“วันนี้ก็ไม่ใช่สินะ…..”

 

เวลาผ่านไปประมาณสิบวันแล้วตั้งแต่ที่จดหมายถูกชิงไป

 

วันนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อจากฝั่งของกอร์ดอนเลย

 

ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าเรื่องเป็นไปตามที่ฉันคาดเอาไว้สินะ

 

ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“สถานการณ์ไม่ค่อยดีหรอคะ?”

 

ฟีเน่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะที่เสิร์ฟน้ำชาให้ฉัน

 

ฉันพยายามจะยิ้มเพื่อบ่งบอกให้เธอมั่นใจแต่สีหน้าของฟีเน่ก็มีแต่จะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

 

“ก็นะ, นิดหน่อยหน่ะ”

 

“โกหกสินะคะ….จริงๆแล้วมันไม่ดีเลยใช่ไหมหล่ะ?”

 

“เจ้าเองก็มองออกสินะ”

 

ฉันเอามือเกาศรีษะแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

ตั้งแต่แรกแล้ว, พวกเราสมควรที่จะได้รับจดหมายนั่นแล้วเปิดโปงการกระทำผิดของขุนนางทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าทางใต้จะก่อกบฏขึ้นมา, พวกเราก็วางแผนที่จะใช้วิธีการรุนแรงด้วยการนำกองทัพไปปปราบปรามพวกเขา

 

อย่างไรก็ตาม, กอร์ดอนเก็บจดหมายเอาไว้กับตัวเองเพื่อที่การต่อสู้จะได้ไม่จบแค่เรื่องเล็กๆ  นี่เป็นวิธีการที่สมกับเป็นกอร์ดอนจริงๆ

 

และก็ด้วยเหตุนี้เอง, พวกเราจึงไม่สามารถใช้แผนการเดิมได้อีกต่อไป ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง, จักรวรรดิก็จะอ่อนแอลงอย่างแน่นอน

 

กอร์ดอนน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี

 

อย่างเลวร้ายที่สุด, แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องนั้น, โซเนียก็น่าจะเข้าใจ

 

ถ้าพวกเขายืนกรานจะทำแบบนี้ก็หมายความว่าพวกเขามีแผนการบางอย่างเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า

 

“ถ้ามีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น, วิธีเดียวที่พวกเราเหลืออยู่ก็คงเป็นการใช้มันเพื่อสร้างความสำเร็จให้ลีโอ นี่เป็นแค่ตัวเลือกเดียว แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นพวกเรายังพอมีเวลาอยู่ ข้าอยากป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นแต่ข้าไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไงดี”

 

“พวกเรารายงานเรื่องนี้กับจักรพรรดิไม่ได้หรอคะ?”

 

“ลีโอพยายามทำแบบนั้นแล้วและข้าก็ได้ห้ามไปแล้ว ข้าเข้าใจความรู้สึกของเขาแต่….สงครามผู้สืบทอดไม่ได้จบลงแค่เรื่องนี้ ถ้าลีโอรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านพ่อ, เขาก็จะเข้ามาลุยเองอย่างแน่นอนแต่ในทางกลับกัน, มันก็จะทำลายอนาคตของลีโอ ยิ่งไปกว่านั้น, แม้ว่ามันอาจจะไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ พวกเราก็จำเป็นต้องคิดหาทางอื่นในการทำอะไรซักอย่างกับมัน”

 

“แล้วพวกเราให้รีเบคก้าเป็นคนไปเรียกร้องไม่ได้หรอคะ?”

