ตอนที่ 626 ค่ำคืนแสนยาวนาน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 626 ค่ำคืนแสนยาวนาน

ราตรีนี้ฟู่เสี่ยวกวนเมามายอย่างหนัก

ในราตรีเดียวกันนี้ แสงไฟก็ได้สว่างไสวขึ้นบนกวนหยุนถาย ณ เมืองกวนหยุนแห่งราชวงศ์อู๋

จักรพรรดิอู๋ทรงฉลองพระองค์ผ้าลินินสีเขียวมิต่างจากที่ชาวนาชอบสวมใส่แล้วประทับอยู่ที่โต๊ะหมากล้อม ทางด้านขวาคือจัวอี้สิงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋ ทางซ้ายคือหนานกงอี้หยู่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ฝั่งตรงข้ามคือโจวถงถงผู้นำหอเทียนจี

และยังมีสตรีอีกหนึ่งคนอยู่ในห้องนี้ด้วย นางคือหนานกงตงเซวี๋ย หลานสาวของหนานกงอี้หยู่ นางนั่งอยู่ข้างท่านปู่และจดจ่ออยู่กับการชงชา

“หากจะนับตามวันเวลา บัดนี้เสี่ยวกวนคงกลับถึงเมืองจินหลิงแล้ว…” ฟู่ต้ากวนยกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูยอมยกว่อเฟิงเต้าให้เสี่ยวกวนดูแล เขากลับไปพร้อมชัยชนะจึงได้เลื่อนขั้นเป็นป๋อเจวี๋ยและได้รับของพระราชทานมิน้อยเลย ป้ายไม้จวนฟู่ต้องเปลี่ยนเป็นป้ายทองคำเสียแล้ว”

ใบหน้าที่อวบอ้วนของฟู่ต้ากวนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

จัวอี้สิงปิดปากกระแอมไอสองคราเพื่อเตือนสติ “ฝ่าบาท… พระองค์คือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ องค์ชายเสี่ยวกวนคือรัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ ต้องเชิญองค์ชายกลับมากราบไหว้บรรพชนเพื่อเปลี่ยนเป็นแซ่อู๋ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว…” ฟู่ต้ากวนยกมือห้ามเอาไว้ “มิต้องกังวลหรอก ให้เสี่ยวกวนได้อยู่ที่ราชวงศ์หยูไปก่อน ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเขาจะอยู่ที่นั่นได้นานเพียงใด”

โจวถงถงคารวะแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท จากข่าวที่กระหม่อมไปสืบมาพบว่าองค์ชายอยู่ที่ราชวงศ์หยูมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก นโยบายใหม่ที่ส่งเสริมและกฎหมายต่าง ๆ ที่กรมการค้าร่างขึ้นก็ได้รับการตอบรับอย่างดีในหมู่ราษฎร พวกเขาทุกคนเชื่อว่าราชวงศ์หยูจะต้องเดินหน้าได้เพราะแรงผลักดันขององค์ชายอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…

องค์ชายมีความสามารถถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมิเรียกกลับมาช่วยวางแผนพัฒนาให้ราชวงศ์อู๋บ้างเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”

เมื่อสิ้นสุดคำถามนั้น แม้แต่หนานกงตงเซวี๋ยเองก็ยังเงยหน้าขึ้นมองฟู่ต้ากวน

ฟู่ต้ากวนสูดหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ข้าเป็นคนเลี้ยงดูมากับมือ รู้ใจเสียยิ่งกว่าบิดาแท้ ๆ ของเขาเสียอีก เขามีความผูกพันกับราชวงศ์หยูและคิดถึงแต่ภูเขาซีซาน แล้วแบบนี้เขาจะทำใจจากลาที่นั่นได้เยี่ยงไร

พวกเจ้ามิต้องกังวลหรอก ข้าก็คิดเช่นนั้น…”

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องแทนพระองค์ว่าเจิ้นพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่ต้ากวนมองไปที่จัวอี้สิง “คำว่าเจิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ! หากมิใช่เพราะสุขภาพของหลิงเอ๋อร์มิดีล่ะก็ พวกเจ้าคิดหรือว่าพระราชโองการมอบบัลลังก์ที่น้องชายของข้าสร้างขึ้นนั้นจะสามารถรั้งข้าไว้ที่นี่ได้ ? ”

“ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดบัลลังก์มังกรจึงแข็งกระด้างถึงเพียงนี้ นั่งแล้วมินุ่มเหมือนเก้าอี้ที่จวนของข้าเลย แต่ทว่าเหตุใดจึงมีผู้คนมากมายอยากนั่งบัลลังก์นี้ด้วยกัน ? ”

ฟู่ต้ากวนมองหนานกงอี้หยู่แล้วเอ่ยว่า “วันรุ่งขึ้นให้ช่างหาเบาะนุ่ม ๆ ไปวางไว้บนบัลลังก์มังกรด้วย เพราะข้ากลัวนั่งนานแล้วจะปวดหลัง”

วาจาที่หยิ่งผยองนี้ทำให้ทุกคนตื่นตกใจ จะขัดพระประสงค์มิได้เป็นอันขาด เพราะฝ่าบาทมิเหมือนผู้ใดเสียจนเกรงว่าจะละทิ้งบัลลังก์แล้วหนีไป เช่นนั้นก็ทำตามพระประสงค์ทุกอย่างเถิด

หนานกงอี้หยู่จึงรีบพยักหน้ารับบัญชาทันใด

“เมื่อครู่กล่าวถึงไหนแล้ว ? อ้อ…นึกออกแล้ว ! ข้าคิดว่านโยบายใหม่นั้นน่าสนใจมากเสียทีเดียว พวกเราต้องส่งคนไปเรียนรู้บ้าง”

เมื่อเอ่ยจบ ก็หันไปมองทางหนานกงตงเซวี๋ยพร้อมกับรอยยิ้มทันที “ข้าจำได้ว่าเซวี๋ยเอ๋อร์ได้หมั้นหมายกับฟู่เสี่ยวกวนบุตรชายของข้าไว้… มิเลว ! นางปิศาจเฒ่านั่นเลือกได้มิเลวเลย ! ”

และทันใดนั้นใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนานกงตงเซวี๋ยก็พลันแดงระเรื่อขึ้น นางก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความเขินอายเอาไว้ แต่ทว่าอยู่ ๆ นางก็รู้สึกผิดหวังและห่อเหี่ยวขึ้นมาในหัวใจ

ยามนี้อยู่ห่างกันหลายพันลี้ เขายังจำศาลาที่อยู่นอกเรือนหยุนชิงของวัดหานหลิงและชาหลี่ฮวาได้อยู่หรือไม่ ?

เขาแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว ณ เมืองจินหลิง นางได้เขียนจดหมายถึงเขา แต่ทว่าอีกฝ่ายมิเคยตอบจดหมายกลับมาเลย

ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหนานกงตงเซวี๋ยก็ฉายความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที

ฟู่ต้ากวนเมื่อเห็นดังนั้น จึงคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าที่อวบอ้วนยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เซวี๋ยเอ๋อร์ เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ข้าคือบิดาของเขา ! ผู้ใดกำหนดไว้เล่าว่าภรรยาเอกต้องมีเพียง 3 คนเท่านั้น ! ข้าเห็นว่าจะมีภรรยาเอกถึง 18 คนก็ย่อมได้ ! เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง ! ”

เมื่อหนานกงตงเซวี๋ยได้ยินดังนั้นก็บังเกิดความรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาทันที “ขอบพระทัยฝ่าบาทมากยิ่งนักเพคะ ! ”

“เจ้ามิต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะทั้งหมดนี้ก็เพื่อจวนฟู่ ! ”

หนานกงอี้หยู่ตาถลน เพื่อจวนฟู่เยี่ยงนั้นหรือ ?

พระองค์แซ่อู๋พ่ะย่ะค่ะ !

“ฝ่าบาท…คำกล่าวนี้มิเหมาะสมเท่าใดนัก เพราะในมิช้าก็เร็วองค์ชายเสี่ยวกวนต้องกลับมาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่ต้ากวนหัวเราะแล้วกระติกเท้าอย่างอารมณ์ดี “อู๋เทียนซื่อ หลานชายของข้ามิใช่แซ่อู๋หรือเยี่ยงไร ? ”

นี่…ฝ่าบาทหมายความว่าบัลลังก์ของราชวงศ์อู๋จะตกไปอยู่ในมือของอู๋เทียนซื่อเยี่ยงนั้นหรือ ?

จัวอี้สิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน พอมาคิดดูแล้วก็พบว่าอู๋ต้าหลางผู้นี้เทียบกับจักรพรรดิเหวินมิได้เลย เรื่องเช่นนี้เขาคิดออกมาได้เยี่ยงไร !

“องค์ชายน้อยอายุยังมิถึง 5 เดือนเลยด้วยซ้ำ ฝ่าบาทโปรดจริงจังหน่อยได้หรือไม่ ? การปกครองราชวงศ์อู๋ที่ยิ่งใหญ่นี้มิเหมือนกับการปกครองยุทธภพ ใต้หล้านี้จะวุ่นวายมิได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

จัวอี้สิงทูลด้วยเจตนาที่ดี แต่ทว่าฟู่ต้ากวนกลับทำเป็นมิสนใจ

อยู่ ๆ เขาก็ทำเป็นร้องเพลงออกมาราวกับไม่ได้ยินเจตนาอันดีของขุนนางเฒ่าทั้งสาม

“จุดเริ่มต้นของชีวิตนั้นเหมือนดั่งความฝันอันยิ่งใหญ่ การกำเนิดชีวิตนั้นเริ่มต้นด้วยอดีตอันน่าเศร้า…

ค่ำคืนนั้นสายลมพัดใบไม้ให้พลิ้วไหวตาม

เงยหน้ามองระหว่างสองคิ้ว

ที่พักแรมน้อยช่างมิเพียงพอ เมฆครึ้มบดบังจันทราเต็มดวง

ค่ำคืนนี้เด็ดเดี่ยวใต้แสงจันทราอันพร่างพราว

ยกจอกสุรามองไปทางทิศเหนือด้วยความอาดูร…”

จัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ และโจวถงถง มองสบตากัน ฝ่าบาทนั้น…แท้จริงกำลังคิดถึงคนที่อยู่ในราชวงศ์หยู !

เมื่อฟู่ต้ากวนร้องเพลงจบก็ได้ยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไพเราะหรือไม่ ? นี่คือบทเพลงที่บุตรชายของข้าประพันธ์ขึ้นมา… มาเถิด ! พวกเรามาเข้าเรื่องกัน”

เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันทำให้ขุนนางทั้งสามคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

ฟู่ต้ากวนเปลี่ยนสีหน้าแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “ข้าหมายถึงเรื่องที่จะให้เซวี๋ยเอ๋อร์พาผู้ติดตามล่วงหน้าไปที่จินหลิงก่อน จากนั้นก็ให้ติดตามบุตรชายของข้าไปที่ว่อเฟิงเต้า ข้าจะเขียนจดหมายถึงเสี่ยวกวนเรื่องฐานะสะใภ้ของเซวี๋ยเอ๋อร์ให้ชัดเจน แต่เดาว่าช่วงนี้เขาคงไม่ค่อยว่างดังนั้นการจัดพิธีอภิเษกสมรสคงต้องเลื่อนออกไปก่อน”

“ข้าจะเขียนจดหมายถึงสะใภ้ทั้งสามคนที่ราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน พวกนางล้วนเป็นสตรีที่มีเหตุผล ดังนั้นเซวี๋ยเอ๋อร์อย่าได้กังวลไปเลย”

“บัดนี้สะใภ้ทั้งสามกำลังตั้งครรภ์จึงมิสามารถตามไปปรนนิบัติรับใช้เขาได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เซวี๋ยเอ๋อร์ต้องไปยังที่นั่น…เพื่อดูแลปรนนิบัติเขาเยี่ยงไรเล่า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหนานกงตงเซวี๋ยก็สุกปลั่งขึ้นมาอีกครา นางพยักหน้าแล้วรินน้ำชา จากนั้นก็ก้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความเขินอาย

“ส่วนผู้ติดตาม มิต้องเอาไปเยอะมากหรอก เอาไปเพียงแค่ 20 คนก็เพียงพอแล้ว จากนั้นก็ให้พวกเขาศึกษาหาความรู้ที่ว่อเฟิงเต้าและเรียนรู้จากบุตรชายของข้าให้มากที่สุด

อีกสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือเรื่องความปลอดภัย ให้หนิงซือเหยียนติดตามเจ้าไปด้วยเถิด ข้าเห็นเขาอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูก็มิได้มีสิ่งใดทำอยู่แล้ว”

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจนทำให้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาไม่คัดค้าน ส่วนโจวถงถงเอ่ยปากถามว่า “ฝ่าบาท…วังหลังแห่งนี้มิมีผู้ดูแลเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ตอนนี้พวกเจ้าอาจจะเห็นว่ามันเงียบเหงา รอให้บุตรชายของข้ากลับมายังพระราชวังแห่งนี้เสียก่อน…เกรงว่าต้องสร้างตำหนักเพิ่มอีกหลายหลังเลยล่ะ

ทันทีที่ฟู่ต้ากวนกล่าวเช่นนี้ออกมา อัครมหาเสนาบดีเฒ่าทั้งสองคนก็มีความสุขขึ้นมาทันใด ดูเหมือนว่ารัชทายาทพระองค์นั้นกำลังจะกลับมาแล้ว ! นอกจากนี้ฝ่าบาทคงได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็มิรู้ว่าพระองค์เตรียมการเช่นใดไว้เหมือนกัน

“ตอนที่ข้าอยู่ในราชวงศ์หยูนั้นก็ได้ถูกฮ่องเต้วางแผนไร้สาระเกี่ยวกับเรื่องรับอนุภรรยาให้กับข้า ! เฮ้อ…เพื่อที่จะมิโดนเปิดเผยตัวตน ข้าจึงต้องจำใจดื่มสุราหนึ่งไหจนหมดสิ้น ดี! ข้าต้องชำระแค้นกับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู ! ”

“เมื่อบุตรชายของข้ากลับมาแล้ว เขาจะต้องพาหลานกลับมาด้วยเช่นกัน ! ”