ตอนที่ 103 หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง

ลำนำสตรียอดเซียน

“ศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ศิษย์ลงนามแห่งประมุขเต๋าจิ้งเหอ โม่เทียนเกออายุยี่สิบสามปีได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หลังจากที่บันทึกชื่อของนางในรายนามศิษย์ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้ที่เป็นคนดูแลยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ยินดีกับเจ้าด้วยศิษย์น้องโม่เทียนเกอที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ นี่เป็นแผ่นจารึกประจำตัวใหม่ของเจ้า”  

 

 

โม่เทียนเกอรับมาพร้อมพูดอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณท่านมากศิษย์พี่”  

 

 

ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้นี้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม “หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลัง ถ้ำเซียนและเครื่องมือต่างๆ ของศิษย์จะถูกแทนที่ด้วยของใหม่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อศิษย์น้องเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ถ้ำของเจ้าไม่ได้ถูกจัดเตรียมด้วยโถงคนงาน ดังนั้นศิษย์น้องลองถามผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าจะดีกว่า สำหรับเครื่องมือ เจ้าสามารถรับอันใหม่ไปได้เหมือนกับคนอื่นๆ เจ้าแค่นำแผ่นจารึกประจำตัวของเจ้าไปที่ห้องโถงด้านหลังแล้วมองหาคนงานชื่อลู่”  

 

 

“ขอบคุณท่านมาก”  

 

 

นางเดินไปทางห้องโถงด้านหลัง พบคนงานและรับเครื่องแบบกับเครื่องมือก่อนที่นางจะจากไป 

 

 

ด้านนอกห้องโถง โม่เทียนเกอเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าในขณะที่ถือแผ่นจารึกการสร้างฐานแห่งพลังประจำตัวรู้สึกเหมือนกับทุกอย่างคือความฝัน 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะครองยาสร้างฐานแห่งพลังถึงสามเม็ด แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่านางจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง นางเพียงแค่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเท่าที่เป็นไปได้และต่อสู้ผ่านไปกับมัน ในที่สุดนางก็โชคดี ประสบความสำเร็จจนได้ 

 

 

โม่เทียนเกอทดสอบพลังวิญญาณของนาง เคลื่อนไหวล่องลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกเสมือนกายนางไร้น้ำหนัก ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณสามารถใช้ได้เพียงแค่วิชาตัวเบาและเครื่องมือวิญญาณบางชนิดเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้น แต่พวกเขาไม่สามารถใช้เครื่องมือเวทมนตร์บินได้หรือแม้กระทั่งการเหาะเป็นเวลานานๆ หรือสามารถพูดได้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น 

 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมีพลังวิญญาณมากพอที่จะควบคุมเครื่องมือเวทมนตร์บินได้และเหาะอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน ไม่น่าแปลกใจเลยที่บางคนพูดว่าดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังนั้นเป็นประตูสู่การฝึกตนที่แท้จริง สุดท้ายแล้วการควบคุมกระบี่บินได้ระยะกว่าพันไมล์ในทันทีเป็นสิ่งที่เซียนสามารถทำได้เท่านั้น 

 

 

นางบินโฉบไปมาอยู่ในอากาศ สายลมเย็นๆ เคลื่อนผ่านสัมผัสใบหน้าของนาง ภูเขาในระยะพันลี้และแนวแม่น้ำปรากฏอยู่ในระยะไกลในขณะที่นางคิด หากท่านอารองอยู่ที่นี่ จะต้องรู้สึกโล่งใจเป็นแน่ จริงไหม ในที่สุดนางก็สามารถสร้างฐานแห่งพลังและข้ามสู่ประตูแห่งการฝึกตนได้แล้ว ต่อไปในภายภาคหน้า นางจะสร้างขุมพลังและจิตวิญญาณใหม่ไปจนกว่านางจะทะยานสู่สรวงสวรรค์… ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่านางจะจบอยู่ที่ระดับไหน นางจะทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบสิ้น 

 

 

ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของนาง นางบินกลับไปที่ถ้ำของนางอย่างช้าๆ  

 

 

นางเห็นฉินซีทันทีหลังจากที่นางเสร็จสิ้นการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและออกมาจากถ้ำ จากที่เขาบอก นางใช้เวลาในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิไปทั้งหมดสองปี นางแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่านางมีส่วนกระตุ้นที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แปรปรวนบนท้องฟ้าที่คล้ายกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้าในช่วงการก่อเกิดแก่นขุมพลัง 