 

“มันไม่มีวิธียืนยันว่าเธอเป็นอัศวินที่เอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ฝากฝังจดหมายของเขาเอาไว้ให้หน่ะสิ พวกเราถูกขโมยหลักฐานสนับสนุนไปแล้ว ถึงยังไง, ต่อให้รีเบคก้าไปเรียกร้องกอร์ดอนก็แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็นะ, ต่อให้ลีโอเป็นคนไปเรียกร้องเองก็คงจะออกมาเหมือนกัน, และพวกเขาก็คงไม่ซ่อนจดหมายเอาไว้ในที่ที่พวกเราหาได้ง่ายๆด้วยดังนั้นการประเมินของท่านพ่อที่มีกับลีโอก็จะไปในทางแง่ลบ อย่างเลวร้ายที่สุด, เขาอาจจะถูกยึดหน้าที่การสอบสวนทางใต้ไปพร้อมกันเลยด้วย และถ้าเป็นแบบนั้น, ฝ่ายนั้นก็จะไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายมาให้ลีโออีก, พวกเราจะกลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าพวกเราจะเคลื่อนไหวยังไง, กอร์ดอนก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ”

 

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงจะสงสัยว่ากอร์ดอนสามารถเคลื่อนไหวอย่างเจ้าเล่ห์แบบนี้ได้ยังไงแต่ตอนนี้เขามีนักกลยุทธที่ชื่อว่าโซเนียอยู่ฝั่งเขา

 

ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวไม่ระวัง, พวกเราก็จะโดนสวนกลับอย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม, ถ้าพวกเราถอดใจเรื่องการหยุดยั้งสงครามกลางเมือง, กอร์ดอนก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ

 

เซบาสพูดเอาไว้ว่าฉันไม่ควรกังวลเกี่ยวกับมันมากนักเนื่องจากสงครามกลางเมืองน่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าพวกเราจะได้จดหมายหรือไม่ก็ตาม, แต่การถอดใจโดยไม่ลองทำอะไรเลยนั้นมันชวนให้รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย

 

ที่พวกเราไม่สามารถจัดการกับมันได้ก็แค่เพราะพวกเราไม่มีอำนาจพอที่จะหยุดมัน

 

ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือพวกเราสามารถหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองได้

 

ต่อให้ฉันจะปล่อยวางความรู้สึกของตัวเอง, แต่ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ขึ้น, การประเมินตัวลีโอก็จะยังคงแย่ลงเพราะเขาจะถูกกล่าวโทษสำหรับความจริงที่ว่าเขาพบจดหมายช้าเกินไป

 

จักรวรรดิ, ผู้คน, และความคืบหน้าในสงครามผู้สืบทอด การหยุดสงครามกลางเมืองจะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องทั้งหมดนี้

 

“ฮืออ…..แบบนี้ก็แย่แล้วสิคะ……”

 

“ข้าได้สั่งให้เซบาสออกไปตามหาจดหมายแล้วแต่ข้าคิดว่าเซบาสคงไม่ไหวหรอก หรือว่าข้าควรจะเริ่มเตรียมการแล้วร่วมมือกับลีโอในฐานะซิลเวอร์ดี…..?”

 

ฉันอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เวลานั้นไม่มีวันหวนคืนกลับมา

 

ถ้าตอนนั้นฉันทำอะไรให้มากกว่านี้ก็คงจะดี ฉันยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับตอนนั้นอยู่

 

ความพ่ายแพ้จากการขาดข้อมูลและความเข้าใจในสถานการณ์ ถ้าพวกเราไม่มีสิ่งนี้พวกเราก็จะไม่สามารถเตรียมการได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้น, ตอนนั้นฉันก็น่าจะพอเคลื่อนไหวในฐานะซิลเวอร์อย่างระมัดระวังได้อยู่

 

ถ้าฉันเริ่มเคลื่อนไหวในฐานะซิลเวอร์ตั้งแต่แรกฉันก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องที่ความลับของฉันจะถูกเปิดเผย

 

แต่ว่า, นั่นก็มีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่

 

“ถ้าทำแบบนั้น, มันก็จะเป็นการเปิดเผยว่าซิลเวอร์ร่วมมือกับท่านลีโอเป็นการส่วนตัวนะคะ ถึงยังไงจนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังมีข้ออ้างว่าทำไปเพื่อยับยั้งมอนส์เตอร์อยู่……”

