ตอนที่ 624 เมื่อพญานกเริ่มโบยบินตามสายลม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 624 เมื่อพญานกเริ่มโบยบินตามสายลม

ในยามที่บังเกิดความมึนเมาแล้วหกส่วน

ที่ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบ

สตรีผู้นี้ใช้น้ำหอมกลิ่นกุหลาบแดงที่ส่งกลิ่นหอมยาวนานน่ารัญจวนใจ

กลิ่นหอมอ่อน ๆ กลิ่นนี้คือตัวแทนของความมีชีวิตชีวาและมิปิดบังความรู้สึก

ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราจนหมดจอก จากนั้นเสี่ยวเอ้อก็ได้นำพู่กันและแท่นหมึกเข้ามาพอดี

สวี่ซินเหยียนเดินเข้ามาพร้อมซุปสร่างเมาในมือ นางจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นจึงวางถ้วยซุปลงและตั้งตารอฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวีขึ้นมาอีกครา

ในห้องนี้มีผู้ที่ไร้อารามตื่นเต้นอยู่หนึ่งคนซึ่งนั่นก็คือหนิงหยู่ชุน

เขายิ้มแล้วส่ายศีรษะไปมาพลางคิดในใจว่าคุณหนูตระกูลซือหม่าผู้นี้อาจจะโดนครอบงำเสียแล้ว หากฉินโม่เหวินอยู่ที่นี่ด้วยคงจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องนภาแล้วทอดถอนหายใจออกมาเสียงดังเป็นแน่

ซือหม่าเช่อวางสุราในมือลงแล้วเดินไปข้างโต๊ะหนังสือ นางช่วยฝนหมึกอย่างระมัดระวังแม้ว่าจิตใจจะมิอยู่กับเนื้อกับตัว

“ข้าฝนหมึกเสร็จแล้ว เชิญคุณชายเริ่มเขียนได้เลยเจ้าค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนจะมิลงมือเขียนตัวอักษรเองเป็นอันขาด เพราะนั่นจะทำให้เขาอับอายขายหน้า !

“เชิญคุณหนูซือหม่าเขียนแทนข้าเถิด”

ซือหม่าเช่อรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินเช่นนี้ “ถ้าเยี่ยงนั้น ข้ามิเกรงใจแล้วนะเจ้าคะ”

จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกล่าวว่า

“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบสาม เดือนสี่ ได้รวมตัวที่หอซื่อฟางกับเยาวชนแห่งตระกูลการค้าใหญ่ทั้งห้า

กำลังดื่มจนได้ที่จึงแต่งกวีบทนี้เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

กวีบทนี้ชื่อ…ไร้ชื่อ”

โจ่งจี้ถัง หยูซิ๋งเจี่ยน และคนอื่น ๆ ต่างก็พากันตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ติ้งอันป๋อตั้งชื่อบทกวีเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ ?

คิดว่าเขาคงใช้เวลาราวครึ่งก้านธูป แต่ทว่าผ่านไปเพียงแค่อึดใจเดียวเขาก็ประพันธ์เสร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ซือหม่าเช่อเขียนชื่อบทกวีนี้ลงไปด้วยอารามตกใจเช่นกัน นางเคยได้ยินมาว่าติ้งอันป๋อสามารถประพันธ์กวีได้ภายในสามก้าว ตอนนั้นนางมิเชื่อ แต่มาวันนี้ถึงมิอยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว !

ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวออกมาว่า

“วันหนึ่งเมื่อต้าเผิงเริ่มโบยบินตามสายลม

ขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้ ! ”

ทันทีที่เขากล่าวออกมา ราวกับได้บังเกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ราวกับคลื่นยักษ์กำลังซัดถาโถมเข้ามา !

ทุกคนต่างสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กลั้นหายใจพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงเลือดที่พลุ่งพล่านในร่างกาย

มือที่จับพู่กันของซือหม่าเช่อสั่นขึ้นมาทันใด สวรรค์ ! บทกวีเช่นนี้ การคุยโวโอ้อวดเช่นนี้… ในใต้หล้านอกจากเขาแล้วจะมีผู้ใดทำได้อีกกัน !

เฮ้อซานเตามิเคยประพันธ์บทกวีมาก่อนแต่เขาก็เข้าใจในความหมาย เขาจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นตกใจ จากนั้นจึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าความแตกต่างระหว่างคุณชายเศรษฐีที่ดินทั้งสองนั้นช่างมีช่องว่างที่กว้างใหญ่มากยิ่งนัก

ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเยี่ยงติ้งอันป๋อ เหนือกว่าเขาถึงเก้าหมื่นลี้ !

แล้วจุดมุ่งหมายของข้าเล่า ? เหมือนจะมีเพียงบุปผาร้อยดอกที่อยู่ในหอชุ่ยหงเท่านั้น !