 

 

การสร้างฐานแห่งพลังของนางจะสามารถเทียบได้กับการก่อแก่นขุมพลัง สิ่งนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของนางเลย นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่านางใช้เวลาไปอย่างยาวนาน ส่วนอื่นๆ ของกระบวนการก็เป็นเช่นเดิม ไม่มีสิ่งใดที่ผิดแปลกไปเกี่ยวกับพลังวิญญาณภายในร่างกายของนางหลังจากที่นางสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นนางจะไปกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์แปรปรวนบนท้องฟ้าได้อย่างไร โดยปกติแล้ว มีเพียงแค่การก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับที่สูงกว่าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ การก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังโดยปกติแล้วจะทำให้เกิดความผันผวนของพลังวิญญาณเป็นอย่างมากเท่านั้น 

 

 

ฉินซีบอกนางว่าไม่ต้องไปคิดมากอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ตัวเขาเองก็กำลังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ดังนั้นนางจึงต้องจัดการเรื่องอื่นๆ ไปก่อนและรอที่จะพบกับเขาทีหลังเมื่อเสร็จสิ้น 

 

 

หลังจากที่แลกเปลี่ยนแผ่นจารึกประจำตัวและรับเครื่องแบบใหม่กับรางวัลบางอย่างจากทางโรงเรียนในการสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ นางไปหาเยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลตลอดสองปีที่ผ่านมาก่อนที่จะเดินทางกลับไปที่ถ้ำของนาง 

 

 

ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม การที่นางประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังนั้นเป็นความจริง นางจะต้องวางแผนอนาคตต่อไปอย่างเหมาะสม 

 

 

สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือวิชาการฝึกตนของนาง แต่เดิมนางฝึกศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์และศาสต์แห่งป่าขจี ถึงแม้ว่าศาสตร์แห่งป่าขจีจะสามารถฝึกได้จนถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ตาม แต่มันไม่ค่อยได้ผลกับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะหยุดใช้มัน กระนั้นวัตถุประสงค์ของนางในการเรียนรู้ศาสตร์แห่งป่าขจีก็เพื่อเสริมจุดอ่อนของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ ซึ่งไม่เพียงพอในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม ถ้านางทิ้งศาสตร์แห่งป่าขจีไป นางคงต้องเรียนวิชาศักดิ์สิทธิ์อื่นเพื่อใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท 

 

 

เรื่องที่สองเกี่ยวกับเครื่องมือเวทมนตร์ ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณใช้เครื่องมือวิญญาณในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้เครื่องมือเวทมนตร์ เมื่อเทียบกับเครื่องมือวิญญาณ เครื่องมือเวทมนตร์มีความแข็งแกร่งมากกว่าสิบเท่า ตอนนี้นางได้เข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางจะต้องเปลี่ยนเครื่องมือวิญญาณทั้งหมดของนางให้เป็นเครื่องมือเวทมนตร์ 

 

 

ความจริงแล้วนางครอบครองเครื่องมือเวทมนตร์อยู่พอสมควร ส่วนมากล้วนถูกทิ้งไว้จากท่านอารอง ในขณะที่บางอย่างเป็นของรางวัลจากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอและท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งก่อนที่นางจะสร้างฐานแห่งพลัง ของอีกสองอย่างคือเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และไม้หลบลี้หนีหล้าที่ถูกฉินซีขโมยมาและให้ไว้กับนางเมื่อพวกเขาออกมาจากเขาอวิ๋นอู้ 

 

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านางจะมีเครื่องมือเวทมนตร์จำนวนมาก ทว่าส่วนมากนั้นใช้เพื่อการช่วยเหลือและป้องกัน ในเมื่อเครื่องมือเวทมนตร์ของท่านอารองไม่ได้เหมาะกับนาง นางต้องมองหาเครื่องมือเวทมนตร์อย่างอื่น นางยังคงมีซากของจระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสองที่นางฆ่าในช่วงเวลาที่อยู่สำนักอวิ๋นอู้ สักวันหนึ่งนางจะสามารถนำมันออกมาและขอให้ใครสักคนช่วยทำเป็นเครื่องมือเวทมนตร์ให้กับนาง 