 

“นั่นสินะ, ผู้ใช้เวทมนตร์โบราณเอาตัวเข้ามายุ่งกับสงครามผู้สืบทอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องมีผลกระทบจากเรื่องนั้นแน่”

 

ถ้าฉันช่วยเหลือลีโอด้วยการใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายในตอนนั้น, แนวทางที่ฉันวางเอาไว้จนถึงตอนนี้ก็จะพังไม่เป็นท่า

 

ซิลเวอร์ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์เพราะเขาคือผู้พิทักษ์เมืองหลวงจักรวรรดิและประชาชน ถ้าซิลเวอร์เคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือคนๆเดียวในความขัดแย้งทางการเมืองแทนที่จะเป็นวิกฤตการณ์มอนส์เตอร์หรือภัยของจักรวรรดิ, ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือจะแพร่กระจายไปแบบไหน ด้วยโซเนียที่อยู่ฝั่งนั้น, เธอจะต้องใช้มันเพื่อทำให้พวกเราเสียเปรียบอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาส่งจดหมายให้พวกเรา, ความจริงที่ว่าโซเนียยังอยู่ฝั่งกอร์ดอนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้น, พวกที่สนับสนุนซานดร้าจะต้องใช้มันเพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้พวกเขาด้วยแน่ๆ”

 

อย่างเลวร้ายที่สุด, ซิลเวอร์อาจจะถูกตีตราว่าเป็นภัยคุกคามและฉันก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวในฐานะซิลเวอร์ได้อีก จักรวรรดิบอบช้ำจากเวทมนตร์โบราณกับราชวงศ์มามากถึงขนาดนั้น

 

ถ้าทำแบบนี้, มันก็จะเป็นการที่พวกเราใช้ไพ่ตายเพื่อแลกกับจัดหมายนั่น ซึ่งมันเป็นความเสี่ยงที่ฉันยอบรับไม่ได้

 

“เห้อ…..คิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรสินะ ในตอนนั้น, การเคลื่อนไหวของข้าถูกจำกัดมากเกินไปจริงๆ”

 

แถมก็นะ, ตอนนั้นมันก็ไม่ได้ถือว่าจวนตัวจริงๆด้วย

 

การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงจักรวรรดิในฐานะซิลเวอร์นั้นมาพร้อมกับข้อจำกัดหลายอย่าง

 

นี่คือสาเหตุที่ช่วงเวลาที่ฉันจะทำได้นั้นจึงมีจำกัดมากๆ

 

“ถ้าข้าไม่สามารถหาวิธีคลี่คลายปัญหานี้ได้ในเร็วๆนี้, ข้าก็อาจจะบอกให้ลีโอไปรายงานกับท่านพ่อ……”

 

“พวกเราเจรจากับขุนนางทางใต้ไม่ได้หรอคะ?”

 

“รู้ใช่ไหมว่าพวกนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางใต้แน่ๆ? จะให้ไปเจรจากับพวกนั้นมันก็คงจะ…..”

 

ฉันหยุดคำพูดเอาไว้ตรงนั้น

 

แน่นอนว่าพวกเขาปฏิเสธการเจรจากับพวกเรามาจนถึงตอนนี้

 

อย่างไรก็ตาม, นับจากนี้ไป, จะต้องมีช่วงที่พวกเขาอยากทำแบบนั้นอย่างน้อยก็สักครั้งนึงอย่างแน่นอน

 

“ฟีเน่….เจ้านี่อัจฉริยะจริงๆ”

 

“คะ?”

 

“โทษทีนะ, แต่ช่วยไปเรียกลีโอมาหาข้าหน่อยได้ไหม? ข้าคิดแผนดีๆออกแล้วหล่ะ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็เริ่มเขียนแผนการที่คิดขึ้นมาได้ลงกระดาษ

 

เมื่อเห็นแบบนี้, ฟีเน่ก็รู้สึกงุนงงแต่เธอก็ออกไปเรียกลีโอในทันที

 

 

“ท่านพี่, คิดแผนดีๆออกแล้วหรอครับ?”

 

“เดี๋ยวนะ อืมม, คิดว่านี่คงเป็นปัญหาทั้งหมดหล่ะมั้ง? ที่เหลือก็คือคนติตตาม พวกเราจะติดอยู่ตรงนี้จนกว่าจะหาได้สินะ”

 

ฉันพึมพำในขณะที่กำลังครุ่นคิด

 

ในขณะที่มองมาที่ฉัน, ลีโอก็หยิบกระดาษที่ฉันเขียนแผนเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบขึ้นมาแล้วดูเนื้อหาของมัน

 

“….ท่านพี่, นี่ท่านพี่เสียสติไปแล้วหรอ?”

 

 

“แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะออกโรงหรอกนะ”

 

แก้มของลีโอกระตุกให้กับคำตอบสั้นๆของฉัน

 

คนที่จะใช้แผนนี้ที่ฉันคิดเอาไว้ก็คงจะเป็นลีโอ

 

“แผนแบบไหนหรอคะ?”

 

“ถ้าให้พูดง่ายๆก็,  แสร้งทำเป็นเจรจาแล้วก็กำราบซะ”

 

“เอ๋…..?”

 

“พวกเราจะเข้าไปในฐานของศัตรูแล้วรีบยึดการควบคุมมาให้ได้ ขุนนางส่วนใหญ่แค่ตกกระไดพลอยโจนเพราะพวกเขากลัวดยุคครูเกอร์ ถ้าพวกเราจัดการดยุคได้, พวกเขาก็จะยอมแพ้ในทันที”

 

พวกเขาไม่มีรองผู้บัญชาการที่สามารถมาแทนที่ดยุคครูเกอร์ได้และด้วยเหตุนี้เองการดำเนินสงครามกลางเมืองต่อจึงไร้ความหมายสำหรับพวกเขา

 

เหตุผลที่พวกเขาเริ่มสงครามกลางเมืองในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อยึดจักรวรรดิ พวกเขาแค่อยากบังคับให้จักรพรรดิยอมอะลุ่มอะล่วยเพื่อรับรองความปลอดภัยของพวกเขา

 

ถ้าพวกเราสามารถจับตัวดยุคครูเกอร์ได้, พวกเขาก็จะสูญเสียผู้นำที่สามารถเจรจากับจักรพรรดิได้อย่างสูสี, และองค์กรของพวกเขาก็จะถูกยกเลิก

 

ถ้าสงครามกลางเมืองมีขนาดเล็กเกินไปมันก็จะไร้ประโยชน์ในทันที จักรพรรดิจะไม่ยอมอะลุ่มอะล่วยเพราะแค่เรื่องเล็กๆ หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, มันคือแผนที่จะไร้ประโยชน์ถ้าไม่ทำให้มันใหญ่จริงๆ

 

“ข้าคิดว่ามันคงจะดีนะถ้าพวกเราสามารถเจรจากับพวกเขาได้จริงๆ…….”

 

“นี่แหล่ะคือความแยบยลของแผนนี้ ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะไม่ยอมเจรจามากแค่ไหน, อย่างน้อยมันก็จะมีโอกาสให้พวกเขาได้ทำอย่างนั้น”

 

“ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะเริ่มขึ้น พวกเขาจะยอมรับการเจรจาอย่างแน่นอนถ้าจักรพรรดิส่งผู้สงสารไปหา ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านพี่อยากจะสื่อนะแต่ว่า…….”

 

“เจ้าอยู่ในตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบในเรื่องกบฎทางใต้โดยตรง เจ้าสามารถขอทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาได้ด้วยการไปเรียกร้องกับท่านพ่อว่าเจ้าอยากกอบกู้เกียรติยศของตัวเอง แต่ก็แน่นอนว่า, ถ้าเจ้ามีแรงจูงใจนั่นแหล่ะนะ”

 

“นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าหรอกครับ ตัวข้าเองก็เห็นด้วยกับแผนนี้ มันสามารถลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากสงครามกลางเมืองได้ มันคงจะดีที่สุดถ้าแผนการนี้ได้ผล”

 

ใช่แล้ว

 

การบุกฐานบัญชาการของศัตรูอย่างเฉียบพลัน ถ้าพวกเราสามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาดด้วยแผนนี้, มันก็จะหยุดยั้งแผนของกอร์ดอนได้อย่างสมบูรณ์และประชาชนทางใต้ก็จะไม่ต้องเสียสละอย่างสูญเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม, มันมีการท้าทายมากมาย

 

ขั้นแรกก็คือหน่วยแทรกซึม

 

“หน่วยที่สามารถพาไปด้วยได้คงจะเป็นผู้ติดตามกลุ่มเล็กๆ ถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้เป็นกองกำลังระดับสูง, แผนนี้ไม่เวิร์คแน่ ต่อให้เอาเซบาสกับซิกไปด้วย, เจ้าก็ยังต้องการหน่วยที่มีพลังต่อสู้สูง”

 

“แต่พวกเราใช้การ์ดหลวงไม่ได้, เจตนาของพวกเราจะชัดเจนเกินไปและถ้าทำแบบนั้นพวกเขาก็จะระแวงพวกเราด้วย”

 

“ใช่แล้ว นั่นคือสาเหตุที่พวกเราต้องตามหาหน่วยแบบนั้น”

 

สำหรับประเด็นที่สอง

 

การเจรจากับกอร์ดอน

 

“การท้าทายอีกอย่างก็คือการเจรจาระหว่างพวกเรากับกอร์ดอนในตอนที่เขาส่งจดหมายนั้นให้กับพวกเรา พวกเราไม่สามารถทำสัญญากับเขาอย่างสะเพร่าได้”

 

“มันจะเป็นปัญหาเอาได้หล่ะนะถ้าเขาห้ามไม่ให้พวกเราเคลื่อนไหวเลย”

 

“นั่นสินะ ต่อไปก็เรื่องสุดท้าย”

 

ความท้าทายที่สาม

 

การเพิ่มโอกาสสำเร็จของพวกเรา, พวกเราจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากจักรพรรดิ

 

“ข้าว่าท่านพ่อไม่อนุมัติแผนการของพวกเราแน่เลย”

 

“แผนการนี้อันตรายจริงๆ, และถ้าเจ้าถูกจับเป็นตัวประกัน, มันก็จะส่งผลกระทบกับอนาคตของเจ้า เมื่อเทียบกับการส่งกองทัพ, มันมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก นี่คือสาเหตุที่พวกเราจำเป็นต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้เพื่อโน้มน้าวเขา”

 

“แล้วพวกเราจะเพิ่มโอกาสสำเร็จของเรายังไงดี?”

 

“สำหรับตอนนี้, ข้าจะรวบรวมหน่วยระดับสูงที่จะไม่ทำให้ศัตรูตื่นตัว”

 

แม้ในความเป็นจริงนั้นลีโอจะออกเดินทางไปในฐานะทูตพวกเราก็จะไม่ใช้การ์ดหลวง

 

ศัตรูของพวกเราจะลดการป้องกันลงอย่างแน่นอนแต่นั่นก็ยังไม่พอ

 

พวกเราจำเป็นต้องหาวิธีที่ทำให้ศัตรูลดการป้องกันอยู่ตลอดและหาหน่วยระดับสูงอื่นนอกจากการ์ดหลวง”

 

“งานนี้ยากอยู่นะครับ”

 

“ก็นะ, แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีแผนเลย พวกเราสามารถลดความเสียหายและหยุดสงครามกลางเมืองได้ด้วยวิธีนี้ อุปสรรคสูงก็จริงอยู่แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลอง”

 

ด้วยประการฉะนี้เองการประชุมกลยุทธของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น