ตอนที่ 727 สถานการณ์กรีธาทัพ โดย ProjectZyphon
เมื่อได้รู้ข่าวที่หูทงสูญหายไปสามวัน หลินสวินค่อนข้างไม่สบายใจอยู่บ้าง
ตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดจวบจนปัจจุบัน หลินสวินคบหาสหายจำกัดแค่ไม่กี่คน หูทงก็คือหนึ่งในนั้น
การหายไปของเขาทำให้หลินสวินไม่มีอารมณ์พบปะสังสรรค์
“เขาปฏิบัติภารกิจอะไร” หลินสวินกล่าวถาม
อาปี้ชะงักงัน ไม่ช้านัยน์ตาพลันส่องประกาย บนหน้างดงามเจือความหวังเสี้ยวหนึ่ง “เจ้าจะไปช่วยหัวหน้ารึ”
หลินสวินพยักหน้า “รุ่งเช้าพรุ่งนี้ออกเดินทาง”
ทันใดนั้นเบ้าตาอาปี้พลันแดงก่ำ กอดหลินสวินแน่น “เจ้า… เจ้าต้องพาหัวหน้ากลับมานะ ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว…”
หลินสวินตบบ่าอาปี้ หาได้พูดมากความ
ไม่ว่าหูทงจะเป็นหรือตาย ไม่ว่าจ่างซุนเลี่ยและหลูเหวินถิงเห็นด้วยหรือไม่ เขาต้องไปดูด้วยตาตนเอง!
กลางดึก เมื่อหลินสวินกลับห้องพลันค้นพบว่าเหยียนเฟิงรอคอยอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่ากำลังรอตน
“สหายข้าคนหนึ่งเพิ่งกลับจากสมรภูมิกระหายเลือด ได้ยินข่าวมุ่งร้ายเจ้าบางอย่าง ว่ากันว่าสายคนเถื่อนมืดจะส่งราชันที่แท้จริงมาบุกโจมตีค่ายหมายเลขเจ็ด จุดประสงค์เพื่อสังหารเจ้า!”
เมื่อเห็นหลินสวิน เหยียนเฟิงเข้าประเด็นทันที กล่าวเตือนหลินสวินด้วยหน้าตาเคร่งขรึมว่าให้เขาระวังหน่อย
หลินสวินครัดเคร่งอยู่ในใจ กระทั่งเหยียนเฟิงจากไปเขาก็คิดมาโดยตลอด ว่าสายคนเถื่อนมืดจะให้ราชันเคลื่อนไหวเพื่อมาฆ่าตนจริงหรือ
นี่เหมือนกับว่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้างกระมัง
แต่หลินสวินกลับไม่อาจไม่พิจารณาถึงผลที่ตามมาหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง
‘ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าไปสืบข่าวด้วยตัวเองแล้วกัน…’
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินแบกห่อสัมภาระไปจากค่ายหมายเลขเจ็ดอย่างเงียบเชียบ ไม่ทำให้ผู้ใดตกใจตื่น
พร้อมกันนั้น หลินสวินก็หมายสืบเสาะข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับสายคนเถื่อนมืดด้วย
…
วันเดียวกับที่หลินสวินจากไป สายสืบคนหนึ่งซึ่งกลับมาจากสมรภูมิแนวหน้านำข่าวชวนตระหนกหนึ่งกลับมาด้วย
“ท่านแม่ทัพ ได้รับการยืนยันแล้วว่า ‘ราชันวิญญาณเร้น’ แห่งสายคนเถื่อนมืด และ ‘ราชันวิญญาณเขียว’ แห่งสายคนเถื่อนพฤกษา จะร่วมมือกันนำทัพใหญ่บุกโจมตียึดครองค่ายหมายเลขเจ็ดของเรา!”
สายสืบพูดกล่าวอย่างไวว่อง
นัยน์ตาจ่างซุนเลี่ยพลันหดรัดตัว หมายจะซัดฝ่ามือใส่โต๊ะ แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ เขาสูดหายใจลึกพลางกล่าว “นี่พวกมันคิดเปิดฉากสงครามรอบด้านหรือ”
“ไม่ขอรับ จุดมุ่งหมายครานี้ของพวกมันมีเพียงหนึ่งเดียว สังหารคุณชายหลินสือเอ้อร์!”
สายสืบมอบคำตอบเหนือความคาดหมาย ทำเอาจ่างซุนเลี่ยอดชะงักงันไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเปรียบโดยพลัน “ระดมไพร่พลเช่นนี้เพื่อจัดการเด็กหนุ่มของจักรวรรดิข้าคนเดียว? ช่างเสียสติซะจริง!”
