บทที่ 578 หาเรื่อง

บัลลังก์พญาหงส์

เมื่อมาถึงวังของฮองเฮา ถาวจวินหลันถึงรู้ว่านางไม่ได้โดนเรียกมาคนเดียวเท่านั้น บรรดาพระชายาทั้งหลายก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

ถาวจวินหลันยิ่งมั่นใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก หลังจากรีบทำความเคารพฮองเฮาก็หาที่นั่ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามก่อน อย่างไรจะถามก่อนหรือไม่ ล้วนมีผลลัพธ์เดียวกันทั้งนั้น อย่างไรฮองเฮาก็ต้องพูดอยู่แล้ว ดังนั้นทำไมนางจะต้องร้อนรนถามด้วย?

 

 

อีกทั้งนางยังรู้สึกที่ไม่ดีมาก

 

 

หลังจากถาวจวินหลันมาถึง ก็เป็นพระชายาองค์รัชทายาท สีหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทดูซีดเซียวคล้ายไม่ได้รับการดูแลดีนัก

 

 

ฮองเฮาเอ่ยถามเป็นห่วงอย่างหาได้ยาก “พระชายาองค์รัชทายาทเป็นอะไรไปหรือ?”

 

 

แม้ว่าองค์รัชทายาทจะสวรรคตไปแล้ว ทางด้านพระชายาองค์รัชทายาทก็ควรจะต้องเปลี่ยนสรรพนาม มิเช่นนั้นหากแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทคนใหม่ นั่นไม่ใช่ว่ามีพระชายาองค์รัชทายาทสองคนอย่างนั้นหรือ? แต่ฮองเฮากลับเรียกตามเคยชิน และยิ่งไม่มีคนอื่นพูดเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเรียกพระชายาองค์รัชทายาทว่าพระชายาองค์รัชทายาทไปก่อน

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทมองฮองเฮาวูบหนึ่ง ส่ายหน้าเบาๆ ”ไม่ได้มีเรื่องอะไรเพคะ แต่เมื่อวานนี้อาหยวนร้องไห้ทั้งคืน ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเพคะ หม่อมฉันเฝ้าอยู่พักใหญ่ เมื่อครู่นี้ก็เพิ่งส่งหมอหลวงกลับไป อาหยวนเองก็เพิ่งนอนเพคะ”

 

 

อาหยวนเป็นลูกสาวคนที่สองของพระชายาองค์รัชทายาท ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เหตุใดอาหยวนบำรุงร่างกายมาหลายปีแล้วยังไม่เห็นดีขึ้นเสียทีเล่า? หมอหลวงพวกนั้นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”

 

 

ที่จริงแล้วไม่ใช่หมอหลวงไร้ประโยชน์ แค่เด็กคนนั้นรักษาชีวิตมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว อย่างไรสุขภาพไม่ดีก็เป็นโรคที่ติดมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แม้ว่าหมอหลวงจะช่วยรักษาสุดกำลัง แต่ก็จนปัญญา

 

 

ถาวจวินหลันหลุบตาลง ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะต้องรู้สึกผิดเพียงใด? ตอนนั้นใช้ยาเร่งตั้งครรภ์ สุดท้ายคนที่ถูกทำร้ายก็เป็นลูกของตนเอง

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทหัวเราะขมขื่น ก่อนนั่งลงเช่นเดียวกัน

 

 

ฮองเฮาถึงได้พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนอื่นๆ จากนั้นก็วกหัวข้อสนทนามาทีเรื่องคุณธรรมของสตรีและกฎเกณฑ์ “พูดตามจริง ครอบครัวอย่างพวกเราควรจะต้องให้ความสำคัญกับคุณธรรมของสตรีและกฎเกณฑ์มากเสียหน่อย มิเช่นนั้นจะเป็นแบบอย่างของราษฎรได้อย่างไร? พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่?”

 

 

พอได้ยิน ถาวจวินหลันก็ใจหล่นวูบทันที รู้สึกว่าที่วันนี้ฮองเฮาทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ก็เพราะอยากเป็นปฏิปักษ์กับนาง หรือบางทีอาจจะมีการสอบสวนด้วยกระมัง?

 

 

ถาวจวินหลันฟังทุกคนเริ่มพูดเห็นด้วยอยู่นิ่งๆ จากนั้นฮองเฮาก็มองมาทางนางนิ่งเฉย “ชายารองถาวเล่า เจ้าว่าจริงหรือไม่?”

 

 

“เป็นเช่นนั้นเพคะ” ถาวจวินหลันทำเมินไม่ได้ จึงตอบรับอย่างเปิดเผย ไม่ว่าฮองเฮาจะใช้วิธีอะไร นางก็สนใจแค่เพียงรับมือไปทีละขั้นเท่านั้นเอง

 

 

ฮองเฮาตั้งใจตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับนางจริง เห็นนางยอมรับ ก็เค้นถามว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ ทำไมถึงกล้าใช้ฐานะไปรังแกคนอย่างเปิดเผยเล่า แล้วยังกล้าไปลบหลู่ถึงบ้าน? เจ้าจะเรียกความยุติธรรมให้น้องสาวเจ้าก็ไม่ผิด แต่ก็ควรต้องรู้จักพอประมาณ ตระกูลเฉินเป็นตระกูลซื่อสัตย์กับราชสำนัก โดยเฉพาะใต้เท้าเฉิน ไม่รู้ว่าทุ่มเทเพื่อราชสำนักมากเพียงใด ดีที่เขาไม่เอาเรื่องเจ้า หากตระกูลเฉินไม่ยอมจบความ เจ้าจะทำเช่นไร?”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ฮองเฮายังรู้สึกไม่พอ จึงคาดโทษให้ถาวจวินหลันอีกเรื่อง “อีกทั้ง เจ้าทำลายภาพลักษณ์ของขุนนางที่มีต่อฮ่องเต้ ต่อราชสำนัก! ทำให้บรรดาขุนนางเก่าแก่ผิดหวัง!”

 

 

หากเป็นแต่ก่อนถาวจวินหลันคงไม่กล้าโต้แย้ง ทำได้เพียงทนรับความผิดนี้ จากนั้นก็ปล่อยให้ฮองเฮาหาเรื่องหาความ

 

 

แต่ตอนนี้…ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ เงยหน้าสบตากับสายตาเฉียบคมของฮองเฮา “เหนียงเหนียงตรัสเกินไปเพคะ หม่อมฉันเคยใช้ฐานะไปเบียดเบียนตั้งแต่เมื่อไรเพคะ? แล้วเคยรังแกใครหรือเพคะ? หากหม่อมฉันรังแกมากเกินไป ตระกูลเฉินจะทนได้อย่างไรเพคะ? ในเมื่อตระกูลเฉินไม่พูดอะไร นั่นก็ถือว่าหม่อมฉันไม่ได้ทำเกินไปนะเพคะ”

 

 

ตระกูลเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่ฮองเฮากลับมาทำเรื่องใหญ่โต ดูแล้วช่างน่าตลกยิ่งนัก ทั้งดูเจ้ากี้เจ้าการ และยุ่งเรื่องอยู่ชาวบ้าน อีกทั้งใครกันที่ว่างจนเอาเรื่องนี้มาฟ้องฮองเฮา?

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉิน? ไม่น่าเป็นไปได้

 

 

ฮองเฮาเจอถาวจวินหลันโต้กลับก็สะอึกไป จากนั้นหน้าก็ดำคล้ำ “ไปที่บ้านเขา แล้วดุด่าสั่งสอนลูกสะใภ้เขาต่อหน้าแม่สามี นั่นยังไม่มากเกินไปอีกหรืออย่างไร? ขอถามชายารองถาวหน่อยเถิด เจ้าคิดว่าอย่างไรถึงเรียกว่ามากเกินไป?”

 

 

ถาวจวินหลันลุกขึ้นมา ทำความเคารพฮองเฮา จากนั้นถามกลับช้าๆ “หากฝ่ายตรงข้ามดูหมิ่นตระกูล หม่อมฉันขอถามฮองเฮาเหนียงเหนียงว่าหม่อมฉันจะพูดไม่ได้เชียวหรือเพคะ? ต่อให้คนอื่นมาชี้จมูกด่าว่าหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ควรจะฝืนทนอย่างนั้นหรือเพคะ? ในเมื่อหม่อมฉันเป็นคนในราชวงศ์ เช่นนั้นหม่อมฉันก็มีเกียรติยศของราชวงศ์ หากหม่อมฉันปล่อยให้พวกเขาดูหมิ่นได้ตามใจชอบ หม่อมฉันจะไม่ทำให้ตระกูลราชวงศ์ของพวกเราเสียหน้าหรือเพคะ”

 

 

ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “เถียงไปก็เท่านั้น สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินเคยมาด่าว่าอะไรถึงราชวงศ์ของข้ากัน? เจ้าก็แค่เบ่งอำนาจรังแกคน เรียกร้องความเป็นธรรมให้น้องสาวเจ้าก็เท่านั้น”

 

 

