ผู้มาสวมอาภรณ์สีม่วง แถบผ้าสีม่วงปลิวไสวด้วยแรงลม ใบหน้างดงามได้รูป เครื่องหน้าคล้ายถูกสลักออกมาอย่างวิจิตรนับเป็นโฉมสะคราญงามล้ำนางหนึ่ง
แต่เมื่อมองใบหน้านางอย่างละเอียด เยี่ยเม่ยมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอคนผู้นี้
เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้อดใจไม่ไหวมองสตรีนางนั้น จากนั้นมองเยี่ยเม่ย บุรุษทั้งหลายมองหญิงงามอดใจเปรียบความเด่นล้ำไม่ได้ เยี่ยเม่ยงามกว่าขั้นหนึ่งจริงๆ แต่ความมั่นใจเกินเหตุของแม่นางเยี่ยเม่ย ช่าง…
เยี่ยเม่ยจ้องสตรีตรงหน้า เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าเคยพบข้า?”
ง้าวยาวในมือทหารขวางสตรีนางนั้นไว้ นางไม่อาจเข้าใกล้ ได้แต่มองเยี่ยเม่ยจากทิศไกล
สตรีนางนั้นจ้องเยี่ยเม่ยครู่หนึ่ง กระบอกตาพลันแดงเรื่อ คล้ายกับใบหน้าของเยี่ยเม่ยกระตุ้นเรื่องในอดีตที่พยายามลืมเลือนขึ้นมา แต่นางก็สงบใจลงได้ไม่ช้า ส่ายหน้า ไม่รู้ว่ากำลังบอกตัวเองหรือบอกกับเยี่ยเม่ย “ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง นาง…เพราะอะไร พวกเจ้าถึงได้คล้ายกันขนาดนี้…”
คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยเกิดความสงสัย “นาง” จากคำพูดของอีกฝ่าย
เยี่ยเม่ยมองเหล่าทหารด้านข้างที่รั้งนางไว้ ส่งสายตาไป เอ่ยเสียงเย็นชา “ให้นางเข้ามา”
“ขอรับ” ยามนี้ตราพยัคฆ์อยู่ในมือเยี่ยเม่ย เหล่าทหารต่างเชื่อฟัง เก็บง้าวยาวในมืออย่างว่องไว
สตรีนางนั้นเดินมาถึงหน้าเยี่ยเม่ย พิจารณาใบหน้าเยี่ยเม่ยในระยะใกล้ น้ำตาคลอในดวงตานั้นยิ่งชัดเจนขึ้น “เจ้าไม่ใช่นางจริงหรือ”
เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก รู้สึกเพียงอื้ออึงมึนงง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว นัยน์ตาสีเขียวจ้องเขม็งไปยังกระทำทุกอย่างของสตรีนางนั้น ไม่ให้อีกฝ่ายสบโอกาสทำร้ายเยี่ยเม่ยได้สักน้อย
ส่วนมือของจิ่วหุนนั้นจับอยู่ที่มีดสั้นแต่แรกแล้ว มองสตรีนางนั้นด้วยความระมัดระวัง
เป่ยเฉินเสียงเลิกคิ้ว เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดียวกัน
เยี่ยเม่ยชะงักไป มองสตรีตรงหน้า เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชาอีกครั้ง “นางที่เจ้าพูดคือใคร”
สตรีนางนั้นได้ยิน ไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเม่ยก็ไร้ความอดทน บทสนทนาตอบคำถามไปมาเช่นนี้ ทำให้นางเริ่มหมดความอดทน ตวัดสายตามองสตรีนางนั้น ตอบตามสัตย์จริงว่า “ข้าจำเจ้าไม่ได้ ทั้งไม่เคยพบเจ้ามาก่อน และยิ่งไม่รู้ว่าปฏิกิริยาของเจ้าในตอนนี้คืออะไร หรือเจ้าคือลูกพี่ใหญ่ วิญญาณเจ้าย้ายร่างแล้ว”
ไม่มีเหตุเลย นางกับลูกพี่ตกทะเลพร้อมกัน หากนางมาด้วยทั้งร่าง ไฉนลูกพี่จะย้ายวิญญาณมาเท่านั้น?
แต่ก็ไม่อาจตัดความน่าจะเป็นนี้ออกไป
ส่วนสตรีนางนั้นกลับมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจ กดเสียงต่ำถามว่า “ลูกพี่คือใคร”
“สหายสนิท” เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา เสริมขึ้น “ยังมีสหายร่วมตายอีกสองคน เยาเนี่ย เยาไกว่ พวกนางคือสหายสามคนที่มีค่าที่สุดของข้า”
สตรีนางนั้นฟังนางพูดเช่นนี้ ค่อยๆ สงบสติลงมา อารมณ์ตกต่ำลงเล็กน้อย “ที่แท้ก็ไม่ใช่เจ้า ขอโทษด้วย ตอนที่ข้าเห็นหน้าเจ้า หลงคิดว่าเจ้าเป็นสหายข้า เพียงแต่ข้าลืมไปแล้วว่าสหายของข้าจากไปหลายปีแล้ว”
พูดไปสายตานางก็มองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง นั่นคือสายตาสกัดกดความปวดใจ “เจ้ากับนางหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่ข้ารู้จักนาง นางยังเด็กกว่านี้ รูปโฉมของเจ้าดูโตกว่านางหลายส่วน แต่เมื่อนับจากอายุ หากนางมีชีวิตมาถึงตอนนี้ สมควรเหมือนเจ้าไม่มีผิด”
นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยเม่ยไม่อาจเข้าใจได้
นางมุ่นคิ้ว มองสตรีตรงหน้าด้วยความฉงนสงสัย น้ำเสียงเย็นชากลล่าว “นางหน้าตาเหมือนข้า? ความงดงามของข้าถึงกับมีคนก๊อปปี้ได้?”
คนทั้งหมดชะงักงัน ไม่เข้าใจว่าก๊อปปี้หมายความว่าอะไร
เยี่ยเม่ยอธิบายนิ่งๆ “อ้อ ก๊อปปี้คือทำของเลียนแบบของต้นฉบับ”
คนทั้งหมด “…”
แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้…ยามนี้นางแปลกใจไม่ใช่ว่าเพราะอะไรตนถึงหน้าเหมือนใครสักคน ทั้งไม่ใช่เพราะคำพูดที่สตรีนางนี้เอ่ยออกมาแฝงเล่ห์นัยอื่นหรือไม่ สิ่งที่นางใส่ใจกลับเป็น…
รูปลักษณ์ของนางมีคนลอกเลียนได้หรือไม่
ในใจของทุกคนมีร้องว่า…มารดามันเถอะ
มุมปากสตรีนางนั้นกระตุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่ความเจ็บปวดในดวงตาสลายไปในเวลา น้ำเสียงเฉียบคมขึ้นหลายส่วน “ข้าคิดว่าพวกเจ้าหน้าตาเหมือนกัน นี่คือพรหมลิขิต นางไม่มีทางลอกเลียนแบบ”
เห็นได้ชัดว่าสตรีกำลังตื่นตัว เพื่อปกป้องสหายที่นางเอ่ยถึง
เยี่ยเม่ยคิดไปคิดมาอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากมีใครบอกพวกลูกพี่ว่า ใบหน้าของนางลอกเลียนแบบผู้อื่นมา พวกลูกพี่ต้องกำจัดทิ้งทันทีแน่
ดังนั้นสำหรับสตรีนางนี้ นางกลับไม่โกรธ รู้สึกดีด้วยหลายส่วน กล่าวว่า “สหายที่จากไปของเจ้าผู้นั้น หากรู้ว่าเจ้าปกป้องนางถึงขั้นนี้ คงจะดีใจมาก”
“ก็น่าจะใช่” สตรีนางนั้นถอนใจ สงบลงมาก นางมองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เสียงเบาเอ่ยว่า “เจ้ากับนางไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสีหน้างดงามเย็นชา ยังมีน้ำเสียงการพูดล้วนแตกต่าง หากมิใช่เพราะใบหน้าเจ้าอยู่ต่อหน้าข้า ข้ายังสงสัยว่าข้าคิดถึงนางมากเกินไปจนทำให้เข้าใจผิด”
นางถอนใจ สุดท้ายค่อยตระหนักได้ว่าที่ตนมาที่เพราะมีเรื่องอื่น
นางมองคนทั้งหมด กำหมัดแสดงความเคารพดั่งชาวยุทธ์ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านข้าง ยังมีจิ่วหุนและเป่ยเฉินเสียงด้วย สายตาของนางไม่ปิดบังความแปลกใจไว้เลยสักน้อย แต่ก็สลายไปอย่างว่องไว
นางเอ่ยปาก “ข้าซือหม่าหรุ่ย เพราะได้ยินข่าวของพี่บุญธรรมจึงเดินทางมา ไม่ทราบว่าทุกท่านจะบอกข่าวสารเกี่ยวกับเขาให้ข้าได้หรือไม่”
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปากเป็นคนแรก “ซือหม่าหรุ่ย? เจ้าคือหมอเทวดา?”
จิ่วหุนด้านข้างได้ฟัง พลันเงยหน้าขึ้นมามองซือหม่าหรุ่ย หมอเทวดา? นางอาจเป็นคนคนเดียวที่ถอนพิษเขาได้ แต่เขาแค่มองเท่านั้น จากนั้นก็ก้มหัว ไม่ทำอะไรอีก
เขาไม่อยากให้เยี่ยเม่ยรู้ว่าเขาถูกพิษ
ซือหม่าหรุ่ยมองเขาด้วยสายตาเกรงใจ ประสานหมัดเอ่ย “ชื่อเสียงหมอเทวดาข้าไม่กล้ารับ เพียงแค่พอมีความสามารถอยู่บ้างเท่านั้น คนทั่วหล้ายกย่องเกินไปเท่านั้น”
ถ่อมตนแต่ไม่เสแสร้ง เยี่ยเม่ยถูกใจสตรีนางนี้
หรืออาจบอกว่าไม่รู้เพราะอะไร ถึงเยี่ยเม่ยจะจำนางไม่ได้เลยสักน้อย แต่ในใจกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังรู้สึกชัดเจนรุนแรงมาก
ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยตรงไปตรงมา “เจ้าถามมาเถิด หากรู้ ข้าจะให้คำตอบเจ้าอย่างไม่ปิดบังแน่”
พี่บุญธรรมของหมอเทวดา…
เยี่ยเม่ยพลันคิดขึ้นได้ ครั้งก่อนตอนที่อวี้เหว่ยแนะนำราชาดาบ เคยพูดถึงซือหม่าหรุ่ย ดังนั้น…
สายตาซือหม่าหรุ่ยปรากฏแววซาบซึ้ง รีบเอ่ยว่า “ขอบคุณที่แม่นางไม่ปิดบัง พี่บุญธรรมของข้าคือราชาดาบเซียวเซ่อหยาง เขาหายสาบสูญไปหลายปี ได้ฟังว่าไม่นานมานี้แม่นางเยี่ยเม่ยกับองค์ชายสี่อยู่ต้ามั่วได้รับข่าวของเขา ข้าตั้งใจเดินทางมาสอบถาม พี่บุญธรรมข้าถูกหวันเหยียนหงทำร้ายจริงหรือไม่”
เยี่ยเม่ยหันไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เห็นสีหน้าคล้ายไม่ใส่ใจ บ่งบอกว่าไม่คิดตอบคำถามนี้
ดังนั้นนางหันไปมองซือหม่าหรุ่ยอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยว่า “ดูจากสถานการณ์ก็คล้ายจะใช่ ยามนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชี้ว่าหวันเหยียนหงลอบทำร้ายราชาดาบเพื่อชิงคัมภีร์ยุทธ์ จากการแสดงออกของหวันเหยียนหง ท่าทางเหมือนคาดการเรื่องราวได้ต้องถูกทั้งหมด”
ซือหม่าหรุ่ยขมวดคิ้วแน่น จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “อย่างนั้นไม่ทราบว่าเขามีเผยออกมาหรือไม่ว่า พี่บุญธรรมข้าตอนนี้อยู่ที่ใด”
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “แม่นาง หากเบาะแสที่เจ้ารู้ทำให้ข้าหาตัวพี่บุญธรรมพบ ซือหม่าหรุ่ยติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง ซือหม่าหรุ่ยยินยอมติดตามอยู่ข้างกายเจ้าสิบปี ใช้ความสามารถทั้งหมด ช่วยคนเพื่อแม่นาง”