 

 

เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับยาวิเศษ ยาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นยากที่จะครอบครองได้ ไม่เหมือนกับยาวิเศษของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ถึงแม้ว่านางจะเป็นศิษย์เอกอยู่แล้ว ก็ยังไม่น่าเป็นไปได้สำหรับนางที่จะทานยามากมายราวกับมันเป็นข้าวเหมือนตอนที่นางอยู่ในระดับดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ 

 

 

ก่อนที่นางจะหาทางแก้ให้กับเรื่องพวกนี้ หลัวเฟิงเสวี่ยได้แจ้งนางว่าท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินได้ออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้ว ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงพักเรื่องนี้ไว้และเดินทางเพื่อไปพบเขาก่อน 

 

 

ขณะที่เดินเข้าไปในถ้ำของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน นางรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้มีผู้คนมากมายอยู่ด้านใน ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่ผู้หญิงสองคนแต่แม้กระทั่งศิษย์พี่ผู้ชายหลายคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ศิษย์พี่ชายเหล่านี้ขยันฝึกตนอย่างมาก ขนาดที่โม่เทียนเกออยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิงมาเป็นเวลานาน ก็ยังมีบางคนที่นางยังไม่เคยพบเจอ 

 

 

“ศิษย์โม่เทียนเกอขอคารวะท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน”  

 

 

เช่นเคย ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาทำท่าทางยกมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ลุกขึ้น”  

 

 

โม่เทียนเกอยืนขึ้นและพูดด้วยความเคารพ “ศิษย์ได้ออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตเพื่อทำสมาธิและได้ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง ศิษย์เดินทางมาเพื่อแจ้งให้ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินทราบเจ้าค่ะ”  

 

 

ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าของเขา ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้ เจ้าทำได้ดีมาก ขึ้นมาสิ ไหนให้ข้าดูหน่อย”  

 

 

“เจ้าค่ะ”  

 

 

โม่เทียนเกอเดินไปทางด้านหน้า ให้ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตรวจชีพจร ทันใดนั้นนางรู้สึกถึงสายใยของพลังวิญญาณสอดเข้าไปสู่ร่างกายนาง ผ่านเส้นลมปราณและตรวจสอบทีละเส้น ทีละเส้น 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินปล่อยข้อมือของนาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

รู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก โม่เทียนเกอถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ลุง มีปัญหาอันใดหรือ”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินส่ายหัว “ไม่มีปัญหาอะไร มันเป็นเพราะมันไม่มีปัญหาใดๆ เลยนี่แหละ… เจ้าได้ยินเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เจ้าสร้างฐานแห่งพลังแล้วใช่ไหม”  

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ”  

 

 

“เจ้ารู้ตัวอยู่แล้วหรือไม่ตอนที่มันเกิดขึ้น”  

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหัวพร้อมพูดตอบ “ศิษย์ไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งใดเลยในระหว่างกระบวนการ ศิษย์ไม่รู้เลยว่าศิษย์ได้ปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิไปถึงสองปี”  

 

 

“เช่นนั้นหรือ…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ตกไปและพูดว่า “พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้ในอนาคตก็แล้วกัน”  

 

 

“เจ้าค่ะ”  

 

 

เมื่อเห็นท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินมีเรื่องอื่นๆ ที่จะต้องจัดการ โม่เทียนก็เกอขยับตัวไปทางด้านข้างและปิดปากนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น 

 

 

“ชิงอวี้”  

 

 

“ท่านอาจารย์” หันชิงอวี้ก้าวออกมาทางด้านหน้า 

 

 

“เรื่องนี้สำคัญ จงพาศิษย์น้องทั้งหลายไปกับเจ้าด้วย เจ้าสามารถหยุดได้หากไม่ได้พบเจอปัญหาอะไร แต่ถ้าเจ้าเผชิญเข้ากับสิ่งใดก็ตาม เจ้าจะต้องรีบกลับมาและแจ้งพวกข้า”  

 

 

“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินหันมองไปทางศิษย์คนอื่นๆ ลูบเคราของเขาและบนพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “ซื่อหนาน ฉีเฟิง ซีเย่ว์ เจ้าทั้งสามคนตามศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไป”  

 

 

“เจ้าค่ะ/ขอรับ ท่านอาจารย์”  

 

 