“ถ้าใช่แล้วจะทำไมเพคะ” ถาวจวินหลันอมยิ้มถามฮองเฮากลับ “ในเมื่อฐานันดรของหม่อมฉันก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงนี้ นางย่อมไม่อาจมาดูหมิ่นได้ตามใจชอบ นี่ถือเป็นกฎเกณฑ์ของราชสำนัก นางไม่รู้จักเคารพเช่นนี้ หม่อมฉันจะตำหนิเล็กน้อยก็ถือว่าถูกต้องนะเพคะ อีกอย่างตระกูลสามีของนางก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ยิ่งไม่น่าเอาความเพคะ แม้ว่าจะเอาความ ก็ควรเป็นหม่อมฉันที่เอาความฝ่ายนั้นมากกว่าเพคะ” ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกกล่าวโทษอย่างตอนนี้

 

 

ฮองเฮาชะงักค้างไป

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทนวดหว่างคิ้ว พูดแทนช้าๆ “ชายารองถาวพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ตระกูลเฉินมีผลงานให้ราชสำนักมากมาย ไม่ว่าอย่างไรก็ควรไว้หน้าพวกเขาเสียบ้าง เจ้าทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม แม้ว่านางจะไม่เคารพเจ้า เจ้าก็ควรให้เฉินฮูหยินตำหนินางเอง ไม่ใช่ทำด้วยตนเอง พูดจริงๆ แล้ว สุดท้ายคนอื่นก็จะพาลคิดไปว่าสะใภ้ตระกูลโอรสสวรรค์ของพวกเราวางอำนาจบาตรใหญ่”

 

 

“ที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าเป็นแค่ชายารอง ยังไม่ใช่ชายาเอกก็กล้าทำเช่นนี้แล้ว” ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น คล้ายเริ่มโกรธเกรี้ยวจริงๆ แล้ว “ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิวซื่อยังมีชีวิต ข้าเห็นว่าเจ้ามีมารยาทอยู่บ้าง แต่พอหลิวซื่อสิ้นไปแล้ว เจ้าก็ยิ่งไร้มารยาท”

 

 

ฮองเฮาดุด่าสั่งสอนอย่างเปิดเผยเช่นนี้เป็นครั้งแรก ถือว่าไม่ไว้หน้านางแล้วจริงๆ แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่คิดว่าฮองเฮาจะไว้หน้านาง จึงเริ่มวางท่าสืบสอบสอบสวนไต่ถามนางแล้ว

 

 

เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ พอฮองเฮาพูดแบบนี้ คนอื่นๆ ก็เริ่มเห็นคล้อยตาม โดยเฉพาะพระชายาจวงอ๋อง ยิ้มพลางพูดว่า “ใช่เพคะ ก่อนหน้านี้ชายารองถาวเป็นคนอ่อนโยนมากเพียงใด? ในตอนนี้กลับยิ่งวางอำนาจมากขึ้น นางเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยเพคะ”

 

 

คำพูดนี้แฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย นี่เป็นการพูดว่าถาวจวินหลันไม่มีคนดูแลสั่งสอนถึงได้ยิ่งเหิมเกริมเช่นนี้ อีกทั้งตอนนั้นก็แค่เสแสร้งแกล้งทำ ตอนนี้จึงค่อยๆ เผยธาตุแท้ออกมา

 

 

ถาวจวินหลันมองพระชายาจวงอ๋องนิ่งๆ แย้มยิ้มเล็กน้อย “พระชายาจวงอ๋องก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเช่นกันเพคะ ตอนแรกพระชายาจวงอ๋องไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับฮองเฮาเหนียงเหนียงถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้กลับดูสนิทสนมกันไม่น้อย สำหรับหม่อมฉัน ในเมื่อตอนนี้จะต้องดูแลจวนตวนชินอ๋อง ย่อมต้องวางอำนาจบ้าง มิเช่นนั้นจะดูแลจวนได้อย่างไรเพคะ?”

 

 

เรื่องที่พระชายาจวงอ๋องประจบฮองเฮานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาพูด ทันใดนั้นใบหน้าของพระชายาจวงอ๋องก็แดงก่ำ จนต้องยอมจำนนไป

 

 

พระชายาอู่อ๋องนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทกลับเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง วางท่าเป็นสะใภ้ใหญ่แสนยุติธรรม “พระชายาจวงอ๋องและเสด็จแม่จะสนิทสนมกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ล้วนเป็นภรรยาของลูกชาย จึงสนิทสนมกับเสด็จแม่ได้ง่าย”

 

 

คำพูดนี้ถือว่าเป็นการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ลำบากให้พระชายาจวงอ๋อง พระชายาจวงอ๋องมองพระชายาองค์รัชทายาทอย่างซึ้งน้ำใจ แล้วพระชายาองค์รัชทายาทก็ยิ้มตอบ

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าบางทีฮองเฮาคงจะตั้งใจสนับสนุนองค์ชายสักคนเพื่อรับประกันตำแหน่งของตนเอง เพราะว่าตอนนี้นอกจากฮองเฮาจะปฏิบัติไม่ดีกับนางแล้ว ก็ปฏิบัติกับคนอื่นดีทีเดียว

 

 

ดูได้จากเรื่องนี้ ฮองเฮาเองก็ไม่ชอบหลี่เย่ หรือจะบอกว่าพวกเขาสองคนต้องไม่ชอบหน้ากันและกัน

 

 

“เรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่น้อย เจ้ากลับไปก็ไปตระกูลเฉินเพื่อขอโทษเสีย” ฮองเอาโบกมือ วางท่าให้จัดการเรื่องตามนี้

 

 

ถาวจวินหลันกลับปฏิเสธข้อเสนอของฮองเอาอย่างเด็ดเดี่ยว “หม่อมฉันไม่อาจรับปากเรื่องนี้ได้จริงๆ เพคะ หม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันไม่ผิด ก็ไม่อาจไปรับผิดได้ตามใจชอบ เหนียงเหนียงทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเอาฐานันดรมากดดันหม่อมฉันหรือเพคะ?”

 

 

แน่นอนว่านางไม่อาจรับผิดได้ หากยอมรับ จากไม่ผิดก็จะกลายเป็นผิด อีกทั้งนางไม่อาจปล่อยให้ฮองเฮามารังแกนางหรือบีบบังคับนางได้ตามใจชอบ

 

 

ก่อนหน้านี้ก็แล้วไป แต่ตอนนี้ทำไมนางยังต้องอดทนกับฮองเฮาอีก? อดทนครั้งหนึ่งเพื่อสถานการณ์ภาพรวม แต่ไม่ถึงขั้นต้องอดทนไปชั่วชีวิต วันนี้หากนางถูกฮองเฮากดหัว ต่อจากนี้ไปคิดจะพลิกตัวขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน

 

 

ฮองเฮาถูกปฏิเสธเช่นนี้ ย่อมต้องชักสีหน้าฉับพลันทันที มองถาวจวินหลันแล้วหัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน “ดูท่าทางเจ้าต้องเรียนกฎเกณฑ์มารยาทให้ดีเสียแล้ว ทั้งไม่เชื่อฟัง แล้วยังเห็นหัวข้าเช่นนี้ ไปเชิญตวนชินอ๋องเข้ามา! ข้าอยากจะถามเขานัก ว่าเขาคิดอย่างไร”

 

 

บางทีฮองเฮาพูดเยอะเช่นนี้ ที่จริงแล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางอยู่ที่ประโยคสุดท้ายกระมัง ถาวจวินหลันยกยิ้มเย้ยหยัน ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย

 

 

ในเมื่อฮองเฮาคิดอยากจะหาเรื่องเช่นนี้ นางก็อยากดูนักว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะวุ่นวายอย่างไร

 

 

สำหรับหลี่เย่ ถาวจวินหลันคิดว่าเขาคงไม่มีทางให้ฮองเฮาสมใจปรารถนาง่ายๆ แน่นอน

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มออกมาน้อยๆ “หากท่านอ๋องบอกว่าหม่อมฉันมีความผิด หม่อมฉันย่อมมีความผิดเพคะ”

 

 

ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้นพวกเราก็มาดูกันว่าตวนชินอ๋องยุติธรรมหรือไม่”

 

 

นี่เกี่ยวอะไรกับเรื่องความยุติธรรมของ? นางยังคิดอย่างเดิม หากตระกูลเฉินไม่พูดอะไร ฮองเฮาทำเช่นนี้ก็เป็นเพียงการหาเรื่องเท่านั้นเอง

 

 

หลี่เย่ย่อมไม่รอช้า อย่างแรกฮองเฮาส่งคนมาเชิญเขา อย่างที่สองเขารู้เรื่องในวังของฮองเฮา เขาจึงรีบไปเรียกร้องความยุติธรรมให้ถาวจวินหลัน กลัวว่าถาวจวินหลันจะถูกฮองเฮารังแกอีก

 

 

พอหลี่เย่มาถึง ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เป็นอะไร แค่กำลังรอให้เขามา

 

 

หลี่เย่ยังเคารพฮองเฮาอยู่บางส่วน อย่างไรนั่นก็เป็นเสด็จแม่ใหญ่ไม่ใช่หรือ? ดังนั้นจึงต้องทำความเคารพ ก่อนเอ่ยถามว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งคนไปตามลูกมา ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮองเฮากวาดตามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง แล้วหันไปสั่งพระชายาองค์รัชทายาท “เจ้าเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบสิ”