉวียนก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว
เงาดำมากมายเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ท่ามกลางทะเลทราย มีเพียงหลงเซียวที่ยังคงเฝ้าคุ้มครองอยู่ด้านนอก
“ฝ่าบาท แนวหน้าส่งข่าวเข้ามาพะยะค่ะ อ๋องสิบแปดของแคว้นต้าฉินเสด็จมาแล้ว” หลงเซียวยืนอยู่ด้านนอก ประสานมือรายงาน
ภายในกระโจม ดวงเนตรทั้งสองของฝ่าบาทลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ พระองค์พึ่งตื่นบรรทมทั่วร่างสะท้อนความเกียจคร้านออกมา เส้นผมยาวสลวยกระจายอยู่ด้านหลังขดม้วนเป็นวงน้อยๆ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งพระองค์ค่อยประทับขึ้นนั่ง ฉลองพระองค์บนร่างหลวมคลายออก เผยให้เห็นผิวพรรณและกล้ามเนื้อช่วงอก
เส้นผมยาวคลอลงมา ทั่วทั้งร่างกำจายเสน่ห์น่าหลงใหลดั่งปีศาจที่เย้ายวน
สิ่งแรกที่เขาทำคือเหลือบมองไปทางตู๋กูซิงหลัน เห็นดวงตาของอ้วนน้อยบวมเป่งจนเขียวคล้ำทั้งแถบ แสดงว่าไม่ได้หลับทั้งคืน
“ระหว่างทางมานี้ ก็นอนพร้อมกับเรามาตลอด ทำไมพอมาถึงที่นี่ก็เกิดไม่สะดวกใจขึ้นมา?” เขาสางเส้นผมที่ยาวสลวยเบาๆ ขณะที่จดจ้องตู๋กูซิงหลันไปด้วย นัยตาก็ยังมีประกายความเกียจคร้านไม่จางหาย
“ฝ่าบาท พูดไปแล้วอาจจะไม่ทรงเชื่อ เมื่อคืนนี้หม่อมฉันต้องคอยระวังโจรบุปผาอยู่ทั้งคืน อยู่ร่วมกับพระองค์จะมีเรื่องไม่สบายใจอะไรได้ รับรองว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกเพคะ” ตู๋กูซิงหลันนวดตาไปมา จากนั้นก็หาวกว้าง
ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตอนนี้นางง่วงงุนแทบตายแล้ว
พอนางพูดจบ จีเฉวียนก็มองออกไปที่ด้านนอกกระโจม “เรื่องข้างนอกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจ กินให้อิ่มนอนให้หลับก็พอแล้ว”
เขาไม่ได้สอบถามนางว่าเมื่อคืนเจอะเจออะไร ราวกับว่ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่านางเจออะไรมา
จากนั้นก็ได้ยินหลงเซียวที่อยู่นอกกระโจมกราบทูลอีกครั้ง “ฝ่าบาท ท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นต้าฉิน ครั้งนี้ทรงนำพวกนักพรตโดยเสด็จมาไม่น้อย จากที่ได้รับรายงาน เหล่านักพรตมีไม่น้อยกว่าร้อยคน หนึ่งในนั้นยังมีผู้ที่มาจากเขาฮว่าชิงซานอยู่ด้วย”
พอได้ยินคำฮว่าชิงซานสามคำ สีพระพักตร์ของจีเฉวียนถึงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็พลอยหายง่วงไปด้วย
หากว่านางจำไม่ผิดละก็ หลายปีก่อนท่านราชครูเคยไปฝึกตนที่เขาฮว่าชิงซาน
ตามที่ผู้คนเล่าลือกันนั้น ฮว่าชิงซานคือแหล่งกำเนิดนักพรตของแผ่นดิน
เหล่าผู้ฝึกตนเป็นนักพรต ต่างก็มุ่งหวังจะสามารถสื่อสารกับทวยเทพ กลายเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่กำหราบมารปราบผีปีศาจได้
แท้ที่จริงแล้วมีขั้นตอนการฝึกฝนเช่นไรนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ค่อยทราบชัดเจนนัก
แต่ในเมื่อสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นนักพรตได้นั้น ก็ต้องถือว่าต่างก็มีพรสวรรค์มากแล้ว ในแผ่นดินแห่งนี้เหล่านักพรตนั้นมีอยู่น้อยมาก
ดังนั้นแม้แต่ในเมืองหลวงของแคว้นต่างๆ ยังจะได้พบเจอเพียงไม่กี่คน
ตลอดทางมานี้ ตู๋กูซิงหลันเองก็พึ่งจะได้ทราบจากจีเฉวียนว่า ราชวงศ์จะคอยบ่มเพาะเหล่านักพรตเป็นการลับ