“ถ้าอย่างนั้น กลับไปได้แล้ว เทียนเกอเจ้าอยู่ก่อน”  

 

 

“เจ้าค่ะท่านอาจารย์”  

 

 

เมื่อเห็นสหายศิษย์ออกไปทีละคน โม่เทียนเกออดคิดในใจไม่ได้ มีอะไรยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่ทำให้ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินต้องส่งศิษย์ถึงสี่คนออกไปนอกโรงเรียนหรือเปล่านะ 

 

 

นางไม่ทันได้มีโอกาสคิดต่อเพราะท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “เทียนเกอถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ของข้า เจ้าก็ให้เกียรติข้าเป็นเหมือนอาจารย์เจ้า ตอนนี้เจ้าได้ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ข้าก็คงต้องมอบรางวัลแก่เจ้า”  

 

 

โม่เทียนเกอพูด “เป็นเพราะคำชี้แนะของท่านอาจารย์ลุงจึงทำให้ศิษย์ประสบความสำเร็จได้ ศิษย์ไม่กล้าพอที่จะรับของรางวัลใดๆ หรอกเจ้าค่ะ”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินลูบเคราของเขาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องปฏิเสธหรอก… ศิษย์ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังได้รับรางวัลกันแทบทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าคนเดียว” เขาคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าขอถามเจ้าก่อน วิชาการฝึกตนที่เจ้าฝึกอาจจะขาดวิชาการต่อสู้ที่จำเป็นต้องใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังใช่หรือไม่”  

 

 

โม่เทียนเกอตกตะลึง เป็นไปตามคาดสำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางยังไม่ทันที่จะได้พูดถึงปัญหาของนาง แต่เขาก็สามารถเดาได้ในทันที นางตอบ “ใช่เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าฝึกวิชาการฝึกตนสองศาสตร์ อย่างแรกนั้นดีสำหรับการฝึกตนแต่ไม่ได้มีพลังมากนัก ในขณะที่อีกอัน พลังของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อข้าเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเจ้าค่ะ”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าและยืนขึ้นขณะที่พูด “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าเลือกวิชาการฝึกตนใหม่ ตามข้ามา”  

 

 

“เจ้าค่ะท่านอาจารย์ลุง”  

 

 

โม่เทียนเกอเดินตามหลังท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินออกไปจากห้องโถงหลัก พวกเขาเลี้ยวลัดหลายครั้ง ผ่านกำแพงอาคมมากมาย จนในที่สุดก็เข้าไปในห้องเก็บของเล็กๆ  

 

 

ในห้องเก็บของ นางเห็นชั้นไม้หลายชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือ หยกบันทึกและสิ่งอื่นๆ  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “ข้าไม่เคยพบหญิงผู้ฝึกตนที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์มาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับลักษณะของวิชาการฝึกตนที่เจ้าจะสามารถฝึกได้เท่าไหร่นัก ข้าไม่อาจเลือกวิชาการฝึกตนที่เหมาะสมและสามารถเลือกได้เพียงแค่บางอย่างที่อาจจะเหมาะสมกับเจ้าได้”  

 

 

โม่เทียนเกอก้มคำนับพร้อมพูด “ความห่วงใยของท่านอาจารย์ลุงทำให้ศิษย์รู้สึกซาบซึ้งใจจนไม่อาจเทียบกับสิ่งใดได้เจ้าค่ะ”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินผู้ซึ่งมีความประทับใจกับศิษย์ผู้น้อยคนนี้ ไม่ได้พูดอะไรอีกและตกอยู่ในภวังค์ความคิดใคร่ครวญก่อนที่จะหยิบหนังสือหลายเล่มพร้อมกับหยกบันทึกก่อนที่จะส่งให้กับโม่เทียนเกอ “ลองดูเสียก่อนและบอกข้าว่าเจ้าคิดอย่างไร”  

 

 

โม่เทียนเกอเปิดดูหนังสือเหล่านั้นพร้อมกับหยกบันทึกในมืออย่างผ่านๆ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นวิชาการฝึกตนที่เอนเอียงไปทางด้านวิชาการต่อสู้ พวกมันไม่ต้องการวิถีการฝึกตนเฉพาะทางและไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณที่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของพวกมันคือพลังที่ต่ำและคงไร้ประโยชน์หากนางก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน มันจะต้องไม่ใช่วิชาการฝึกตนทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันเหมาะกับนาง 