“ท่านแม่ทัพ…”
สายสืบลังเลอยู่บ้าง
“มีอะไรก็ว่ามา! อ้ำๆอึ้งๆ ทำอะไร”
จ่างซุนเลี่ยตวาดลั่น
“สาเหตุที่พวกเขาระดมกำลังครานี้ หนึ่งเพราะผลกระทบจากคุณชายหลินมากเกินไป วันนี้บนหมายจับกระดานโลหิตที่พวกเผ่าพ่อมดเถื่อนประกาศ ได้ขยับอันดับคุณชายหลิน จากเดิมอันดับสิบแปดขึ้นเป็นอันดับเก้า!”
“อีกทั้งนายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดอิ๋งเชวี่ยก็ตายในเงื้อมมือคุณชายหลิน ฐานะของอิ๋งเชวี่ยไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง การตายของเขายั่วโทสะทั้งสายคนเถื่อนมืดโดยสมบูรณ์ ราชันวิญญาณเร้นนั่นยิ่งกล่าววาจารุนแรง บอกว่าหากพวกเรามอบตัวคุณชายหลินมาให้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะไม่มารุกราน ไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นอะไร” จ่างซุนเลี่ยสีหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จะขยี้ค่ายหมายเลขเจ็ดของเราให้บี้แบน!”
โครม!
จ่างซุนเลี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ซัดฝ่ามือลงโต๊ะทำงานเบื้องหน้าจนแหลกละเอียด
เขาพลันผุดลุกขึ้น นัยน์ตาฉายแววยะเยือกชวนตระหนกหาใดเปรียบ “พูดจาใหญ่โตนักนะ เห็นข้าจ่างซุนเลี่ยกินเจรึ หากแม้แต่เด็กหนุ่มคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของข้าคงเปล่าประโยชน์!”
สายสืบใจสะท้าน รู้ว่าจ่างซุนเลี่ยบังเกิดโทสะอย่างแท้จริงแล้ว
“พวกเฒ่าสวะพ่อมดเถื่อนนั่นจะมารนหาที่ตายเมื่อไหร่” จ่างซุนเลี่ยถาม
“หลังจจากนี้สามวันขอรับ”
สายสืบรีบร้อนกล่าวตอบ
วันนี้ค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิระมัดระวังรอบด้าน ไม่ว่าทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิหรือผู้ฝึกปราณอิสระซึ่งกระจายอยู่ทั่วค่ายต่างทราบข่าว สามวันหลังจากนี้ ทัพใหญ่พ่อมดเถื่อนซึ่งนำโดยราชันวิญญาณเร้นและราชันวิญญาณเขียวจะมารุกราน!
ชั่วขณะนั้นผู้ฝึกปราณทั้งหลายในใจต่างตึงเครียด ตื่นตะลึงด้วยเหตุนี้
และเมื่อทราบว่าศัตรูกรีธาทัพใหญ่โตเช่นนี้เพียงเพื่อฆ่าหลินสวินคนเดียว ผู้ฝึกปราณทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดก็ต่างอึ้งงัน
ศัตรูเสียสติไปแล้วรึ
ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิยืนตระหง่านกลางสมรภูมิกระหายเลือดมาหลายพันปี ผ่านการเคี่ยวกรำจากไฟสงครามมาจนปัจจุบัน ล้วนไม่เคยถูกตีแตกมาก่อน
ตอนนี้ราชันพ่อมดเถื่อนสองคนกลับประกาศศักดา ว่าหากไม่ส่งมอบตัวหลินสวินไปให้ จะเหยียบย่ำค่ายหมายเลขเจ็ดให้บี้แบน นี่จะไม่ให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร
ทันใดนั้นบรรยากาศในค่ายหมายเลขเจ็ดพลันตึงเครียดขุ่นมัว ราวลมมรสุมกำลังมา
ไม่ถึงขั้นทุกคนรู้สึกอันตราย แต่หากไม่ประหม่าและกังวลนั่นก็คงหลอกลวงเกินไป อย่างไรเสียค่ายหมายเลขเจ็ดก็มีแค่จ่างซุนเลี่ยเป็นราชันคนเดียวคอยบัญชาการ แต่ครานี้ศัตรูกลับมีระดับราชันถึงสองคน!
