ตอนที่ 468 หดหู่ใจ

วาสนาบันดาลรัก

หลัวเทียนเฉิงชะงักไปด้วยความตกใจ 

 

 

ขับออกจากตระกูล? 

 

 

นี่คล้ายกงกรรมกงเกวียน ชาติที่แล้ว คนที่โดนขับออกจากตระกูลก็คือเขา! 

 

 

เมื่อเห็นคุณชายรองหลัวสติกำลังฟุ้งซ่าน พลันทำให้นึกถึงเมื่อชาติก่อนตอนที่เขาหยิ่งผยองหลังได้ครองตำแหน่งซื่อจื่อ ภาพนี้ทำให้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสะใจขึ้นมา 

 

 

ในที่สุดฟ้าดินก็เป็นธรรม บันดาลผลกรรมให้กับเขาแล้ว! 

 

 

แต่ต่อหน้าเขายังคงพยายามเอ่ยห้าม “ท่านย่า น้องรอง เขา…” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขัดจังหวะทันที “เจ้าไม่ต้องห้าม เจ้ารอง…” 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้จึงจ้องไปที่คุณชายรองหลัว แล้วเอ่ยโดยเน้นย้ำทีละคำว่า “ไร้หนทางเยียวยาแล้ว!” 

 

 

คำสี่คำนี้แม้ว่าจะสั้น แต่ทุกคำกลับทิ่มแทงบาดลึกเข้าไปในอกของคุณชายรองหลัว 

 

 

คุณชายรองหลัวทรุดลงกับพื้น สายตาของเขาว่างเปล่า 

 

 

แม่นมหยางนำตัวหญิงรับใช้ เยียนเหนียงและลี่ว์เจวียนออกไปแล้ว จากนั้นจึงให้คนมานำตัวของคุณชายรองหลัวออกไปอีก 

 

 

เขาสะบัดมือของบ่าวรับใช้ทิ้งแล้วลุกขึ้นยืน สายตาของเขาจ้องตรงไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างแหบแห้งว่า “ข้าไม่ผิด ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าไม่ผิด!” 

 

 

เขาชี้ไปที่คุณชายใหญ่หลัว “เจ้าต่างหากที่ไร้หนทางเยียวยา พวกเจ้าทั้งหมดต่างหากที่ไร้หนทางรักษา!” 

 

 

เมื่อเอ่ยจบจึงมองไปที่เจินเมี่ยว จากนั้นจึงยิ้มอย่างไร้สติ “ข้าควรจัดการเจ้าแต่แรก หากทำเช่นนั้นข้าคงมีคนซวยเป็นเพื่อนข้าแล้ว! ฮ่าๆๆ” 

 

 

ท่าทางเสียสติของคุณชายรองหลัวทำให้ทุกตกใจ จากนั้นเขาจึงหมุนตัววิ่งออกไป 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่หลัวเทียนเฉิงด้วยใบหน้าซีดเผือด “เจ้ารอง เจ้ารองเขา…” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเม้มปากเน้น “ท่านย่า น้องรองคล้ายเสียสติไปแล้ว หลานจะตามไปดูเขา!” 

 

 

เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตามออกไปเช่นกัน นางออกไปด้วยความรวดเร็วราวสายลม ทิ้งเจินเมี่ยวเอาไว้ข้างหลัง 

 

 

คนทั้งสามวิ่งตามไปจนถึงห้องพักชั่วคราวของนายท่านรองหลัว 

 

 

คุณชายรองหลัวยืนอยู่ข้างๆ เตียงของนายท่านรองหลัว จากนั้นจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งใส่นายท่านรองหลัวที่ไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้ 

 

 

“เจ้าใหญ่ ไปจับตัวเจ้ารองออกมา!” เมื่อตระหนักได้ว่าคุณชายรองหลัวทำร้ายนายท่านรองหลัว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตวาดสั่ง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้าวออกไป แต่พลันต้องหยุดเพราะคำพูดของคุณชายรองหลัว 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดจึงขยับตัวไม่ได้ ใครทำร้ายท่าน ลูกจะไปแก้แค้นให้ท่าน!” 

 

 

คุณชายรองหลัวตัวสั่นขึ้นมาโดยพลัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว “ต้องโทษท่าน ทุกอย่างต้องโทษที่ตัวท่าน ท่านอยู่ดีๆ ทำไมต้องไปหาเยียนเหนียงที่นั่นด้วย” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนลืมเอ่ยเตือนหลัวเทียนเฉิง นางเพียงฟังคุณชายรองหลัวพูดคำพูดที่น่าขนลุกขนพองกับตัวเองเช่นนั้น 

 

 

“เยียนเหนียงเป็นของข้า นางเป็นของข้าตั้งนานแล้ว คนที่นางชอบไม่ใช่ท่านแต่แรกแล้ว แม้แต่เจ้าแปดก็เป็นลูกของข้า ทำไมท่านถึงไปที่นั้น ท่านมีสิทธิ์อะไร!” 

 

 

นายท่านรองหลัวเป็นอัมพฤกษ์จึงไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้ แต่เขารับรู้ทุกอย่างแจ่มชัด เมื่อได้ยินคุณชายรองหลัวเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง เขาพยายามที่จะยกมือขึ้นแต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ เขาทำได้เพียงโกรธจนสีหน้าบิดเบี้ยว แล้วส่งเสียงที่ไม่เป็นภาษาออกมา พร้อมน้ำลายไหลออกมาจากมุมปาก 

 

 

“เจ้ารอง เจ้าพูดอะไร!” ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าร่างกายหนาวสะท้านราวกับอยู่ในเดือนสิบสองแล้วโดนน้ำเย็นราดตั้งแต่หัวจรดเท้า หนาวเหน็บเสียจนหัวใจของนางกลายเป็นน้ำแข็ง 

 

 

ร่างกายของนางสั่นไหว ราวกับรับความจริงที่ซัดกระหน่ำเข้าใส่ตนไม่ได้ เจินเมี่ยวที่มือเย็นเฉียบเช่นกันเข้ามาพยุงฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ 

 

 

คำถามของฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายกระตุ้นสติที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้างของคุณชายรองหลัวกลับมา เขาจึงหันขวับกลับมาแล้วยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ข้าบอกว่า เยียนเหนียงคือของข้า เจ้าแปดก็เป็นของข้าเช่นกัน เจ้าแปดคือของข้ากับเยียนเหนียง พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ฮ่าๆๆๆ เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ท่านรองไปถามเยียนเหนียงดูสิ!” 

 

 

เขาหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งแล้ววิ่งออกไป 

 

 

“เจ้าใหญ่ ไปจับตัวเขาเอาไว้” 

 

 

คราวนี้หลัวเทียนเฉิงไม่ลังเลอีก เขาวิ่งเข้าใส่คุณชายรองหลัวแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้ 

 

 

คุณชายรองหลัวเสียสติไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้ใดที่เคยสัมผัสกับคนเสียสติมาย่อมรู้ดีว่า คนเสียสติจะมีเรี่ยวแรงที่มากกว่าคนปกติ 

 

 

เขาดิ้นรนแล้วร้องครวญคราง แม้แต่หลัวเทียนเฉิงเองยังต้องออกแรงกับเขาไปมาก จึงตัดสินใจทุบให้เขาหมดสติไป 

 

 

“ท่านย่า” หลัวเทียนเฉิงนำตัวคุณชายรองหลัวที่หมดสติกลับมา 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าซีดเผือด “เจ้ารองเสียสติไปแล้ว หากขับออกจากตระกูลคงเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล เกรงว่าจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะสำหรับคนอื่นไป เจ้าใหญ่ เจ้าให้คนไปหาเรือนที่อยู่ห่างไกลผู้คนแล้วให้เจ้ารองไปอยู่ที่นั่น เอาคนไปเฝ้าที่นั่นมากหน่อย และแม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ห้ามบินเข้าไป!” 

 

 

“ขอรับ หลานเข้าใจแล้ว” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงลากตัวคุณชายรองหลัวออกไปแล้วมองไปที่เจินเมี่ยว 

 

 

เจินเมี่ยวหลบตา จากนั้นจึงก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจะประคองท่านย่ากลับเรือนอี๋อาน” 

 

 

“ดี” หลัวเทียนเฉิงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร เขาเพียงพยักหน้าแล้วพาคุณชายรองหลัวออกไป 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายืนอยู่ในห้องที่เงียบสงัดวังเวงนั้นแล้วถอนใจยาว 

 

 

“ท่านย่า ข้าขอพยุงท่านกลับไปนะเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ควรกลับแล้วล่ะ อากาศที่นี่ไม่ดี ทำให้ข้าแทบหายใจไม่ออก” 

 

 

นางหันหน้ากลับไปแล้วมองไปที่นายท่านรองหลัว จากนั้นถึงจะเดินออกไป 

 

 

ปากของนายท่านรองหลัวยังคงพะงาบๆ แต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาได้ ความโกรธเข้าโจมตีหัวใจของเขาจนตาเหลือกแล้วหมดสติไป 

 

 

เมื่อเดินไปถึงลานด้านนอก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงพ่นลมหายใจออกมาแล้วคิดในใจว่า โชคดีที่ไล่บ่าวรับใช้พวกนั้นออกไปหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคนสนิทเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วเรื่องน่าขันนี้จะต้องทำลายชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างแน่นอน 

 

 

“ท่านย่า?” เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหยุดเดินโดยกะทันหัน เจินเมี่ยวจึงส่งเสียงเรียก 

 

 

จิตใจของนางไม่สงบเช่นกัน นางปรารถนาจะหนีออกไปจากสถานที่อันวุ่นวายแห่งนี้และไม่อยากกลับไปพบหน้าหลัวเทียนเฉิงสักพัก นางจึงตามฮูหยินผู้เฒ่าไปเรื่อยๆ 

 

 

“ไปกันเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเรียบๆ 

 

 

เมื่อกลับไปถึงเรือนอี๋อาน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “หลานสะใภ้ เจ้ากลับไปเถิด” 

 

 

เจินเมี่ยวส่ายศีรษะ “ซื่อจื่อน่าจะยังคงยุ่งอยู่กับเรื่องของคุณชายรอง ท่านย่าให้ข้าอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าจะได้เตรียมอาหารให้ท่าน” 

 

 

เมื่อเอ่ยจบนางก็เดินเข้าครัวไปโดยไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอะไร 

 

 

ไม่นานนัก แม่นมหยางก็กลับมา 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“หญิงรับใช้ที่เข้าเวรพวกนั้นถูกเรียกไปตักเตือนแล้ว พวกนางเป็นคนเก่าแก่ ครอบครัวของพวกนางก็อยู่ในความดูแลของเจ้านายทั้งหมด พวกนางจึงรู้อะไรควรอะไรไม่ควร พวกนางจะต้องไม่ปากสว่างอย่างแน่นอน สำหรับหญิงรับใช้นางหนึ่งที่ปากมากก็ได้ให้ยาที่ทำให้เป็นใบ้ไปแล้วเพื่อเป็นการเคาะภูเขาขู่เสือ[1]” 

 

 

“เยียนอี๋เหนียงกับลี่ว์เจวียนเล่า” เมื่อเอ่ยชื่อของเยียนอี๋เหนียงออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าพลันขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ 

 

 

“ขังทั้งหมดไว้ในเรือนแห่งนั้นแล้วและให้คนเฝ้าเอาไว้ อีกไม่กี่วันให้หลังจะได้อ้างว่านายบ่าวทั้งสองติดโรคติดต่อจนเสียชีวิตไป” 

 

 

สำหรับเยียนเหนียงที่เป็นต้นเหตุให้พ่อลูกต้องทะเลาะกันนั้น เมื่อได้ยินวิธีการจัดการนางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแม่นมหยางหรือฮูหยินผู้เฒ่าต่างรู้สึกว่าสมเหตุสมผล 

 

 

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เจินเมี่ยวจึงกลับเข้ามาแล้วจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ “ท่านย่าไม่ได้ทานอะไรมาตลอดเช้า ทานนี่สักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

“ช่างเถิด ข้าไม่อยากกิน” 

 

 

“ท่านย่า นี่คือข้าวต้มดอกบัวช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ ทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

ระหว่างที่เกลี้ยกล่อมอยู่นั้น เจิ้นกั๋วกงก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “หอมจัง!” 

 

 

เมื่อเหลือบไปเห็นข้าวต้มดอกบัว ก็หยิบขึ้นมากินทันที 

 

 

“ร้อนยิ่ง!” เจิ้นกั๋วกงปล่อยออกจากมือ ชามข้าวต้มจึงหลุดจากมือแล้วตกแตกเป็นเสี่ยงๆ บนพื้น 

 

 

เขาเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยอย่างน่าสงสาร พลางเอามือชี้ไปที่ปากของตัวเอง “ร้อนจัง!” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าแม้คุ้นชินกับเจิ้นกั๋วกงที่สติเลอะเลือน แต่กลับร้องไห้ออกมาในตอนนั้น 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

 

 

 

[1] เคาะภูเขาขู่เสือ หมายถึงการลงโทษคนหนึ่งๆ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่น