ตอนที่ 180-1 แอบใช้ชีวิตตามใจครึ่งวัน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยังคงเป็นขันทีอ้วนที่ส่งเสิ่นเวยออกจากวัง ในราตรีอันมืดมิดเสิ่นเวยหันหน้ากลับมองกำแพงวังสูงๆ นั่น ถอนหายใจในอกยาวๆ หนึ่งครา ข่าวส่งถึงมือจักรพรรดิแล้ว ต่อจากนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องของนางแล้วสินะ

 

 

เสิ่นเวยไปยังบ้านพักในเมืองหลวงของนาง “คุณหนู!” คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวตี๋กับเถาฮวาจะรอนางอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นนางก็เร่งฝีเท้าเข้ามาต้อนรับ เห็นนางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็วางใจลง

 

 

“คุณหนูหิวหรือไม่ กับข้าวอุ่นอยู่บนเตาแล้ว ประเดี๋ยวก็กินได้แล้ว” เสี่ยวตี๋พูดไม่หยุด ทั้งยังสั่ง

 

 

เถาฮวา “เจ้าเดินเร็ว ไปเร่งครัวหน่อย แล้วดูด้วยว่าเตรียมน้ำร้อนเสร็จแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวคุณหนูจะไปล้างหน้าล้างตา”

 

 

ช่วงนี้เสี่ยวตี๋ฝึกฝนอย่างหนักแล้ว เป็นทหารลับอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นแม่บ้านใหญ่ที่มีความสามารถรอบตัว จัดการเรื่องของเสิ่นเวยได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

 

ก่อนหน้านี้ในโรงน้ำชาตรงข้ามพระราชวังก็เอาแต่สังเกตสถานการณ์ ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจกินอาหาร ทั้งยังอยู่ในวังนานเพียงนี้ ตอนนี้เสิ่นเวยยังคงหิวแล้วจริงๆ อาหารสี่อย่างที่ครัวนำมาให้นางกินหมดไปมากกว่าครึ่ง นางลูบท้องพิงตั่งนุ่ม ชั่วพริบตาก็มีกำลังวังชาแล้ว รู้สึกว่านี่จึงจะเป็นชีวิตของคนปกติ

 

 

“คุณหนู พวกเรายังต้องกลับไปอีกหรือไม่” เสี่ยวตี๋ถาม

 

 

“น่าจะไม่ต้องกลับแล้ว” เสิ่นเวยเองก็ไม่แน่ใจเล็กน้อย เรื่องที่ท่านปู่และคนอื่นๆ กลับเมืองหลวงจักรพรรดิก็ไปจัดการแล้ว นางกลับหรือไม่กลับไม่ได้สำคัญกับสถานการณ์โดยรวม อีกทั้งจักรพรรดิเองก็ไม่ได้บอกให้นางวิ่งไปอีกเที่ยว อากาศหนาวเหน็บเดินทางอยู่ข้างนอกก็ทรมานอย่างยิ่งเช่นกัน

 

 

“เช่นนั้นคุณหนูจะกลับวัดต้าเจวี๋ยเมื่อไร” เสี่ยวตี๋ถามต่อ

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะนึกได้ว่ายังมีเรื่องนี้อยู่ คิ้วของนางขมวดมุ่น “ไม่รีบ อยู่ดูในเมืองหลวงก่อน” ฉวยโอกาสตอนที่ท่านปู่ยังไม่กลับมา นางจะรีบไปเดินเล่นดูเมืองหลวงเสียหน่อย

 

 

“คุณหนู หากพวกเราไม่ต้องกลับไปอีก คุณหนูก็ไปที่วัดต้าเจวี๋ยดีกว่า นานเพียงนี้แล้ว หลีฮวาและคนอื่นๆ น่าจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง” เสี่ยวตี๋โน้มน้าว

 

 

พวกหลีฮวากังวลกลับเป็นเรื่องรองลงมา เสี่ยวตี๋รู้สึกว่าคุณหนูตากแดดตากลมอยู่ที่ซีเจียง ใบหน้าและมือต่างก็ดำขึ้นอย่างยิ่ง ไม่สู้ถือโอกาสพักรักษาช่วงนี้ เลี่ยงไม่ให้กลับจวนโหวแล้วถูกคนเห็นความผิดปกติ แน่นอนว่าอยู่ที่บ้านพักก็สามารถพักฟื้นได้เหมือนกัน แต่ในบ้านพักมีเพียงนางกับเถาฮวาผู้หญิงสองคน เถาฮวาไม่ต้องเอ่ยถึง นางมีฐานะเป็นทหารลับ สืบข่าวฆ่าคนวางเพลิงเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่งานเช่นการบำรุงร่างกายให้คุณหนูนางยังทำไม่เป็นจริงๆ

 

 

นึกถึงหลีฮวากับพี่สะใภ้เซียงเหมย ในใจเสิ่นเวยก็ลังเลหลายส่วน แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังโบกมือ “เดี๋ยวค่อยกลับไปแล้วกัน” แรงดึงดูดให้เดินเล่นในเมืองหยวงยังคงเยอะกว่าอยู่ดี

 

 

วันที่สอง เสิ่นเวยสวมชุดบุรุษอีกครั้ง ผ่านการปรับตัวในสงครามที่ซีเหลียง เสิ่นเวยแต่งตัวเป็นชายได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนนอก แม้แต่เสี่ยวตี๋ที่ติดตามอยู่ข้างกายนางรู้ดีว่าคุณหนูเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมีความรู้สึกคลับคล้ายว่านางเป็นผู้ชายชนิดหนึ่ง

 

 

เสิ่นเวยสวมชุดผ้าไหมสีแดงเข้มซ่อนลายตัวหนึ่ง ตรงเอวห้อยหยกงามหนึ่งชิ้น ปิ่นหยกที่รวบผมอยู่บนศีรษะเองก็เป็นหยกมันแพะชั้นดี บวกกับใบหน้าที่งามดั่งหยกของนาง โห เป็นคุณชายที่ร่ำรวยและมีสง่าราศีดีๆ นี่เอง

 

 

เสี่ยวตี๋แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ ส่วนเถาฮวาก็อยู่ว่ายน้ำเล่นที่สระน้ำให้บ้านพักไปแล้วกัน

 

 

เสิ่นเวยพาเสี่ยวตี๋เดินเล่นตรอกซอกซอยในเมืองหลวง ในมือนางถือพัดพับได้หนึ่งอัน ท่าทางสง่างามอย่างถึงที่สุด ในที่สุดตอนนี้เสิ่นเวยก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณชายวัยหนุ่มเหล่านั้นในโทรทัศน์มักจะถือพัดพับได้อยู่เสมอ แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวก็ไม่เว้น พัดพับได้เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากที่ดีจริงๆ ในมือถือมันไว้ก็ไม่รู้สึกมือว่างไม่ใช่หรือ

 

 

เมืองหลวงคึกคักจริงๆ แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็นนี้ คนเดินถนนก็เนืองแน่นไม่ขาดสาย เต็มไปด้วยเสียงขายของต่างๆ นานาของเหล่าพ่อค้า ร้านค้าสองฝั่งถนนต่างก็เปิดประตูกว้าง มีพนักงานยืนเชิญชวนลูกค้าอยู่หน้าประตู

 

 

ตอนที่เดินผ่านหอโคมแดง เสิ่นเวยอยากเข้าไปดูจริงๆ ครั้งก่อนเอาแต่ไล่จับคนชั่วสองคนนั้น แม้แต่การจัดวางข้างในก็ยังไม่ได้ดู เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ สงสัยว่าหอโคมแดงยุคโบราณมีการค้าขายอย่างไร

 

 

น่าเสียดายที่เท้านางเพิ่งจะยกขึ้น เสี่ยวตี๋ก็ดึงนางกลับมาอย่างมือไวตาไว “คุณชาย ท่านเดินผิดทางแล้ว ทางนี้ เดินทางนี้” นางดึงแขนของเสิ่นเวยไว้ไม่ยอมปล่อย

 

 

เสิ่นเวยถลึงตาอย่างดุร้ายใส่เสี่ยวตี๋ปราดหนึ่ง นางมั่นใจว่าเด็กคนนี้ตั้งใจ นางจะต้องรู้ความคิดในใจตนเป็นแน่ เรื่องนั้นเมื่อคราวก่อนนางมีส่วนร่วมตลอดทั้งงาน ข่าวในหอโคมแดงก็เป็นนางที่สืบ เด็กคนนี้ นางเพียงแค่จะเข้าไปหาประสบการณ์ ไม่ได้จะทำอะไรเสียหน่อย

 

 

ทว่านางไม่รู้ว่าเสี่ยวตี๋บ่นในใจ ความกล้าหาญของคุณหนูนับวันก็มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ สถานที่สกปรกเช่นนั้นเป็นที่ที่สตรีผู้ดีเข้าไปได้หรือไร คุณหนูคงจะไม่คิดว่าตนเป็นผู้ชายจริงๆ ใช่หรือไม่ คุณหนูท่านขี้สงสัยเช่นนี้คุณชายใหญ่สวีรู้หรือไม่

 

 

คุณหนูอาจจะไม่สังเกตเห็น แต่นางกลับรู้ตั้งแต่ที่ออกจาอำเภอเมืองหย่งเหอแล้ว ข้างกายพวกนางมีคนติดตามอยู่ คนเหล่านี้เป็นยอดฝีมือในกลุ่มทหารลับอย่างไม่ต้องสงสัย ชำนาญในการหลบซ่อนตัว ลมปราณแม้แต่นิดเดียวก็ไม่รั่วหลุด หากไม่ใช่ว่ามีโอกาสบังเอิญเจอครั้งหนึ่งเกรงว่านางเองก็คงไม่สังเกตเห็น

 

 

นางเตรียมป้องกันอย่างลับๆ อยู่เนิ่นนาน แต่กลับพบว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกนาง บางครั้งยังออกมือช่วยแก้ไขปัญหาเล็กๆ นางจึงรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นมิตรหาใช่ศัตรู

 

 

ผู้ที่เป็นห่วงคุณหนูเช่นนี้ ทั้งยังมีอำนาจเช่นนี้ได้ นอกจากท่านโหวแล้วก็มีคุณชายใหญ่สวี ทหารลับของท่านโหวนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่นนั้นก็เหลือเพียงคุณชายใหญ่สวีแล้ว นี่เองก็เป็นเหตุผลที่นางไม่บอกคุณหนู

 

 

“เสี่ยวตี๋เจ้ามันคนโง่ ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก ดูสิว่าเจ้ากล้านัก ใช่ช่วงนี้ข้าดีกับเจ้าเกินไปหรือไม่” เสิ่นเวยชายตามองเสี่ยวตี๋ พัดพับได้ก็ตีลงบนมือของนาง

 

 

เสี่ยวตี๋แสร้งเจ็บ รีบปล่อยมือออก ตีหน้าหวาดกลัว ทว่าในใจกลับจนปัญญาอย่างยิ่ง คุณหนูแสดงบทบาทจนติดแล้วหรือ กลับมาเมืองหลวงแล้วยังแสดงอีก ก่อนหน้านี้แสดงเป็นคุณหนูน้อยเอาแต่ใจ คราวนี้เปลี่ยนเป็นคุณชายเผด็จการเสียแล้ว

 

 

เสิ่นเวยพึงพอใจกับการให้ความร่วมมือของเสี่ยวตี๋อย่างมาก กำลังคิดว่าจะสั่งสอนนางอีกสักสองสามประโยค หูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงก้องกังวานเสียงหนึ่ง “พี่เจียงท่านดูสิ คุณชายผู้นั้นน่าสนใจยิ่งนัก”

 

 

เสิ่นเวยหันมองตามเสียง เห็นเพียงศีรษะหนึ่งศีรษะโผล่ออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของเหลาสุราข้างๆ หอโคมแดง นางสบสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่หนึ่งเข้าพอดี เสิ่นเวยโมโหในชั่วขณะ เจ้าสิน่าสนใจ บ้านเจ้าสิน่าสนใจ

 

 

นางกลอกตา ถลกแขนเสื้อกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเรื่อง แต่ชั่วขณะกลับร้องตะโกนด้วยความดีใจ “เจียงเฉิน พี่เจียงเฉินนั่นท่านหรือ! ไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ” คนที่ชะโงกตัวอยู่ข้างหลังผู้นั้นไม่ใช่เจียงเฉินสหายเก่าหรือไร

 

 

ไตร่ตรองเพียงแค่ชั่วพริบตา เสิ่นเวยก็ตัดสินใจขึ้นไปพูดคุยเรื่องในอดีตกับเขา ตอนนี้นางเป็นคุณชาย ไม่ใช่คุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหว

 

 

เจียงเฉินเห็นเสิ่นเวยเพื่อนเก่าที่เขาพบตอนอยู่ชนบทกำลังโบกมือยิ้มแย้มให้ตนไม่หยุดราวกับดีอกดีใจอยู่ที่ชั้นล่างก็ตกใจเช่นกัน นั่นนางหรือ นางกลับเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร

 

 

ชายฝั่งตรงข้ามมองเจียงเฉินด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “พี่เจียงรู้จักคุณชายท่านนั้นหรือ”

 

 

เจียงเฉินเก็บสีหน้าประหลาดใจ กล่าวอย่างเฉยเมย “บังเอิญพบก็เท่านั้นเอง”

 

 

“บังเอิญพบอะไรกันเล่า พี่เจียงเฉินลืมแล้วหรือว่า พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน” เสียงที่ไม่พอใจของเสิ่นเวยดังกังวานขึ้นมา นางผลักประตูเข้ามาเอง “จากกันเมื่อสองปีก่อน พี่เจียงเฉินมีชื่อเสียงบารมี ไม่เสียชื่อที่เป็นปัญญาชนผู้สอบเข้าสำนักราชบัณฑิตได้เป็นอันดับสาม”

 

 

เสิ่นเวยลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้วยความเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง จ้องมองเจียงเฉินแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “หรือว่าพี่เจียงเฉินเป็นขุนนางชั้นสูงแล้วเลยดูถูกสหายยากจนต่ำต้อยเช่นข้า”

 

 

บนใบหน้าเจียงเฉินเผยความจนปัญญาหลายส่วน “ก็แค่ราชบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง ไหนเลยจะเป็นขุนนางชั้นสูงอะไรนั่น จะร่ำรวยเงินทองเท่าคุณชายจินได้อย่างไร อ้อจริงสิ คุณชายจินมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรหรือ”

 

 

ตอนที่พูดคำว่าคุณชายจินสามคำนี้ เจียงเฉินเองก็ยังรู้สึกอึดอัด เด็กน้อยนิสัยเสียคนนี้เคยบอกไว้ว่า เห็นนางใส่ชุดบุรุษเมื่อไรให้เรียกว่าคุณชายจิน นางชื่อจินโหย่วเฉียน จินที่แปลว่าเงินทอง โหย่วเฉียนที่แปลว่ามีเงินมหาศาล ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้รักเงินเพียงใด

 

 

“ข้าก็ว่าพี่เจียงเฉินไม่ใช่คนอย่างนั้น พวกเราต่างก็ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน” เสิ่นเวยยิ้มแย้มเบิกบานทันที “ท่านว่าพวกเราสองคนมีวาสนาหรือไม่ เย็นเมื่อวานข้าเพิ่งมาเมืองหลวง วันนี้ออกมาก็เจอพี่เจียงเฉินเลย ไม่ใช่วาสนาหรือไร”

 

 

“นั่นสิ คงเป็นโชคร้าย!” เจียงเฉินพูดจาเสียดสี แต่สายตากลับมองประเมินเสิ่นเวยอยู่เงียบๆ เด็กคนนั้นโตแล้ว โตจนเป็นสตรีที่สามารถแต่งงานได้แล้ว นึกถึงเรื่องที่นางได้รับพระราชทานสมรสกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เขาก็เป็นกังวลอย่างมาก คุณชายใหญ่ผู้นั้นไม่เพียงแต่สุขภาพไม่ค่อยดี สถานะในจวนอ๋องยังไม่ดีอย่างยิ่ง เพียงแค่เขาเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาหลวงแต่กลับไม่ได้เป็นซื่อจื่อก็เห็นอะไรได้หลายอย่างแล้ว เด็กน้อยแต่งเข้าไปจะรับมือได้หรือไม่

 

 

หลายเดือนก่อนฟังว่านางไปขอพรที่วัดต้าเจวี๋ย ภายหลังอาจารย์ซูมาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจึงรู้ว่านางไม่ได้ไปวัดต้าเจวี๋ย แต่ไปเมืองชายแดนซีเจียงแทน ตอนนั้นเขาเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ ตอนนี้เห็นเด็กน้อยนอกจากจะดำขึ้นแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรอีก จิตใจที่เป็นกังวลก็วางลงได้

 

 

หลังจากนั้นเขาก็หลุดหัวเราะในใจ ตนลืมได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้หาญกล้าเพียงใด ตั้งแต่ที่รู้จักกับนางก็ไม่เคยเห็นนางเสียเปรียบเลย นางไปซีเจียง ฝ่ายที่ประสบหายนะเกรงว่าจะเป็นซีเหลียงกระมัง ตนเป็นกังวลไปเองเสียแล้ว