 

 

หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่งโม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามว่า “ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน มีวิชาการฝึกตนไหนที่สามารถฝึกควบคู่ไปกับเครื่องมือเวทมนตร์หรือไม่เจ้าคะ ศิษย์รู้สึกว่าถ้าคิดถึงเรื่องพละกำลังแล้ว บางทีวิชาการฝึกตนแบบนั้นอาจจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้”  

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้า “นั่นก็มีเหตุผล หากพูดถึงเครื่องมือเวทมนตร์ ศิษย์น้องโส่วจิ้งได้ฝากไว้กับข้าเพื่อมอบให้เจ้า ในเมื่อเจ้าพูดถึงพอดี ข้าก็ควรที่จะให้เจ้าเสียก่อน”  

 

 

ว่าแล้วเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพและถือไว้ในมือ “นี่เรียกว่ากระสวยอัปสรา มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างลักษณะและประกอบไปด้วยม่านลวงตา อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้บางวิชา สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ม่านพลัง เจ้าเก่งทางด้านม่านพลังดังนั้นข้าจึงคิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่เหมาะกับเจ้า”  

 

 

โม่เทียนเกอพิจารณาสิ่งนั้นอย่างรอบคอบ กระสวยอัปสรานี้ระยิบระยับด้วยรัศมีสีทอง ปลายทั้งสองด้านแหลมคม ทำให้นางต้องสงสัยว่าสิ่งนี้ทำมาจากอะไร ถึงแม้จะมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ มันไม่ใช่สิ่งของทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน 

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินให้กระสวยอัปสราและหยกบันทึกกับนาง “ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะมีเครื่องมือนี้ เจ้าก็ยังคงต้องเลือกวิชาการฝึกตนสำหรับต่อสู้ ถ้าเจ้าพึ่งพาเครื่องมือเวทมนตร์มากเกินไปและพ่ายแพ้ เจ้าก็จะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำได้”  

 

 

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง นี่เป็นศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ เจ้าจงใช้จิตวิญญาณเริ่มต้นในการฝึกควบคู่ไปกับมัน พลังของมันมหาศาล ตอนแรกข้าคิดว่าวิชานี้น่าจะฝึกยากเกินไปและคงไม่เหมาะกับเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะฝึกกับเครื่องมือเวทมนตร์ ข้าก็จะให้มันกับเจ้าเสียแต่ตอนนี้เจ้าจะได้ค่อยๆ เริ่มต้นฝึกซ้อมไป”  

 

 

“วิชาการฝึกตนนี้ไม่ง่ายนัก สามารถพาไปสู่การถูกครอบงำจากมารได้ ดังนั้นข้าจึงไม่เคยกล้าให้กับศิษย์คนไหน อย่างไรก็ตาม ด้วยร่างกายที่มีพลังหยินของเจ้า โอกาสที่เจ้าจะถูกครอบงำด้วยมารนั้นจะต่ำกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงคิดว่านี่คงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเจ้ามากนัก”  

 

 

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ลุง” เมื่อโม่เทียนเกอรับวิชาการฝึกตนที่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมอบให้กับนางและมองดูมัน นางก็รู้สึกดีใจอย่างเหลือล้น วิชาการฝึกตนนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามันสามารถฝึกได้กับผู้ฝึกตนดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและสูงกว่า รวมไปถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เช่นกัน มันเป็นวิชาการฝึกตนขั้นสูง! หากนางสามารถฝึกมันได้อย่างเหมาะสม ก็จะเป็นไพ่ไม้ตายของนางทีเดียว!  

 

 

หลังจากที่พานางออกมาจากห้องเก็บของ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยื่นกระบี่บินได้และขวดยาวิเศษให้กับนางพร้อมพูดว่า “ในเมื่ออาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้ให้เครื่องมือเวทมนตร์สำหรับใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังกับเจ้า ข้าก็จะให้กระบี่บินได้กับเจ้าแทน ยาวิเศษเหล่านี้ คือยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณสำหรับผู้ที่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ขวดนี้เป็นส่วนแบ่งในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์ ในอนาคตเจ้าจะได้รับหนึ่งขวดในทุกๆ ปี ยาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นหาได้ยากกว่ายาวิเศษของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมากนัก ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี”