บทที่ 613 ได้รับความช่วยเหลือ

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 613 ได้รับความช่วยเหลือ
นางรู้เพียงว่า อันที่จริงเย่จิ่งหานก็ไม่ได้น่ารังเกียจ

มีคนให้พึ่งพาสักคนก็ดีมาก

ทั้งสองสนทนากันไปเรื่อยๆ

อาการป่วยของกู้ชูหน่วนหนักขึ้นเรื่อยๆ และอากาศก็ยิ่งเบาบางลงเรื่อยๆ

ความหิวโหย ความเหน็บหนาว และบาดแผลความเจ็บป่วยกลืนกินพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว และกู้ชูหน่วนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป สติของนางเริ่มเลือนราง

ข้างหูเป็นเสียงของเย่จิ่งหานที่พูดด้วยความกังวลใจ คำพูดนั้นเหมือนดั่งกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงติดต่อกัน พูดพล่ามไม่หยุด ถึงกระทั่งยังเขย่าร่างกายของนางไม่หยุดอีกด้วย

กู้ชูหน่วนอยากบอกเขาเป็นอย่างมากว่า

ให้หุบปาก อย่าเพ้อเจ้ออีก และอย่าเขย่าร่างกายของนางอีก ร่างกายของนางแทบจะแหลกแล้ว

แต่แค่คำเดียวนางก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ แม้แต่แรงจะกะพริบตาเตือนก็ไม่มี

ในความเลือนราง ราวกับกู้ชูหน่วนจะได้ยินว่าเผ่าหยกและมุกมังกร

พริบตานั้นสมองของนางถึงได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ลืมตาขึ้น มองดูเย่จิ่งหานที่ดวงตาแดงก่ำตื่นตระหนกกังวลใจด้วยความงงงัน

“กู้ชูหน่วน เจ้าฟื้นสิ เจ้าจะตายเช่นนี้ไม่ได้ หากว่าเจ้าตาย มุกมังกรจะทำอย่างไร เผ่าหยกจะทำอย่างไร เจ้าไม่ได้บอกว่าจะเอามุกมังกรมอบให้เผ่าหยกหรือ? เจ้าไม่ได้บอกว่าต้องการช่วยพวกเขาแก้คำสาปโลหิตหรือ? หากว่าเจ้าตายแล้ว มุกมังกรเม็ดที่หกก็จะสูญหายไปพร้อมเจ้าอย่างสมบูรณ์ ถึงเวลานั้นประชาชนนับหมื่นนับพันของเผ่าหยกก็จะต้องรับความทรมานของคำสาปโลหิตไปชั่วชีวิต และข้าก็จะต้องทนทุกข์ทรมานกับคำสาปโลหิตด้วยเช่นกัน”

ถูกต้อง……

นางจะตายไม่ได้

นางตายแล้วจะส่งมุกมังกรออกไปได้อย่างไร?

เผ่าหยกจะทำยังไง?

คำสาปโลหิตจะทำอย่างไร?

นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

นางจะล้มตรงนี้ไม่ได้

แต่นางผลักถ้ำน้ำแข็งออกไปไม่ได้……

นางควรจะทำอย่างไร?

กู้ชูหน่วนเอามุกมังกรออกมาจากหน้าอกอย่างสั่นเทา กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ท่าน……ท่านช่วยข้าเอา……เอามุกมังกรไปมอบ…..มอบให้เผ่าหยก……”

เย่จิ่งหานไม่ได้มองมุกมังกรแม้แต่แวบเดียว เพียงแค่กอดกู้ชูหน่วนแน่นๆ “ข้าจะไม่ช่วยเจ้าส่งมอบมุกมังกร อยากจะมอบเจ้าก็มอบเอง ไม่เช่นนั้นก็ให้ประชาชนนับหมื่นพันของเผ่าหยกทนรับกับความทุกข์ทรมานของคำสาปโลหิตไปตลอดชาติตลอดชั่วชีวิตละกัน”

แม่งเอ๊ย……

ผู้ชายคนนี้……

เสียดายที่เมื่อครู่นางยังคิดว่าเขาเป็นคนดี

หากว่านางสามารถฝืนทนได้ นางก็อยากฝืนทนไว้

แต่นางถึงขีดจำกัดแล้ว

“อาหน่วน เจ้าจะตายไม่ได้ เจ้าตายข้าจะทำอย่างไร ต่อให้เจ้าไม่นึกถึงเผ่าหยก ก็ควรคิดถึงข้า ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า”

กู้ชูหน่วนถูกเขากอดในอ้อมอก สัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจของเขาอย่างชัดเจน

หัวใจของเขาเต้นเร็วมาก ตื่นตระหนกมาก และร่างกายก็สั่นเทาไปด้วย ราวกับว่ากำลังหวาดกลัวอะไรอยู่

ความกลัวชนิดนี้ มาจากก้นบึ้งของหัวใจ ออกมาจากไขกระดูก ออกมาจากจิตวิญญาณ……

กู้ชูหน่วนน้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

นางกัดริมฝีปากจนแตก บังคับให้ตัวเองได้สติ

นางจะหลับไม่ได้

ทันทีที่นอนแล้ว ก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

“ข้ารับปากท่าน ข้าจะทนอีกหน่อย ทนจนกระทั่งมีคนมีช่วย”

“ดี ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

ผ่านไปอีกหลายชั่วยาม ด้านบนก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

ตอนนี้เย่จิ่งหานนั่งไม่ติดอีกต่อไป เขาคิดจะทำลายขีดจำกัด ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน ดูซิว่าจะสามารถฝ่าภูเขาหิมะไปได้หรือไม่

ทันใดนั้น ได้ยินเพียงเสียงปังปังปังปังดังขึ้น

ภูเขาหิมะถูกเปิดออกทีละชั้นๆ

เย่จิ่งหานดีใจมากในทันที กอดกู้ชูหน่วนที่กำลังสะลึมสะลือไว้ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “อาหน่วน เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว”

เย่จิ่งหานตะโกนเสียงดัง เตือนคนด้านบนว่าพวกเขาอยู่ในนี้

“ปังปังปังปัง……”

“กึก……”

เป็นเสียงดังสนั่นอีกหลายเสียง

เห็นเพียงหัวใหญ่ๆเก้าหัวปรากฏขึ้นเหนือถ้ำหิมะ

ดวงตาบนหัวมองดูพวกเขาอย่างเลือนราง

อากาศบริสุทธิ์บางๆไหลเข้ามา สติสัมปชัญญะของกู้ชูหน่วนฟื้นคืนมาเล็กน้อย

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์……

เป็นหัวของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์

ในที่สุดเจ้างูน้องจอมตะกละก็มาช่วยพวกเขาแล้ว

เย่จิ่งหานกล่าวด้วยความปีติ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เร็ว เคลื่อนภูเขาหิมะออก พาอาหน่วนขึ้นไป”

ด้านบนเป็นเสียงของชิงเฟิงและเจี่ยงเสวีย “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าหาพบหรือไม่ นายท่านของข้าอยู่ในนั้นหรือไม่”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เห็นใบหน้าของกู้ชูหน่วนเต็มไปด้วยความสุข

มันส่ายหัวอันใหญ่โต เจาะทะลวงไปพลาง และไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร ทำให้ภูเขาหิมะทั้งลูกเปิดออกอย่างฉับพลันแล้ว