อีกทั้งราชันวิญญาณเร้นหนึ่งในนั้น ยังเป็นราชันซึ่งเป็นมือสังหารชั้นเอกอุแห่งสายคนเถื่อนมืด ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเขาเพียงพอให้ผู้คนถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครเล่าจะไม่ประหม่ากลัดกลุ้ม
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ค่ายหมายเลขเจ็ดคงได้เปิดฉากฝนโลหิตคาววายุแน่ ทันทีที่การต่อสู้ระดับนี้ปะทุขึ้น ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงหาใดเปรียบ
“หากไม่ใช่หลินสือเอ้อร์นี่ ไหนเลยจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ข้าว่าเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม รีบส่งตัวหลินสือเอ้อร์ไปค่ายอื่นอาจเป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด”
มีคนบ่นอย่างอดไม่อยู่
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณคนนี้พลันถูกแทบทุกคนวิจารณ์โจมตีอย่างเดือดดาล
“ผายลม! เจ้าคิดหรือว่าคุณชายหลินจากไปแล้วศัตรูจะไม่บุกโจมตีค่ายหมายเลขเจ็ด”
“แม่เจ้าน่ะสิ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะตัดพ้อโยนความผิดให้ปฐมาจารย์หลิน นี่เจ้ารนหาที่ตายรึ”
“ถุย! อับอายขายขี้หน้า!”
ไม่นานนักทหารยามมือฉมังกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว นำตัวผู้ฝึกปราณที่กล่าวโทษหลินสวินคนนั้นไปหาแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ย
หลังจากนั้นคนคนนี้ก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย
วันนั้นจ่างซุนเลี่ยออกคำสั่งด้วยไอสังหารดุเดือด “ศึกใหญ่อยู่เบื้องหน้า ใครกล้าปล่อยข่าวลือลวงผู้คน ก่อความวุ่นวายกลางกองทัพ ต้องถูกสำเร็จโทษ!”
ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตระหนักได้ทันที ว่าแม่ทัพใหญ่ยอมให้เกิดศึกนองเลือด อย่างไรก็ต้องปกป้องหลินสวินเอาไว้ให้ได้
ตามเวลาที่ไหลเคลื่อน บรรยากาศภายในค่ายนับวันยิ่งตึงเครียดและกดดัน มรสุมกำลังมา
ทว่าเมื่อถึงวันที่สอง ราชันจากค่ายหมายเลขหนึ่งปรากฏตัว ทำให้ผู้คนสบายใจไม่น้อย
ราชันผู้นี้มีนามว่าฉินฉู่ สวมชุดคลุมขาว ใบหน้าสง่างาม ไว้หนวดเครายาวดั่งต้นหลิว ท่าทางภูมิฐาน
“หลินสือเอ้อร์นั่นล่ะ”
ทันทีที่ฉินฉู่มาถึงก็เอ่ยปากหมายพบหลินสวิน
จ่างซุนเลี่ยตะลึงงัน หันศีรษะไปทางหลูเหวินถิงซึ่งอยู่ข้างๆ แต่หลูเหวินถิงกลับใบหน้าขมขื่น กล่าวเสียงแผ่วว่า “เมื่อวานตอนเช้ามืด เขาออกจากค่ายไปแล้ว…”
พูดพลางเขาก็บอกเรื่องที่หูทงหายไปจนหมดเปลือก แสดงออกชัดเจนว่าหลินสวินหาใช่หนีไปเพราะกลัวการศึกไม่
“เจ้าเด็กนี่จับพลัดจับผลูหลีกหนีเคราะห์หนึ่งไปได้…” จ่างซุนเลี่ยสีหน้าเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น หลินสวินไม่อยู่ในค่าย แน่นอนว่าดียิ่งกว่า
เพียงแต่ฉินฉู่กลับขมวดคิ้วมุ่น กล่าวอย่างไม่พอใจ “เขายังก่อเรื่องไม่มากพอรึไง? เพราะเขาคนเดียวก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่ขนาดนี้ กระทั่งอาจโหมกระพือให้เกิดการต่อสู้รอบด้านระหว่างจักรวรรดิเราและเผ่าพ่อมดเถื่อน และตอนนี้เขาทั้งไม่ฟังคำสั่ง กระทำการเพียงลำพังโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช้ไม่ได้ซะจริง!”
หลูเหวินถิงพลันหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักได้ว่ารู้ว่าฉินฉู่คล้ายมีทัศนคติบางอย่างต่อหลินสวิน
จ่างซุนเลี่ยเหลือบมองฉินฉู่วูบหนึ่งพลางกล่าว “ศึกใหญ่อยู่เบื้องหน้า ดูเหมือน… ไม่ใช่เวลามาสนทนาเรื่องจุกจิกพวกนี้กระมัง”
“เรื่องจุกจิก?”
ฉินฉู่ถอนหายใจ “เหลือเวลาก่อนเปิดช่องทางมุ่งสู่จักรวรรดิครั้งต่อไปแค่สามเดือน หากตอนนี้เกิดศึกขนาดใหญ่ขึ้น การเสริมบำรุงเสบียงยุทโธปกรณ์ของพวกเราต้องโดนผลกระทบอย่างหนัก ผลที่ตามมานี้ใครจะแบกรับไหว”
จ่างซุนเลี่ยนัยน์ตาพลันหรี่ลง กล่าวว่า “ยังมีเวลาสามเดือน พูดถึงเรื่องพวกนี้ยังเร็วไปหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นหากเพราะศัตรูบุกโจมตีครั้งใหญ่ก็ไปกล่าวโทษลงที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่เห็นได้ว่าไม่เหมาะควรยิ่งนัก”
“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น แค่ไม่อยากให้ช่วงนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก”
ฉินฉู่เคาะนิ้วพลางกล่าวลอยๆ “แต่เห็นชัดยิ่ง หลินสือเอ้อร์คนนี้เป็นตัวปัญหา ทำให้ข้าไม่อาจไม่เกิดความคิดแง่ลบบางอย่างต่อเขา”
จ่างซุนเลี่ยโมโหอยู่บ้าง “ทำศึกดุเดือดนี่ให้เสร็จค่อยพูดเรื่องพวกนี้เถอะ!”
ทว่าที่ทำให้พวกเขาจ่างซุนเลี่ยคาดไม่ถึงคือ ศัตรูถึงกับมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน!
…
วู้ๆๆ…
เสียงสัญญาณเขาสัตว์ดังขึ้นจากพื้นราบที่อยู่ห่างไกล สะท้อนกังวานกลางฟ้าดิน
เงาร่างชิดถี่แน่นขนัดดั่งกระแสน้ำโหมปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวระลอกคลื่นสีทมิฬมืดฟ้ามัวดิน มุ่งหน้ามาทางค่ายหมายเลขเจ็ด
นั่นคือกองทัพพ่อมดเถื่อน มีมากถึงหลายหมื่นคน!
แต่ละคนสวมเกราะถืออาวุธ ไอสังหารแผ่ซ่าน เมื่อเกาะกลุ่มรวมตัว ไอสังหารน่าหวาดกลัวพุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ พาให้ฟ้าดินตื่นตระหนก
พริบตานั้นทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดถูกทำให้แตกตื่น กองทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างรับมือไม่ทันอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะมาเยือนล่วงหน้าหนึ่งวัน!
“เร็วเข้า! เตรียมตัวรบ!” เสียงคำรามดุดันดังต่อเนื่องเป็นระลอก
“พี่น้องทุกคน ไอ้สวะพ่อมดเถื่อนกล้าวิ่งมารนหาที่ตาย นี่แหละคือเวลาเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญของพวกเรา พวกเจ้าเตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม!?”
เสียงตะโกนหาญกล้าเร้าระทึกดังขึ้นทุกหนแห่งภายในค่าย
ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดประดุจสัตว์ปีศาจที่ซุ่มรอมาเนิ่นนานตื่นขึ้นแล้ว เผยเขี้ยวเล็บเหี้ยมโหดดุดัน!
เรือรบดำเกิงเหิน เรือรบอินทรีเหิน เรือรบวีรชนม่วง… เรือรบนานาชนิดส่งเสียงกัมปนาททะยานขึ้นฟ้า
นี่ก็คือศึกสงคราม หาใช่การต่อสู้เพียงลำพังไม่!
เพียงชั่วขณะ บริเวณนี้ทั้งแถบเมฆลมปั่นป่วน ไอสังหารราวไฟสงครามทะลวงห้วงฟ้า กระแสลมชวนประหวั่นโหมทำลายไร้สุ้มเสียง ย้อมฟ้าดินให้น่าพรั่งพรึงหาใดเปรียบ
จ่างซุนเลี่ยและฉินฉู่สองราชันพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า สีหน้าไม่สะทกสะท้าน นัยน์ตากวาดมองกองทัพพ่อมดเถื่อนที่อยู่ห่างออกไป
แม้ศัตรูปรากฏตัวล่วงหน้าหนึ่งวัน ทว่าสำหรับราชันผู้ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน พวกเขาไม่ได้รู้สึกตกใจหรือเกินความคาดหมาย
การรบ ต้องใช้ยุทธวิธีหลากหลาย!
เรื่องไม่คาดฝันยิบย่อยเช่นนี้เห็นบ่อยจนชินตาแล้ว
เพียงแต่ไม่ทันไร จ่างซุนเลี่ยและฉินฉู่ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ความเยือกเย็นและสงบนิ่งแต่เดิมได้รับผลกระทบ สีหน้าจริงจังอึมครึมอย่างยากพบเห็น
ในกองทัพศัตรูถึงกับมีราชันเถื่อนสี่คนบัญชาการ!
นี่ต่างจากในข้อมูลข่าวสารที่บอกไว้ว่ามีราชันสองคนบุกโจมตีโดยสิ้นเชิง!
………………..