ฐานะของนักพรตเหล่านั้นจะไม่ถูกเปิดเผยสู่ภายนอก นักพรตแต่ละคนล้วนต้องใช้ความทุ่มเทและทรัพย์สินของราชวงศ์เพื่อให้ได้มา หากจะบ่มเพาะยอดนักพรตขึ้นมาสักผู้หนึ่ง จะต้องใช้ทรัพยากรมากมายมหาศาล
มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่นางยังอยู่ในวังหลวงถึงได้เคยพบเจอเรื่องประหลาดและภูติผีมามากมาย มิน่าเล่าตอนที่จีเฉวียนและจีเย่ว์เข้าไปในสุสานของเย่ฮูหยินจึงได้ไม่มีอาการประหลาดใจแม้แต่น้อย
ทั้งสองต่างก็เป็นเชื้อสายของโอรสสวรรค์ คาดว่าเรื่องที่ในราชวงศ์มีการบ่มเพาะนักพรตขึ้นมาพวกเขาคงจะรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างๆ กายจีเฉวียน ใช้มือเท้าคางเอาไว้ นั่งคิดไปอย่างเงียบๆ แคว้นต้าฉินไม่เสียทีที่เป็นอันดับหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ ท่านอ๋องผู้หนึ่งก็สามารถนำพานักพรตมาได้มากมายขนาดนี้ พลังอำนาจของแว่นแคว้นนับว่าไม่อาจดูเบาได้เลย
อีกด้านหนึ่ง แคว้นต้าฉินสามารถส่งนักพรตเข้ามาได้มากมายถึงเพียงนี้ แสดงว่าชื่อเสียงที่มีอยู่นั้นไม่จอมปลอม ฮ่องเต้แคว้นฉินจะต้องมีพระประสงค์จะได้ครอบครองยาวิเศษที่ทำให้ไม่แก่ไม่ตายซึ่งซ่อนอยู่ในขุมทรัพย์นั้นอย่างแน่นอน
แต่สิ่งของพรรค์นั้น….ว่ากันตามจริงแล้วแม้แต่ตัวตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือสักเท่าไร
พลังชีวิตของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัดอยู่ คิดจะมีชีวิตที่ยืนยาว หากเป็นคนธรรมดาก็ต้องฝึกตน เหล่านักพรตก็ต้องพึ่งพาการบำเพ็ญตบะ เมื่อฝึกได้ถึงขั้นสูงขึ้นไปพลังชีวิตก็ยิ่งยืนยาว
หากว่าประสบโชค ฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนได้สำเร็จ ถึงจะมีโอกาสใกล้เคียงกับการมีชีวิตที่ยืนยาวเป็นอมตะได้สำเร็จ
ดังนั้นแล้ว หากคิดจะพึ่งพายาแค่เม็ดเดียวก็กลายเป็นอมตะ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องตั้งป้อมปฏิเสธว่ายาวิเศษเช่นนี้ไม่มีอยู่จริง แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลมิว่าสิ่งใดล้วนเป็นไปได้ ใครเล่าจะสามารถบอกได้ชัดเจน?
ฮ่องเต้ทรงพิงพระองค์กับเบาะนุ่ม เส้นผมที่ยาวสลวยเคลียลงมาตามกรอบพระพักตร์ ในพระหัตถ์ถือถ้วยชาร้อนเอาไว้
อากาศยามเช้าในทะเลทรายมีแต่ความหนาวเย็น น้ำชาร้อนจนมีไอระเหยขึ้นมา บดบังดวงพักตร์เอาไว้ครึ่งหนึ่ง จีเฉวียนดื่มน้ำชาลงไปอึกหนึ่งค่อยตรัสออกมาสองคำ “อิ๋งฉี”
อิ๋งฉี พระอนุชาองค์ที่สิบแปดของฮ่องเต้แคว้นฉิน เนื่องเพราะพระสนมผู้เป็นมารดาของเขาสิ้นไปตั้งแต่ยามเยาว์วัย ฮ่องเต้แคว้นฉินผู้เป็นพระเชษฐาก็ทรงเลี้ยงดูด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด
ถึงแม้จะบอกว่าทั้งสองเป็นพระเชษฐาและพระอนุชา มิสู้บอกว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันจะดีกว่า
ท่ามกลางพระโอรส พระธิดาและนัดดาจำนวนมากในราชวงศ์แคว้นฉิน ไม่มีผู้ใดที่ได้รับความโปรดปรานเช่นอิ๋งฉีเลยสักคน
ในทำนองเดียวกัน อิ๋งฉีเองก็ให้ความเคารพรักต่อพระเชษฐาที่เลี้ยงดูตนเองมาจนเติบใหญ่ผู้นี้มากกว่าผู้ใดทั้งหมด
มีข่าวเล่าลือมานานแล้วว่าฮ่องเต้แคว้นฉินพระชนมายุมากแล้ว พระพลานามัยก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ อิ๋งฉีมาครั้งนี้ คงเพราะมีความตั้งใจแรงกล้าต่อให้ต้องตายก็จะหายาอายุวัฒนะที่เป็นสมบัติลับของแคว้นเซอปี่ซือไปถวายพระเชษฐาให้จงได้
ว่ากันตามจริงแล้ว ตอนที่ตู๋กูซิงหลันได้ยินชื่อแคว้นฉินในตอนแรกๆ นั้น อยู่ๆ นางก็คิดถึง ‘แคว้นฉิน’ [1] ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบันขึ้นมา
ช่างเป็นความบังเอิญจริงๆ ที่เจ้าแคว้นฉินของที่นี่ ก็แซ่อิ๋ง [2] เหมือนกัน
พอเห็นฝ่าบาทเอ่ยพระโอษฐ์ออกมา หลงเซียวก็พยักหน้าติดๆ กัน ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดิม “เป็นท่านอ๋องสิบแปดอิ๋งฉีจริงๆ พะยะค่ะ”
“ครั้งนี้ นอกจากแคว้นฉิน และแคว้นเหยียนจะส่งคนมาแล้ว ก็ยังมีแคว้นเล็กๆ อีกเจ็ดแคว้นและขุมอำนาจบางกลุ่มทยอยส่งคนมาเช่นกัน เพียงแต่เมื่อพวกเขาพบเห็นรถม้าและกระโจมของพวกเราก็พากันอ้อมออกไป” หลงเซียวยังกล่าวต่อไป “เมื่อคืนฝ่าบาทบรรทมสนิท จึงมิทรงทราบ”
“เมื่อคืนช่วงหลังเที่ยงคืน ในทะเลทรายมีเสียงนกอินทรีร้อง กระหม่อมคล้ายกับว่าได้เห็นเงาร่างขององค์หญิงแคว้นเหยียน เหยียนเฉียวหลัว” ว่าแล้วหลงเซียวก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “บนหลังของเหยี่ยวตัวนั้น คล้ายกับว่ายังมีคนอีกผู้หนึ่ง พวกเขาเคลื่อนที่รวดเร็วมาก กระหม่อมไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน”
“เห็นแค่รางๆ เท่านั้น…..” พอพูดถึงตรงนี้หลงเซียวก็กล่าวออกมาอย่างลังเล
แต่เมื่ออยู่ใต้ประกายตาคมวาบของฝ่าบาท ก็ได้แต่พูดต่อไป “สิ่งที่เห็นเพียงแวบหนึ่งนั้นคล้ายจะเป็นสีม่วงอ่อนๆ ”
ทันทีที่เขาพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็รู้แล้วว่าคือใคร
ก็คือบุรุษดอกท้อเมื่อคืนนี้มิใช่หรือ?
คิดไม่ถึงว่า พ่อหนุ่มนั่นจะเตรียมตัวมาอย่างพรั่งพร้อมเช่นนี้ แม้แต่สัตว์พาหนะก็ยังมี
พวกนางยังต้องนั่งรถม้า ผู้อื่นถึงกับขี่อินทรีแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองดูฮ่องเต้ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ก็รู้สึกว่าหากฮ่องเต้ทรงมีสัตว์พาหนะที่สามารถบินในอากาศสักตัว เวลาขี่มันขึ้นไปบนฟ้าจะสง่างามถึงเพียงไหน
“สีม่วงอ่อน” จีเฉวียนทวนสามคำสุดท้าย ดวงตาหงส์คู่นั้นก็หรี่ลงมาอีกครั้ง
ตรัสพึ่งจบไป ก็ได้ยินเสียงองครักษ์ลับภายนอกกราบทูลเข้ามาว่า “ฝ่าบาท อ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉิน ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
พึ่งจะพูดถึงคนผู้นี้ เขาก็มาถึงแล้ว
จีเฉวียนจัดแจงฉลองพระองค์เสร็จก็ประทับขึ้นยืน ทั้งยังช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับตู๋กูซิงหลัน จัดแจงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของนางจนเรียบร้อย ค่อยประทับนั่งลงบนเบาะนั่งภายในกระโจม ตรัสว่า “เชิญเขาเข้ามา”
ถึงกับใช้คำว่า “เชิญ”
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ปล่อยผ่านไป นางคุกเข่าอยู่ที่ด้านข้าง ทำตัวเป็นนางกำนัลน้อยผู้หนึ่ง
ถึงอย่างไรเสียตอนนี้นางก็แต่งกายเป็นนางกำนัลน้อย ไม่มีผู้ใดในวังของแคว้นต้าโจวทราบว่า ฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จมาตามหาสมบัติด้วยกัน
——
此地的秦,也姓嬴
——
[1] รัฐฉิน หรือรัฐจิ๋น 秦: Qín ที่เป็นต้นกำเนิดของการรวมแผ่นดินจีน
[2] แซ่เดิมของผู้ครองรัฐฉิน หรือ嬴政 อิ๋งเจิ้ง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้