ตอนที่ 1809 คล้ายกันดุจฝาแฝด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“เป็นเจ้าเองหรือ” หานลี่มองไปยังหญิงสาวในอาภรณ์ชุดสีม่วงที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าประหลาดใจอย่างมาก

หญิงสาวตรงหน้า ก็คือหญิงสาวที่อยู่ข้างกายราชาหงส์ดำ เป็นเด็กสาวจากเผ่าปีศาจที่ชื่อ “ไต้เอ๋อร์”

หญิงผู้นี้แม้ว่าจะเป็นระดับเทพแปลงตอนต้น แต่หน้าตางดงามเกินผู้ใด มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในหญิงสาววัยรุ่นในเผ่าปีศาจ ได้รับความรักความเอ็นดูจากราชาหงส์ดำเป็นอย่างมาก

แต่คราแรกที่พบเจอหานลี่นั้น นางแสดงออกมาอย่างเย็นชา

เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนมิใช่สิ่งที่หานลี่ใส่ใจที่สุด สิ่งที่เขาใส่ใจก็คือ อีกฝ่ายจะเป็นเด็กสาวคนนั้นที่ชื่อไต้เอ๋อร์หรือไม่

เยี่ยงในวันนี้หญิงผู้นี้จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาระหว่างที่เขาเดินทางกลับมายังที่พัก แน่นอนว่าที่เป็นสิ่งที่เขาประหลาดใจนั่นเอง

“สหายจู่ๆ ก็มาเยี่ยมเยียน หรือว่าได้รับคำสั่งจากสหายเซียวใช่หรือไม่” หานลี่เอ่ยถามเสียงนิ่งพลางมองไปยังเด็กสาวตรงหน้าที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มิใช่ เป็นข้าเองที่ประสงค์อยากมาพบท่าน” หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเอ่ยปาก เสียงก้องกังวาน ทำให้คนที่ได้ฟังนั้นเกิดความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“พบข้าหรือ” หานลี่สีหน้าเปลี่ยนไป

“ไม่ผิดหรอก ผู้น้อยมีเรื่องจะเอ่ยกับท่านตามลำพัง” หญิงสาวในชุดอาภรณ์สีม่วงมีดวงตาบริสุทธิ์ดุจธารา นางกวาดตามองไปยังไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านข้าง พลางเอ่ยด้วยเสียงลึกล้ำ

“เจ้าออกไปก่อน หากไม่ได้เรียก ก็ไม่ต้องเข้ามา” หานลี่ลูบไปที่คางก่อนเอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย

แม้ว่าไห่ต้าเซ่าจะสนใจมากว่าอาจารย์ของตนกับแม่นางท่านนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่แน่นอนว่าไม่กล้าฝืนคำสั่ง

จึงรีบเก็บความอยากรู้ในใจไปเสีย หลังจากที่ทำความเคารพเสร็จก็ล่าถอยออกจากห้องโถงไป

ในส่วนของชี่หลิงจื่อลูกศิษย์อีกคนของหานลี่นั้น เนื่องจากเรื่องราวก่อนหน้าในการบุกบ้านตระกูลหล่ง แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นตอนนี้

แม้ว่าจะมีคนอื่นที่เคยเห็นนักพรตน้อยผู้นี้ ทราบดีว่านี่คือลูกศิษย์คนหนึ่งของหานลี่ ผู้อาวุโสตระกูลหล่งนั้นก็เนื่องด้วยเหตุนี้มาหาถึงเรือนอย่างไม่สนหน้าตาแล้ว หานลี่เองก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าเขามีข้ออ้างมากกว่าหมื่นสิ่ง นำเรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างวานรยักษ์กลายร่างและตนเองปัดออกจากตัวเสียหมดสิ้น

ยามนี้ หญิงสาวในอาภรณ์ชุดสีม่วงเมื่อเห็นว่าไห่ต้าเซ่าออกไปจากห้องจริงๆ แล้ว ก็พลิกฝ่ามือหงายขึ้นอย่างไม่รอช้า พลันผ้าพันคอสีขาวอ่อนก็ปรากฏขึ้นบนมือนาง ก่อนยื่นไปหาหานลี่อย่างมั่นคง

หานลี่เมื่อเห็นของสิ่งนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สักพักจึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ไต้เอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงๆ”

ถือเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เป็นอาวุธทางจิตวิญญาณชั้นต่ำ เป็นวัตถุชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งที่เขาได้มอบให้แก่เด็กสาวชื่อไต้เอ๋อร์ในปีนั้น

แม้ว่าของสิ่งนี้นอกจากจะช่วยเรื่องป้องกันฝุ่นแล้ว แทบจะไม่มีคุณค่าอื่นอีก แต่เด็กสาวในตอนนั้นเมื่อได้รับไปแล้วกลับโปรดปรานอย่างน่าประหลาด ทั้งยังเก็บไว้ข้างกายตลอดเวลา

เด็กสาวในอาภรณ์สีม่วงตรงหน้าในเมื่อนำของสิ่งนี้มายืนยันตัวได้ ก็แน่นอนว่าเป็นเด็กสาวในปีนั้นจริงๆ

หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ สีหน้าก็ปรากฏความสับสนออกมา หลังจากเงียบอยู่นาน ก็ยกแขนนวลผ่องขึ้นใช้นิ้วขาวราวกับหยกหยิบปิ่นหงส์สีดำที่เรียบลื่นราวกับหยกลงมา

วินาทีต่อมา ปิ่นหงส์สีดำก็ระเบิดกลุ่มควันสีดำออกมา พร้อมๆ กับเสียงหงส์ที่ดังขึ้น ก่อนกลายร่างเป็นขนนกสีดำที่ยาวกว่าครึ่งฉื่อ

และแทบจะในเวลาเดียวกัน เกิดประกายสีขาวขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวอาภรณ์สีม่วง ก่อนจะเปล่งประกายแสบตา ทำให้แทบจะประสานสายตาตรงๆ ไม่ได้

แม้ว่าหานลี่จะมีดวงตาแห่งจิตวิญญาณและอิทธิฤทธิ์จากการบำเพ็ญ ก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลงเพื่อป้องกัน แต่เวลาต่อมาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบเปิดเปลือกตาขึ้น

เห็นเพียงแสงสีฟ้าพาดผ่าน มองข้างแสงสีขาวที่แสบตาบนใบหน้าหญิงสาว

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างประหลาด

หลังจากแสงสีขาวบนใบหน้าของหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงจางหายไปสิ้น ก็ปรากฏใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาเซียนในวังพระจันทร์

ไม่ต้องพูดถึงอาภรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวผู้นี้ที่ราวกับกล้วยไม้ในเขาลึกลับ เพียงแค่รูปหน้าที่ราวแกะสลักจากงาช้าง ก็คล้ายกับหนานกงหวั่นอยู่เจ็ดแปดส่วนแล้ว

กอปรกับพลังใสสะอาดที่อยู่ในร่างกาย ทั้งสองหากยืนด้วยกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องคิดแน่ว่าเป็นการมีอยู่ของพี่น้องฝาแฝดแน่

แต่เมื่อพิศอย่างละเอียดก็กลับพวกว่าทั้งสองนั้นมีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่

แต่ใบหน้าของหนานกงหวั่นจะเห็นได้ชัดว่าอ่อนโยนกว่า ดูน่าเข้าหามากกว่า แต่หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงนี้แม้ว่าจะละเอียดและงดงาม และให้ความรู้สึกที่เย็นชาสักหน่อย

แต่ภายใต้แววตาที่มีอิทธิฤทธิ์ของดวงตากระจ่าง หานลี่สามารถแน่ชัดได้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นใบหน้าแท้จริง ไม่มีภาพลวงตาที่ทำให้เกิดความกดดันอันใด

ยิ่งกว่านั้น จากหว่างคิ้วของหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วง ก็เหมือนกับใบหน้าอวบของเด็กสาว ‘ไต้เอ๋อร์’ อยู่หลายส่วน แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ แน่นอนว่าแตกต่างกันอยู่มากนัก

หานลี่มองไปยังใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า แม่ว่าจะมีสีหน้าสงบนิ่งอย่างผิดปกติ และยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“ท่านลุงหาน รูปลักษณ์ข้าตอนนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับพี่สาวหนานกงแล้วมีหลายส่วนที่เหมือนกัน” หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงมีแสงประหลาดพาดผ่านในแววตา ก่อนเอ่ยถามออกมาด้วยอารมณ์กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม

“นี่มันเรื่องอันใดกัน หลังจากที่เจ้าเติบโตมา เหตุใดจึงหน้าตาเปลี่ยนไปเล่า หรือว่าเขาเคยเจอหนานกงหวั่นที่ใดหรือ” หานลี่กดความหวาดหวั่นในใจ ก่อนเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงที่ปรับให้เย็นลงแล้ว

“ชื่อของอาหญิง ไต้เอ๋อร์รู้มาจากท่านลุงนี่แหละ อีกทั้งยังเคยพบท่านอาหนานกงแล้ว” หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเม้มปาก ก่อนหัวเราะเสียงเบา ลมปราณหนาวเย็นบนร่างหายไปมากกว่าครึ่ง

“ข้าพูดรึ….ข้านึกออกบางเรื่อง แต่ บางจุดยังคงไม่เข้าใจ เจ้า…” หานลี่ครุ่นคิดคิดหนึ่ง ก่อนหรี่ตาลงราวกับนึกถึงเรื่องอะไรได้ แต่ยังคงไม่กล้ายืนยันอย่างนั้น

“วันคืนเหล่านั้นที่ท่านลุงหานได้อยู่เป็นเพื่อนข้าภายใต้กองหิน เคยเล่าเรื่องแปลกประหลาดหายากให้ข้าฟัง เจ้าของเรื่องราวเหล่านี้ล้วนคือท่านลุงและท่านอาหนานกงสินะ และในวันสุดท้าย ข้าร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก ร่ำร้องอยากเจอท่านแม่ ท่านก็นำหยกประจำตัวที่อยู่ในรูปวาดของท่านอาหนานกงมากล่อมข้า ถึงได้ทำให้ข้าสงบลงได้” ดวงตางดงามของหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเปล่งประกาย เสียงนางก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที

“ตอนนั้นเจ้ามีหน้ากลมของเด็กน้อง ช่างน่ารักเสียจริง” หานลี่ที่เมื่อได้ฟังแล้วก็อดนึกถึงเรื่องที่สัตว์ประหลาดทำลายเมือง และภาพที่อยู่เคียงข้างนางภายใต้กองหิน มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา

“เรื่องทั้งหมดนี้ ข้าล้วนจำได้แม่นยำ หน้าตาตอนนี้ อยู่ในช่วงที่ข้าบำเพ็ญปฏิบัติจนกระทั่งสามารถเปลี่ยนรูปได้ นี่เป็นผลลัพธ์ของการกระตุ้นโลหิตของหงส์ดำแล้วเริ่มต้นเปลี่ยนหน้าใหม่ เหตุใดจึงออกมาหน้าตาคล้ายท่านอาหนานกง ข้าเองก็ไม่ทราบได้ อาจเป็นเพราะในวันนั้นรูปร่างหน้าตาของท่านอาหนานกงโดดเด่นเกินไป เป็นความประทับใจไม่รู้ลืมกระมัง ทำให้ตอนเปลี่ยนรูป ไม่รู้อย่างไรกลับกลายเป็นคล้ายคลึงอย่างมาก ท่านลุงหานเป็นนักบำเพ็ญเพียรผสานอินทรีย์ น่าจะกระจ่างใจเรื่องการกลายร่างของเผ่าปีศาจของข้าว่าแทบจะเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้เลย สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นหน้าตาแบบใด เกินครึ่งล้วนเป็นเจตนาสวรรค์” หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเอ่ยตอบ

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง หากเป็นดังเจ้าว่า อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้” หานลี่คิดได้ทันที แต่เมื่อเห็นว่าหญิงผู้นี้และหนานกงหวั่นช่างมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมาก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมในคอขึ้นมา

วันนี้นั้นถือว่าเขาโชคไม่ดีนัก ก่อนหน้าก็พบกันฉินซู่เอ๋อร์นั่น ถูกวิชาลวงใจที่กลายร่างเป็นหนานกงหวั่นทำให้ขวัญหาย สุดท้ายพอกลับมา ก็มาเผชิญหน้ากับใบหน้าที่คล้ายคลึงกันอีก

หรือจะเกิดเรื่องอะไรกับหนานกงหวั่นจริงๆ

หานลี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับลางบอกเหตุนี่ แน่นอนว่าก็เชื่อได้อยู่หลายส่วน

แม้ว่าหัวคิ้วเขาจะไม่ขมวดเคร่ง แต่ในใจก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้

ขณะนี้ หลังจากที่ไต่เอ๋อร์หยุดไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยต่อ

“ท่านลุงหานมีบุญคุณ ข้ามิเคยลืม แต่เผ่าปีศาจอย่างไรก็แตกต่าง ไต้เอ๋อร์เองก็ไม่อยากหาความลำบากมาให้ท่านลุงโดยไม่มีสาเหตุ นี่ถึงได้ทำท่าทีเย็นชาเมื่อคราก่อนหน้าที่พบเจอกัน เมื่อข้าได้มาถึงพระราชวังหงส์ดำ ก็ไม่เคยได้พบกับบิดามาก่อน แต่เป็น……”

หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงอธิบายเพียงสองประโยค ก็เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่แยกจากหานลี่ในปีนั้น

ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องยิบย่อย แต่หญิงสาวก็ยังเอ่ยออกมาได้อย่างน่าสนใจ มุมปากยังมีรอยยิ้มติดอยู่