ข้าจะไปเทียบกับเขาได้เยี่ยงไรเล่า ?

ท่านเศรษฐีที่อยู่เบื้องหน้าข้านี้เป็นถึงเจวี๋ยเย แต่ทว่าข้ากลับเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินธรรมดา ผู้ที่ทำสิ่งใดมิจริงจังและมิมีอิทธิพลเอาเสียเลย

ข้าต้องเปลี่ยนตนเองให้ดีขึ้น !

ข้าจะต้องทะยานให้ถึงเก้าหมื่นลี้ให้ได้ !

ในช่วงเวลานี้เฮ้อซานเตาได้สร้างจุดมุ่งหมายของชีวิตขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มองเขาด้วยสายตาชื่นชมเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นแล้วกล่าวต่อว่า

“หากไร้ลมโบกพัด พญานกบินต่ำลงมา ก็ยังทำให้เกิดคลื่นในมหาสมุทรได้

เมื่อได้ฟังความเห็นอันผิดวิสัยของข้า ผู้คนต่างก็หัวเราะต่อคำคุยโว

แม้แต่ขงจื้อยังมีความวิตกต่อผู้เยาว์…

วิญญูชนมิควรมองข้ามคนรุ่นใหม่ ! ”

เงียบกริบไร้ซึ่งสุ้มเสียงอันใดออกมา

ในฐานะเยาวชนตัวแทนของตระกูลการค้าใหญ่ทั้งห้า ความรู้ของพวกเขาย่อมยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

ทันทีที่บทกวีถูกกล่าวออกมาก็ทำให้พวกเขาเข้าใจความหมายได้ในทันที

บทกวีเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้นโดยติ้งอันป๋อใช้พญานกมาอธิบายแทนตนเอง และได้แสดงความทะเยอทะยานที่จะบินไปให้ถึงสุดขอบฟ้าอย่างเต็มภาคภูมิ

บทที่สองหมายความว่า หากมิมีสายลมโบกพัด แต่ถ้าพญานกบินลงมาก็สามารถเกิดคลื่นบนผืนน้ำได้เช่นกัน

บัดนี้เขาได้รับยศใหม่และกำลังจะเดินทางไปเป็นเต้าถายที่ว่อเฟิงเต้า บทกวีนี้จึงสะท้อนถึงความมุ่นมั่นในการพัฒนาบนเส้นทางใหม่นี้ เขาจะมิเกรงกลัวต่อความทุกข์ยาก เขาจะมุ่งมั่นผลักดันนโยบายใหม่ต่อไปอย่างไม่ลดละ !

สี่ประโยคสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงผู้คนในใต้หล้าที่มิเข้าใจเรื่องนโยบายใหม่และได้มองข้ามไป ประโยคนี้ทำให้เยาวชนเหล่านี้รู้สึกละอายใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าตระกูลของพวกตนจะส่งผู้ที่มีความสามารถไปว่อเฟิงเต้าแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงของว่อเฟิงเต้าจะเดินหน้ามากเพียงใดนั้น… ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามิมีความรู้เลยด้วยซ้ำ ก็เพียงแค่ไปตรวจสอบไว้ล่วงหน้าก็เท่านั้น

ติ้งอันป๋อปิดท้ายบทกวีด้วยการกล่าวว่าแม้ขงจื้อยังรู้จักวิตกต่อผู้เยาว์ แสดงถึงความซื่อสัตย์ ความมั่นใจในตนเอง ความหยิ่งผยองและความท้าทาย !

ดังนั้นบทกวีนี้เขากล้าประพันธ์ออกมาตอนเมาเท่านั้น

โดยบทกวีจะทำให้เยาวชนของตระกูลพ่อค้าเหล่านี้ได้กระจ่างแจ้ง

ว่อเฟิงเต้าที่อยู่ในความดูแลของติ้งอันป๋อ จะต้องดีขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้ผู้คนในใต้หล้าตื่นตะลึง !

ซือหม่าเช่อวางพู่กันลงแล้วทบทวนบทกวีอย่างตั้งใจ ติ้งอันป๋อผู้นี้ใช้บทประพันธ์เพื่อแสดงความปรารถนาและความทะเยอทะยานที่สูงส่ง จนมิมีผู้ใดในผืนปฐพีเทียบเคียงได้ !

หากกวีบทนี้ถูกถ่ายทอดออกไปทั่วทั้งใต้หล้า ย่อมถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสืออย่างแน่นอน

เขาคือประวัติศาสตร์ของผืนปฐพีนี้ !

เขาเป็นวีรบุรุษที่มิเคยปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หยูมาก่อน !

ในใจของซือหม่าเช่อชื่นชมเขาอย่างหาที่เปรียบมิได้ วีรบุรุษเช่นนี้คือบุรุษที่ข้าอยากแต่งงานด้วย !

นางค่อย ๆ หันไปแล้วทำความเคารพ

“ความใฝ่ฝันและพรสวรรค์ของคุณชาย ข้านั้น…เลื่อมใสมากยิ่งนัก ! ”

ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังสนั่น ทุกชีวิตมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

นับเป็นความโชคดีของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริงที่มีคนเยี่ยงติ้งอันป๋อ !

สวรรค์มิได้ส่งฟู่เสี่ยวกวนลงมาเกิดใหม่หรอก เพราะเขาคือเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์มานานนับหมื่นปีแล้วต่างหาก !

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ทุกท่าน ค่ำคืนนี้มิเมามายมิเลิกรา ! ”

“มิเมามาย มิเลิกรา ! ”

เสียงโห่ร้องดังออกมา หนิงหยู่ชุนรู้ดีว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอันใดอยู่ พวกเขากำลังชื่นชมและเลื่อมใสในตัวฟู่เสี่ยวกวน

ดังนั้น บทเพลงฉู่สามารถถล่มกองทัพทหาร 150,000 นายของเซวี๋ยติ้งชานได้นั้น มิใช่ข่าวลืออีกต่อไปแล้วในสายตาของเขา

หนิงหยู่ชุนเชื่อว่าเมื่อบทกวีไร้ชื่อนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มิรู้ว่าจะมีผู้คนในใต้หล้าอีกสักกี่คนที่ปรารถนาจะเดินตามรอยเท้าของเขา

เจ้านี่มัน… เป็นอัจฉริยะโดยไร้ผู้ใดเทียบเคียงอย่างแท้จริง !

ฟู่เสี่ยวกวนถือถ้วยซุปเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มจนหมดภายในคราเดียว เขาพยายามหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อเพื่อเช็ดปาก แต่ทว่ากลับหยิบโดนผ้าคาดศีรษะสีขาวออกมาแทน

ในตอนนั้นซือหม่าจือกำลังถือขวดสุราและจอกสุราเดินเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวน เขาเข้าไปดูใกล้ ๆ จากนั้นก็ตื่นตกใจเสียจนผงะ…

“นี่ นี่มัน …” เขาชี้ไปที่ผ้าคาดศีรษะผืนนั้นแล้วก็ชี้ไปทางลูกพี่ลูกน้องซือหม่าเช่อ… “เหตุใดจึงเหมือนกัน ท่านพี่หญิง…”

ซือหม่าเช่อเมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงหันกลับไปมอง ส่งผลให้ใบหน้าของนางแดงเรื่อขึ้นมาทันที นางรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความเขินอายเอาไว้

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจ เขากำลังสับสนแต่ยังมิทันได้กล่าวสิ่งใดออกมา ซือหม่าจือก็หัวเราะขึ้นมาเสียก่อน “ติ้งอันป๋อ ข้านับถือท่านยิ่งนัก ญาติผู้พี่ของข้านั้นมิใช่สตรีในตระกูลชนชั้นสูง เนื่องจากวิสัยทัศน์ของนางกว้างไกลมากยิ่งนัก แต่มิคาดคิดมาก่อนว่านางได้มอบของแทนใจให้ท่านแล้ว…”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…กล่าวได้ว่าพวกเราจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันในเร็ว ๆ นี้ มามามา โปรดให้ข้าเรียกท่านว่าพี่เขยเถิด พวกเรามาดื่มสามจอก ! ”

ทุกคนในที่นี้ตกตะลึง นี่มันเรื่องอันใดกัน ? ซือหม่าเช่อมอบของแทนใจให้ติ้งอันป๋อเยี่ยงนั้นหรือ ?

ติ้งอันป๋อก็รับไว้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ผ้าคาดศีรษะนั้น… ทุกคนในห้องหันไปมองและพบว่าเหมือนผ้าคาดศีรษะของซือหม่าเช่อทุกประการ !

“เฮ้อ… ! ” พวกเขาถอนหายใจแสดงความเสียดายออกมา แต่ก็ลอบชื่นชมซือหม่าเช่ออยู่ในใจที่นางมีสายตาที่แหลมคมมากยิ่งนัก และยังชื่นชมไปถึงสติปัญญาของหัวหน้าตระกูลซือหม่าอีกด้วย

ดูสิ ! เขาส่งสตรีที่งดงามที่สุดในตระกูลไปอยู่เคียงข้างติ้งอันป๋อโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน !

นี่จึงเรียกได้ว่าลงมือโดยไร้สุ้มเสียง แต่กลับได้รับชัยชนะแม้อยู่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ !