บทที่ 360 คำสาปมหาแสงเจิดจรัส

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 360 คำสาปมหาแสงเจิดจรัส

เนื่องจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของลั่วหยุนและวิญญาณปีศาจ มันส่งผลทำให้ทั้งเมืองหยูหลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

และไม่ใช่แค่เมืองหยูหลันเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แม้แต่พื้นที่ทั้งหมดทางตอนเหนือของอาณาเขตนภาก็สั่นสะเทือนเช่นกันและที่สำคัญที่สุดคือ กฎแห่งสวรรค์และโลกในตอนนี้ได้ถูกเจตจำนงของทั้งคู่ทำให้บิดเบี้ยวเช่นกัน ซึ่งมันก่อให้เกิดความผิดปกติต่อกฎต่าง ๆ ที่ดำรงอยู่ในบริเวณพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาเขตนภาเป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่อาณาจักรอี้จิ๋น ซึ่งอยู่ห่างไกลไปทางใต้ของอาณาเขตนภาก็สามารถรู้สึกได้เล็กน้อย

“ศึกแห่งเจตจำนง?” หลายคนที่มีภูมิหลังมาจากสำนักใหญ่ สัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้แล้ว

ตัวอย่างเช่น สีจิ้งหมิงที่สามารถสัมผัสได้ถึงสถานการณ์และมองไปยังทิศทางที่เมืองหยูหลันตั้งอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นายน้อยต้องการให้ข้าไปดูไหม?”

ชายชราเครายาวปรากฏตัวตรงหน้าสีจิ้งหมิง “นายหญิงและอี้เฉิงน้อย ก็อยู่ที่นั่น…”

สีจิ้งหมิงขมวดคิ้วและครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะพูดว่า “ลุงหมิงเอาอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิติดตัวไปและมุ่งหน้าไปยังเมืองหยูหลัน ถ้าพี่ใหญ่ตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ จงนำพวกเขากลับมาให้ได้!”

ชายชราเครายาวพูดอย่างวิตกกังวล “นายน้อย ถ้าท่านให้ข้านำอาวุธวิเศาระดับจักรพรรดิติดตัวไป แล้วความปลอดภัยของท่านล่ะ? นอกจากนี้ข้าอยู่ในขอบเขตนภาครามเท่านั้น ถึงแม้จะมีอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิอยู่ในมือ ข้าก็คงไม่สามารถแสดงพลังของมันได้มากนัก”

สีจิ้งหมิงโบกมือและพูดว่า “ท่านยังไม่จำเป็นต้องห่วงข้าในเรื่องนั้น ตราบใดที่ข้าอยู่ภายในอาณาเขตเมืองหลวง อย่างน้อยข้าก็สามารถป้องกันตัวเองได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ข้ายังมีโองการจักรพรรดิและอาวุธต้องห้ามระดับจักรพรรดิอยู่กับข้า ส่วนอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิที่ข้าบอกให้ท่านนำมันไป ข้าหมายความว่าให้ท่านนำมันไปให้พี่สาวของข้าเพราะนางรู้วิธีใช้มันเป็นอย่างดี ด้วยอำนาจของอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาที่อาณาจักรอี้จิ๋นได้อย่างปลอดภัย ส่วนท่านเองหากไม่มีความจำเป็นใด ๆ จงอย่าเปิดเผยตัวตนและกลับมาที่นี่อย่างเงียบ ๆ ก็พอ”

เมื่อมองไปยังท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของสีจิ้งหมิง ชายชราเครายาวก็พยักหน้าอย่างเร่งรีบ จากนั้นเขาจึงรีบบินมุ่งหน้าไปยังเมืองหยูหลันอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของสันเขาทรราชและเหล่าสำนักใหญ่อื่น ๆ ที่คนของตัวเองได้อยู่ที่เมืองหยูหลันด้วยก็มีปฏิกิริยาตอบสนองคล้ายกับสีจิ้งหมิง

แต่ในทางตรงกันข้าม ทางด้านของอาณาจักรอ้าวเทียนนั้นกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก

เมื่อเทียบกับเหล่าผู้คนที่อยู่ในสถานที่ห่างไกล ผู้คนที่อาศัยอยู่พื้นที่รอบ ๆ เมืองหยูหลันต่างก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่

เนื่องจากตอนนี้ภาพที่พวกเขาเห็นอยู่ก็คือภาพของท้องฟ้าที่มีแสงสีสลับไปมาระหว่างขาวและดำรวมไปถึงยังมีเสียงฟ้าร้องและการปรากฎของสายฟ้าที่ผ่าสุ่มไปทั่วทั้งบริเวณเมืองซึ่งสร้างความโกลาหลไปทั่ว

หลายคนที่กำลังบ่มเพาะอยู่อย่างสันโดษถูกรบกวนโดยกฎแห่งสวรรค์และโลกที่ถูกบิดเบี้ยว จนไม่สามารถบ่มเพาะต่อไปได้

คนที่สับสนที่สุดคือคนที่อยู่ด้านในเมืองหยูหลัน ทุกคนต่างมองไปทางสระหยูหลันและพวกเขาก็เห็นภาพลวงตา

“พี่ใหญ่นั่นน่าจะเป็นเรือนของพวกเราไม่ใช่เหรอทำไมภาพของเรือนเราถึงได้ไปลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือสระหยูหลันแบบนั้นกัน?”

“นั่นไม่ใช่หอการค้าของครอบครัวข้าเหรอมันถูกสะท้อนไปตรงนั้นได้ยังไง?”

“นั่นมันต้นไม้หน้าบ้านข้านี่!”

“……”

ทุกคนมองไปที่วัตถุทรงกลมที่น่าจะถูกสร้างด้วยพลังวิญญาณขนาดยักษ์ที่อยู่เหนือสระหยูหลันด้วยสาตาแปลกประหลาด เนื่องจากไอ้วัตถุทรงกลมนี้มันกลับสามารถสะท้อนภาพของบริเวณต่าง ๆ ของเมืองหยูหลันออกมาอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาทุกคนมองย้อนกลับไปและเห็นว่าเรือนและหอการค้าของพวกเขายังคงอยู่ที่เดิมพวกเขาจึงผ่อนคลายลง

แค่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปไม่รู้ก็คือถ้าไม่ใช่เพราะวัตถุทรงกลมนี้ปิดกั้นคลื่นพลังการปะทะของลั่วหยุนและวิญญาณปีศาจเอาไว้ทั้งหมด มันก็คงจะมีคนไม่มากนักที่อยู่ในเมืองหยูหลันที่รอดชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่เมืองหยูหลันจะถูกทำลายแต่พื้นที่ใกล้เคียงก็คงจะเหลือเพียงซากปรักหักพัง

ในเวลานี้ ลั่วหยุนกำลังส่งเหล่าอักษรทองคำในมือบินเข้าไปปะทะกับอักขระโบราณที่พลั่งพรูออกมาจากปากของวิญญาณปีศาจอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามการที่เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ นั่นมันก็หมายถึงว่าพลังวิญญาณของเขาที่กำลังค้ำจุนดวงจิตของเขาอยู่มันก็เริ่มเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน

“ท่านหลิงทางด้านของท่านพร้อมรึยัง?” ลั่วหยุนรู้สึกกังวลในขณะที่เขาพูดขึ้น “หากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ดวงจิตของข้าอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน”

หลิงตู้ฉิงหันหน้าไปมองผู้คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ เขาพูดอย่างใจเย็น “พวกเขายังเตรียมตัวอยู่ เจ้าต้องอดทนต่อไปอีกสักพัก”

ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นเขาทำได้เพียงอดทนต่อไป

“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะสู้ข้าได้งั้นเหรอ?” วิญญาณปีศาจคำราม “พวกเจ้าคิดว่าจะจัดการข้าได้ด้วยกลเม็ดของพวกเจ้าเหล่านี้งั้นเหรอ?”

ขณะนี้เหล่าอักษรสีทองที่รายล้อมวิญญาณปีศาจเริ่มที่จะมีการเปลี่ยนแปลง แสงของพวกมันเริ่มจะหรี่ดับลงเรื่อย ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ลั่วหยุนตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

“ถึงเวลาที่พวกเราควรออกไปจากที่นี่กันได้แล้ว!” เทียนหยูเฮงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พวกเราไม่มีทางที่จะสู้กับวิญญาณปีศาจตนนี้ได้แน่นอน ข้าจะอาศัยช่วงเวลาที่พวกเขาต่อสู้กัน ใช้อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิเปิดทางออกไปจากปราการจักรกลสวรรค์นี่ซะ และจากนั้นพวกเราจะมุ่งหน้ากลับไปที่สันเขาทรราชทันที!”

“ปราการจักรกลสวรรค์ถูกสร้างมาเพื่อกักขังวิญญาณปีศาจตนนี้ ถ้าหากเราทำเช่นนั้นมันจะไม่เท่ากับว่าเราปล่อยให้วิญญาณปีศาจเป็นอิสระงั้นเหรอ?”

“พวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจในเรื่องนั้น” เทียนหยูเฮงส่ายหัว “วิญญาณปีศาจตนนี้ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเรา ต่อให้มันจะออกไปได้พวกเราก็ไม่มีผลกระทบอะไรอยู่ดี”

ในอีกด้านหนึ่ง หนานกงซ่งหยวนจากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ก็พูดขึ้น “เอาล่ะ พวกเราคงต้องช่วยพวกเขาสักหน่อยด้วย ‘คำสาปมหาแสงเจิดจรัส’ แม้ว่ามันคงจะไม่สามารถฆ่าวิญญาณปีศาจได้ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะลดความแข็งแกร่งของมันลงได้บ้าง”

“ท่านผู้อาวุโส นี่พวกเราจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องของพวกเขาจริง ๆ งั้นเหรอ? ข้าเกรงว่าหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาพวกเราอาจจะ…” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างถามขึ้น

“พวกเราคือตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกเราจำเป็นต้องไปกลัวอะไร? จงอย่าลืมสิ ยิ่งมีความเสี่ยงสูงผลตอบแทนที่เราจะได้รับก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ที่สำคัญวิญญาณปีศาจตนนี้ถูกปล่อยออกมาโดยจงใจ ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่วางแผนอะไรเอาไว้ก่อน และพวกเจ้าเห็นไหมว่าตอนนี้บรรดาผู้คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ก็กำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ สิ่งที่เราต้องทำคือช่วยพวกเขาถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าแผนของพวกเขาจะพร้อม” หนานกงซ่งหยวนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“งั้นเราก็คงได้แต่หวังว่าพวกเขาจะจัดการกับมันได้ ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นการสิ้นเปลืองโองการจักรพรรดิของเราไปอย่างสูญเปล่า” อีกคนหัวเราะอย่างขมขื่น

เมื่อพวกเขาคุยกันจบ หนานกงซ่งหยวนก็เปิดใช้งาน ‘คำสาปมหาแสงเจิดจรัส’ ที่ถูกบันทึกลงในโองการจักรพรรดิทันที

“ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์จะช่วยพวกท่านอีกแรง!” หนานกงซ่งหยวนตะโกนขึ้น

หลังจากเปิดใช้งาน ทันใดนั้นแสงสีทองก็ส่องประกายขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสระหยูหลัน จากนั้นฝนแสงสีทองเริ่มตกลงมาทั่วบริเวณของสระหยูหลันทั้งหมด ส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามที่ฝนแห่งแสงตกลงมากระทบ เจตจำนงแห่งความแค้นและการสังหารที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากวิญญาณปีศาจก็อ่อนกำลังลงทันที

“ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน!” ลั่วหยุนตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน

เมื่อตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือเข้าช่วย เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิญญาณปีศาจที่เห็นภาพเช่นนี้มันก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นทันที “ข้าไม่เคยไปล่วงเกินพวกเจ้า แต่นี่พวกเจ้ากลับกล้าที่จะเข้ามาช่วยเหลือศัตรูของข้างั้นเหรอ? ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์! ข้าขอสาบาน! เมื่อข้าเป็นอิสระเมื่อไหร่ข้าจะไปที่สำนักของพวกเจ้าและฆ่าคนของพวกเจ้าให้หมดทุกคน! เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องทำตัวกันให้เป็นประโยชน์แล้ว!”

ประโยคต่อท้ายด้านหลังนั้น เป็นคำพูดที่มันพูดกับคนที่อยู่รอบข้างมัน

เนื่องจากตอนนี้มันได้กลับไปอยู่ร่างเดิมที่แท้จริงของตัวเองแล้ว เหล่าคนที่อยู่รอบตัวของมันจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้ามันเปลี่ยนคนเหล่านี้ทั้งหมดให้กลายเป็นพลังของมันเอง

ภายใต้ความโกรธ เก๋อหงเฟย กู๋เซินหมิง หนิวฮ่าวตงได้ถูกมันฆ่าเป็นคนแรก ๆ และจากนั้นมันก็เริ่มสังหารคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ จนหมด จากนั้นทั้งพลังวิญญาณ ทั้งอารมณ์ความแค้นของผู้ที่ถูกสังหารและโลหิตต่างก็ถูกมันดูดเข้าไปในร่างกายของมันส่งผลให้ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเท่าตัว!