หานลี่มองไปยังใบหน้าที่เหมือนกับหนานกงหวั่น แม้ว่าจะมองอย่างนิ่งๆ แต่สีหน้าก็ยังรู้สึกว่ามีความอบอุ่นอยู่หลายส่วน

ไต้เอ๋อร์พูดคุยกับหานลี่ก็ใช้เวลาไปหลายชั่วยาม สุดท้ายก็ราวกับนึกถึงเรื่องอันใดได้ จึงได้เอ่ยคำลาอย่างไม่อยากจากลา

หานลี่ก็ไม่ได้ฉุดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ทำตัวเยี่ยงผู้ใหญ่ที่กำชับตามไปหลายประโยค ก่อนจะขานเรียกให้ไห่ต้าเซ่าเข้ามา เพื่อส่งเด็กสาวออกจากห้องโถง

เมื่อเห็นว่าร่างของเด็กสาวได้พ้นห้องโถงไปแล้ว รอยยิ้มของหานลี่ก็จางลงเล็กน้อย ปรากฏสีหน้าทอดถอนใจอย่างเหงาหงอย ต่อมาก็นั่งลงคร่ำครวญอย่างเงียบๆ

ไม่นาน เมื่อไห่ต้าเซ่าปรากฏตัวในห้องโถงอีกครั้ง เขารายงานทุกอย่างด้วยความเคารพหลังจากที่ส่งหญิงสาวจากไปแล้ว

สีหน้าครุ่นคิดบนใบหน้าของหานลี่หายไป ก่อนพรวดพราดมองไปยังศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าพลางสั่งการ

“ไปเรียกศิษย์น้องเจ้ามา อีกสักครู่ตามข้าเข้าไปในห้องด้วยกัน”

เมื่อเอ่ยคำนี้จบ หานลี่ก็ยืนขึ้น และเดินเข้าห้องพำนักของเขาไป

ไห่ต้าเซ่าที่ยื่นอยู่กับที่เมื่อได้ฟัง ดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกาย ก่อนรีบเอ่ยว่า “ครับอาจารย์” หลังจากนั้นก็รุดออกไปตามหาชี่หลิงจื่อ

……

เช้าวันต่อมา หานลี่จากที่พักไปอย่างเงียบๆ ก่อนปรากฏตัวบนเทือกเขาเล็กๆ ไร้ซึ่งผู้คนที่ไม่ไกลจากพระราชวังต้อนรับเซียน

เขามองหาหินภูเขา ก่อนนั่งลงอย่างง่ายๆ พร้อมทั้งหลับตาลงทำสมาธิ ราวกับกำลังรอผู้ใดอยู่อย่างนั้น

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งมื้ออาหาร เสียงแหวกอากาศดังขึ้น พลันร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขา

“สหายหานมาเร็วจริงๆ ดูเหมือนว่าจะตั้งตารอคอยงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจริงๆ” เงาคนผู้นั้นยกยิ้มและยื่นมือให้หานลี่ เสียงนั้นดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือนักพรตเฒ่าอรหันต์ว่านกู่

“หึ ผู้แช่หานก็หวังไว้จริงๆ แต่ที่มาเร็วถึงเพียงนี้ เหตุผลหลักก็เพราะว่าเข้าร่วมงานนี้เป็นครั้งแรก เกรงว่าจะเข้าไปสู่งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬล่าช้าเกินไป” หานลี่อมยิ้ม ก่อนเอ่ยตอบอย่างไม่รีบร้อน

“วางใจเถิด ในเมื่อข้อมูลที่อีกฝ่ายส่งออกมาคือเวลานี้ อย่างนั้นก็จะไม่มีทางคลาดไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว แต่ก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง ตาเฒ่ายังมีบางคำที่ต้องบอกกล่าวกับสหายสักหน่อย สหายหานจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น” นักพรตเฒ่าอรหันต์ว่านกู่เอ่ย

“อ่อ อรหันต์มีคำใดอยากกล่าวเชิญกล่าวได้ ผู้แซ่หานนั้นพร้อมรับฟัง” หานลี่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายก็กล่าวตอบอย่างประหลาดใจ

“ที่จริงคำพูดเหล่านี้ ข้าไม่ต้องเอ่ยก็ได้ สหายหานเองก็คงเข้าใจอยู่หลายส่วนแล้ว แต่งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬนั้นไม่เหมือนกับงานแลกเปลี่ยนอื่นๆ ผู้น้อยแนะนำสักหน่อยจะดีกว่า” นักพรตอรหันห์เฒ่าว่านกู่เมื่อเห็นท่าทีถ่อมตนของหานลี่ ก็อดเอ่ยออกมาด้วยความพอใจไม่ได้