บทที่ 614 คุ้นตา
ไฮด์เลอร์เป็นเมืองที่แสนทึบทึม หมองหม่น และมีแต่สีเทา ดูราบเรียบและถูกแช่แข็งเหมือนกับโลกแห่งวิญญาณ

ที่หน้าประตูมิติ ดักลาส เฟอร์นันโด วิเซนเต เคลาส์ และเอริก้าต่างมาถึงแล้ว พวกเขากำลังรอลูเซียนอยู่

“เจ้านำเกราะแห่งสัจธรรมมาด้วยหรือ” ขณะจ้องมองลูเซียนที่ในที่สุดก็มาถึง เคลาส์ก็ตั้งข้อสังเกตด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เมื่อรวมกับมงกุฎหนามที่เจ้ายืมไป เจ้าก็มีอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานติดตัวถึงห้าชิ้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย แม้แต่ข้า นักเวทผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุ ก็ยังเทียบเจ้าไม่ได้ ขนาดท่านประธานยังมีเพียงสี่ชิ้นเท่านั้นเอง”

“อุปกรณ์ของท่านประธานหากไม่ใช่ชั้นตำนานระดับสูงสุดก็เป็นชั้นตำนานระดับสาม ไม่ควรนำมาเทียบกับของข้าเลยขอรับ” ลูเซียนกล่าว ‘อย่างถ่อมตน’

เหตุผลส่วนหนึ่งที่อุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานมีจำนวนน้อยมากก็คือ วัตถุดิบหลักที่จำเป็นต้องใช้นั้นเป็นสิ่งล้ำค่าหายากเกินไป และส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะผู้สร้างจะต้องมีทักษะในระดับสูงมาก นอกเหนือจากนักเวทชั้นตำนานและพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญแล้ว แวมไพร์กับมังกรแห่งบรรพกาลก็สร้างอุปกรณ์ได้โดยใช้ทักษะประจำเผ่าพันธุ์เท่านั้น ซึ่งมีอัตราความล้มเหลวสูงมาก ส่วนอัศวินชั้นตำนานนั้นต้องมีคนอื่นให้การช่วยเหลือ ดังนั้น อุปกรณ์ที่มีความคล้ายคลึงกันเพียงไม่กี่ชิ้นจึงถูกส่งต่อกันมานับแต่สมัยอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ ถึงแม้ว่าจำนวนอุปกรณ์ชั้นตำนานจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงก่อนอาณาจักรล่มสลายแล้วก็ตาม

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแฮททาเวย์ ผู้เชี่ยวชาญการใช้ ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ และ ‘เวทแยกธาตุ’ ถึงได้น่าหวาดหวั่นนัก ก็เพราะนางสามารถทำลายของสะสมทั้งชีวิตของคนผู้หนึ่งได้อย่างง่ายดายอย่างไรเล่า

วิเซนเตเอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้งสอง “ในเมื่อเรามากันครบแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดินทางแล้วล่ะ”

“ใช่ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” ดักลาสกล่าวยิ้มๆ เขามีท่าทีเคร่งขรึมแต่หาได้หวั่นวิตกไม่

หลังจากได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณ สภาเวทมนตร์ก็แก้ไขปัญหาเรื่องที่มองไม่เห็นช่องว่างได้แล้ว ณ ตอนนี้ ด้วยวงแหวนเวทชนิดพิเศษที่รายล้อมอยู่ ทุกคนจึงมองเห็นช่องว่างบิดเบี้ยวได้อย่างชัดเจน มันแผ่กลิ่นไอแห่งความตายและความหมองหม่นอันเข้มข้นออกมา

เมื่อเดินผ่านช่องว่างและม่านแห่งเงา ลูเซียนก็เข้ามาในโลกแห่งวิญญาณแล้ว รอบกายเขาคือภาพมายสะท้อนของเมืองไฮด์เลอร์อันแสนไร้ระเบียบ ที่ที่หอคอยเวทมนตร์สูงชันเอนเข้าหากันราวกับของเล่นเด็ก ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยสีเทาทึมแปลกประหลาด

พวกเขามองไม่เห็นสีสันอื่นใดอีกในโลกนี้ นอกเหนือจากสีสันที่มาจากกลุ่มของพวกตน

‘ผ่านมากว่าสิบปีแล้วหลังจากที่ข้ามาเยือนโลกแห่งวิญญาณเป็นครั้งแรก ได้รับเครื่องรางมงกุฎแห่งสุริยัน และล่วงรู้ว่าท่านมาสเกลีนติดอยู่ในที่แห่งนี้ ในที่สุดข้าก็ได้เริ่มต้นภารกิจออกสำรวจโลกแห่งวิญญาณเสียที’ ลูเซียนบังเกิดความรู้สึกหลากหลายซับซ้อน ในตอนนั้นเขาเพิ่งจะกลายเป็นนักเวทอย่างเป็นทางการ

เพราะเวทเคลื่อนย้ายถูกกดทับให้ใช้การไม่ได้ภายในโลกแห่งวิญญาณ พวกเขาจึงกระโดดข้ามอวกาศผ่านฐานที่มั่นทั้งเจ็ดที่ล่วงหน้าเข้ามาก่อน และมาถึงแนวพรมแดนในที่สุด ซึ่งพวกเขามองเห็นเบิร์กเนอร์ หรือศาสดาพยากรณ์ รออยู่ที่นั่น

เขายังคงสวมหมวกสีเทาทรงแหลม และคิ้วสีขาวของเขาก็ดูจะยาวขึ้นมากในเวลานี้

“คำพยากรณ์บอกข้าว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้น แต่ยังมีภัยอันตรายอื่นๆ อีกในอารามแห่งวิญญาณ เจ้าจงรอบคอบให้ดี จำไว้ว่า หากเจ้าเผชิญหน้ากับภัยใหญ่หลวง จงอย่าเร่งร้อนถอยร่น แล้วเจ้าจักมองเห็นความหวังได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเดินหน้าต่อไปเท่านั้น” เบิร์กเนอร์เอ่ยผลการทำนายที่เขาเตรียมการมากว่าสองเดือน

เฟอร์นันโดถามด้วยความมึนงง “เดินหน้าหรือ แต่จุดหมายของเราคือเตาหลอมวิญญาณเท่านั้นนะ เราจะกลับมาหลังจากสำรวจขั้นต้นเสร็จสิ้น ข้าไม่คิดว่าผีดิบชั้นตำนานพวกนั้นจะเป็นภัยต่อเราได้จริงๆ”

จากความทรงจำของอะดอลและบันทึกของไวเค็น บริเวณนั้นมีปีศาจชั้นตำนานระดับสามอยู่เพียงสี่ตนเท่านั้น อันได้แก่ ราชันเทพอสูร-ลิช ผู้รับใช้แห่งความตาย มัมมี่บรรพชน และเจ้าแห่งภูต เพียงดักลาสผู้เดียวก็สามารถสะกดข่มสามในสี่ตนนั้นแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าแห่งผีดิบและ ‘เศรษฐี’ ลูเซียนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย มันคงไม่ใช่ปัญหาแม้ว่าพวกเขาจะถูกปีศาจชั้นตำนานไร้สติปัญญาทั้งสี่สิบตนเข้าโอบล้อม

“อะดอลเป็นเพียงปีศาจระดับสูง มันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาณาบริเวณรอบนอกอารามแห่งวิญญาณ อีกอย่าง ห้องหับ อาคารบ้านเรือน และระเบียงทางเดินภายในอารามแห่งวิญญาณก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันเป็นเหมือนเขาวงกตมีชีวิต จึงอาจจะมีห้องที่แฝงสิ่งอันตรายเอาไว้และเส้นทางที่มันไม่รู้จักก็เป็นได้” วิเซนเตเอ่ยอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่วิเซนเตรายงานความทรงจำทั้งหมดของอะดอลกับบันทึกของไวเค็น ลูเซียนก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าเพราะเหตุใดแบบแผนการแสดงพิกัดของมาสเกลีนจึงมีการเปลี่ยนแปลง นั่นก็เพราะว่าอาคารต่างๆ ภายในอารามแห่งวิญญาณจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองๆ แม้แต่ปีศาจระดับสูงอย่างอะดอลยังล่วงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เพียงรอบนอกเท่านั้น ยามที่มันไปเยือนเตาหลอมวิญญาณ จะต้องมีปีศาจชั้นตำนานคอยนำทาง

เบิร์กเนอร์กล่าวด้วยท่าทีเคร่งเครียด “ข้าไม่รู้ว่าภัยร้ายที่ว่านี้จะเกิดจากอะไร บางทีเจ้าอาจไม่พบเจอมันเลยก็ได้ แต่เจ้าจำต้องระมัดระวังตัวเอาไว้”

ดักลาสพยักหน้าแล้วหันมาพูดกับกลุ่มของตน “การสำรวจในครั้งนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการลอบเข้าไปให้ถึงเตาหลอมวิญญาณโดยไม่ส่งเสียงดังนัก เหมือนที่ท่านมาสเกลีนเคยทำ แล้วตรวจสอบดูว่าศาสนจักรร่วมมือกับโลกแห่งวิญญาณอยู่หรือไม่ ส่วนที่สองคือกลับออกมาบริเวณรอบนอกแล้วจัดการกวาดล้างปีศาจไร้สติปัญญาให้สิ้น”

พวกเขาได้หารือเรื่องแผนการสำรวจมาก่อนหน้านี้แล้ว เหตุผลที่พวกเขาไม่กวาดล้างศัตรูก่อนเข้าไปสำรวจตรวจตราก็คือ เสียงการต่อสู้อาจทำให้ปีศาจชั้นตำนานไร้สติปัญญาหวาดกลัว แล้วอาจเปิดปราการป้องกันภายในอารามแห่งวิญญาณหรือขอความช่วยเหลือจากกองกำลังอื่นๆ หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาคงไม่สามารถทำภารกิจให้เสร็จสิ้นได้

หลังจากยืนยันแผนการ นักเวทชั้นตำนานทั้งหกก็เดินทางออกจากฐานที่มั่น และลอบบินเข้าไปยังสถานที่ชั้นใน

ราวหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ในที่สุดลูเซียนก็มองเห็นเขตแดนแห่งความมืดที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มันคือปราสาทแสนวิจิตรที่ตั้งรวมกลุ่มกัน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าอัลลินหลายเท่าอย่างที่ไม่อาจพรรณนาได้ ความสูงของปราสาทเหล่านั้นไม่อาจกะเกณฑ์ได้ด้วยสายตา เพราะปลายยอดพุ่งหายลับไปในท้องนภาสีเทา

การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังชั้นตำนานอาจทำลายเมืองทั่วๆ ไปได้ทั้งเมือง แต่สำหรับปราสาทที่ตั้งรวมกลุ่มกันนี้ มันอาจทำให้ปราสาทสักหลังหรือสวนสักแห่งพังทลายเท่านั้น

“ยิ่งเราเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ วัสดุที่ใช้สร้างปราสาทก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น บางที ห้องที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดอาจสร้างขึ้นจาก ‘กำแพงลมหายใจโหยหวน’ ก็เป็นได้” เจ้าแห่งผีดิบกลายเป็นคนช่างพูดจนดูผิดปกติ แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นในการสำรวจเตาหลอมวิญญาณ

‘กำแพงลมหายใจโหยหวน’ คือหนึ่งในเวทป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักศาสตร์มืด ไม่ว่าการโจมตีรูปแบบใดก็ไม่อาจพังมันลงได้ เว้นก็แต่แสงอาทิตย์โดยธรรมชาติ เขาเพียงใช้มันเป็นสิ่งเปรียบเปรยเท่านั้น

ลูเซียนไม่ได้ให้ความสนใจกับเวทบทนี้นัก เพราะ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ คือเวทที่ทำลายมันได้

ภายในป่ารกชัฏด้านนอกอารามแห่งวิญญาณ ซากศพของมนุษย์ เอลฟ์ มังกร และสฟิงซ์นั้นมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ผิวหนังของพวกมันเน่าเปื่อยผุกร่อน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อและเส้นประสาทสีขาว หนอนแมลงหน้าตาประหลาดดิ้นผลุบโผล่ไม่หยุดยั้ง

ซากศพเหล่านั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้าไร้จุดหมาย และเมื่อไม่มีเสียงหรือสีสันใดๆ มันจึงดูเหมือนกับภาพยนตร์เงียบสีขาวดำ

“พวกมันทุกตัวอยู่ในสภาพที่ดียิ่ง” ขณะที่พวกเขาลดระดับลงต่ำ เจ้าแห่งผีดิบก็สังเกตดูซากศพด้วยความตื่นเต้นดีใจ ราวกับเด็กที่เห็นของเล่นชิ้นโปรด

เอริก้าร่ายเวทมายาออกมาชุดหนึ่ง เมื่อทำเช่นนี้ ผีดิบทุกตัวจะรู้สึกว่าลูเซียนและทุกๆ คนคือปีศาจ

หลังจากเข้าใกล้อารามแห่งวิญญาณ ทั้งหกก็ลงไปเดินปะปนกับเหล่าผีดิบที่ส่งกลิ่นเหม็นโฉ่

ในบริเวณนี้ ผีดิบที่เดินเอื่อยเฉื่อยไปมามีหัวหน้ากลุ่มที่มีพลังระดับสูงอยู่หลายตน บ้างก็มีสติปัญญา บ้างก็ปฏิบัติตัวไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

ทันใดนั้น เซอร์เบอรัสตัวหนึ่งก็หันมามองทางพวกเขา ราวกับว่ามันได้กลิ่นไอแห่งชีวิตอันน่ารังเกียจ

มันอ้าปากและกำลังจะคำรามอย่างไร้ซุ่มเสียง

ในตอนนั้นเอง วิเซนเตก็หันไปถลึงตาใส่ ดวงไฟสีแดงสดในดวงตาเขาไหววูบ จากนั้น เซอร์เบอรัสก็พลันหมอบลงและส่ายหางที่สร้างจากกระดูกขาวโพลนไปมา ท่าทางดูหวาดเกรงอย่างเห็นได้ชัด

ผีดิบตนอื่นที่อยู่รอบๆ เซอร์เบอรัสพากันหยุดเคลื่อนไหวตามไปด้วย และต่างทำท่าทางแปลกประหลาด ราวกับว่าพวกมันกำลังต้อนรับการกลับมาของเจ้านาย

‘ช่างสมกับที่เป็น “เจ้าแห่งผีดิบ” จริงๆ’ ในที่สุดลูเซียนก็เข้าใจถึงความหมายของชั้นตำนานได้อย่างแท้จริง

ต้องขอบคุณปราการล่องหนและเวทมายาที่ปกคลุมอยู่ ไม่นานพวกเขาจึงมองเห็นกำแพงไร้สิ้นสุดที่เปล่งประกายท่ามกลางความหนาวเหน็บ

“เดินไปทางซ้ายมือหกกิโลเมตรจากทางเข้า” ดักลาสคำนวณตามความทรงจำของอะดอล ปราสาทที่ตั้งรวมกลุ่มกันอยู่นี้ดูจะต้านทานเวทสอดแนมทั้งหลายได้ดียิ่ง

ด้วยเหตุนี้ ทั้งหกคนจึงเบนทิศทางและเดินเลียบกำแพงเมืองไป พวกเขาพบเจอกับมัมมี่ฝูงหนึ่งในระหว่างทาง บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นสฟิงซ์ ผ้าสีเทาที่พันรอบกายพวกมันมีคราบเปื้อนที่ส่งกลิ่นเหม็นฉุนออกมา

ทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะเวทมายา เหล่ามัมมี่จึงไม่รู้สึกอะไรและเดินเอื่อยเฉื่อยต่อไปอย่างโง่งม

ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะสวนทางกันนั้น จู่ๆ สฟิงซ์ตนหนึ่งในฝูงมัมมี่ก็หยุดชะงักงัน ดวงตาของมันเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างแปลกประหลาดและเย็นเยียบขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วร่างกายมันก็พลันขยายใหญ่ขึ้นเกือบสามเท่าตัวของสหายมันเอง มงกุฎทองคำที่ฝังหินสุริยันต์กับหินแสงจันทร์อยู่เต็มก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะพร้อมๆ กันนั้น ส่งผลให้มันดูน่าคร้ามเกรง

“มัมมี่บรรพชนหรือ”

มัมมี่บรรพชนมีอยู่จำนวนมาก แต่จะมีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่มีสติปัญญา แม้จะเห็นได้ชัดว่าสฟิงซ์ตัวนี้หาได้เป็นเช่นนั้น เพราะไม่นานจากนั้นดวงตาแดงก่ำของมันก็ฉายแววอำมหิตและกระหายเลือด ทว่า อย่างไรเสียมันก็ยังคงเป็นสัตว์อสูรชั้นตำนาน!

มัมมี่ตนนั้นอ้าปากกว้างและกำลังจะส่งสัญญาณเตือนภัย

แต่ทันใดนั้น เสียงทุ้มแผ่วก็ดังขึ้น “เวทหยุดเวลาขั้นสูง”

ภาพเบื้องหน้าลูเซียนมีเพียงสีเทาหมองหม่น ราวกับว่าโลกทั้งใบถูกแช่แข็ง เมื่อเวลากลับมาเดินตามปกติ เขาก็มองเห็นลำแสงหลายสายตกกระทบบนตัวมัมมี่แห่งบรรพกาล ก่อนที่มันจะถูกดาวตกที่เปล่งแสงเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่เต็มๆ

ซู่มมมม สฟิงซ์พลันแหลกสลายเป็นชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วน ตัวด้วงสีดำมากมายคลานออกจากร่างแหลกเหลวนั้น

‘นี่คือความสามารถของผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดอย่างนั้นหรือ สัตว์อสูรผีดิบชั้นตำนานถูกกำจัดไปในพริบตาเดียวเท่านั้น ถึงมันจะแค่ระดับหนึ่งก็เถอะ’ ลูเซียนครุ่นคิดด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามัมมี่ตัวนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน ‘หืม ข้าเคยเห็นมันจากที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ’

“ไปต่อกันเถอะ” ดักลาสกล่าวด้วยท่าทางนิ่งสงบ

ลูเซียนกำลังจะก้าวเท้าเดิน แต่ฉับพลันนั้นเขาก็นึกถึงภาพบางอย่าง เขาจึงส่งเสียงผ่านกระแสจิตว่า “ท่านประธาน รอเดี๋ยวขอรับ”

“มีปัญหาอะไรงั้นหรือ” เฟอร์นันโด

ลูเซียนชี้ไปทางร่างแหลกเหลวบนพื้น “ข้าคิดว่าเคยเห็นมันมาก่อนขอรับ จึงอยากสังเกตการณ์มันอีกสักครู่หนึ่ง”

ไม่มีนักเวทชั้นตำนานคนใดยอมปล่อยเบาะแสไป แม้ว่าจะมันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม พวกเขาจึงรั้งรอลูเซียน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ขณะที่ลูเซียนเกือบจะจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมด ตัวด้วงสีดำก็คลานกลับเข้าไปในซากศพนั้น แล้วชิ้นส่วนต่างๆ ก็เริ่มขยับไปรวมตัวกันยังศูนย์กลาง!

“มันยังไม่ตายเช่นนั้นหรือ” เอริก้าทราบดีว่า ‘เวทดาวตกชี้ชะตา’ ของท่านประธานนั้นมีพลังทำลายล้างมากเพียงใด นั่นคือเวทมนตร์ระดับตำนานที่สามารถทำลายคนผู้หนึ่งไปพร้อมกับเครื่องรางกักพลังเลยเชียวนะ!

มัมมี่ตนนี้มีความพิเศษที่ใดกัน

ดักลาสเองก็มุ่นคิ้วเข้าหากัน ในใจนึกสงสัยว่าเหตุใด ‘เวทดาวตกชี้ชะตา’ จึงไร้ประสิทธิภาพ หากลูเซียนไม่ขอให้พวกเขาอยู่ต่อเพื่อสังเกตการณ์ เขาคงจะถูกสัตว์อสูรจากโลกแห่งวิญญาณตบตาเข้าให้แล้ว

ลูเซียนอึ้งงันไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็แปลงกายเป็นอัศวินชั้นตำนานแล้วชักดาบยาวสีเงินออกจากฝัก ฟาดฟันลงไปยังซากศพที่กำลังรวบรวมชิ้นส่วนกลับมาใหม่อีกครั้ง

“อ๊ากกกกกกก!”

ดาบยาวถ่ายทอดเสียงกรีดร้องโหยหวนเข้ามาในดวงจิตของลูเซียน ส่งผลให้ลูเซียนเห็นภาพมายาแปลกประหลาด ภายในสุสานทึบทึมสีขาวดำ กลับมี ‘ใยแมงมุม’ สีแดงและน้ำตาลจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผูกรัดโยงใยไปทั่วโลงศพสีเทา เหนือโลงศพนั้นคือบอลแสงสีสนิมที่เปรอะเปื้อนหยาดโลหิต หลังจากที่เขาฟันดาบลงไป ใยแมงมุมก็ถูกตัดขาด และบอลแสงก็แยกออกเป็นสองส่วนหลังจากสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะหายวับไปในอากาศ ฝาโลงศพเปิดออกตามแรงกระแทก แล้วมัมมี่สฟิงซ์ในนั้นก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด จากนั้น ร่างของมันก็แตกสลาย กลายเป็นกองเมือกเหลืองๆ ส่งกลิ่นไม่น่าอภิรมย์

นั่นคือฟิงส์ ราชาแห่งสฟิงซ์ใช่หรือไม่

………………………………………