1955 vs 1956 Ink Stone_Romance
ตอนที่ 1955
ความรู้สึกของการมีความรัก
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ชายคนนั้นก็ไม่มีหน้าอยู่ตรงนั้นต่อไป เขารีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
พอหลินเฟิงเห็นก็พูดกับอวิ๋นหู่ “นายเคยได้ยินเซียวจิ่งพูดเยอะขนาดนี้ไหม?”
“ไม่” อวิ๋นหู่เห็นอีกฝ่ายเข้าใกล้ จึงถือถังป๊อปคอร์นเขยิบเข้าไปชิด
ฝ่ายหลินเฟิงกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เอาแต่กระซิบว่า “พวกเราแข่งกับเขามาตั้งหลายนัด ฉันไม่เคยได้ยินเขาพูดเยอะขนาดนี้เลย วันนี้เจ้าหมอนี่คงเอาโควตาพูดทั้งปีมาพูดเลยมั้ง”
“น่าจะใจร้อนมาก” ป๋อจิ่วยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง เข้าทีมกระซิบด้วย “เขารู้ได้ยังไงว่าลั่วลั่วอยู่ที่นี่?”
หลินเฟิงยืดอก ยิ้มเห็นเขี้ยวเสน่ห์ “ย่อมเป็นคนรู้การณ์ล่วงหน้าอย่างฉันที่บอกเขา”
“ทำได้ดีมาก” ป๋อจิ่วพูดเสียงดึงดูดใจ “ไม่คิดว่าพี่หลินจะฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย”
หลินเฟิง…ทำไมถึงไม่รู้สึกเหมือนถูกชมเลยล่ะ
วันนี้ช่างไม่เหมือนกับทุกวัน ทีมสองคนกลายเป็นสี่ จากนั้นก็กลายเป็นหก แถมยืนเด่นอยู่ตรงนั้น หน้าตาของแต่ละคนยังอยู่ในระดับแถวหน้าด้วย ย่อมทำให้ทุกคนจ้องมาทางนี้
“เฮ้ คงไม่มีใครจำพวกเราได้หรอกนะ?” หลินเฟิงถามอีก
ป๋อจิ่วเหลือบมอง “พี่รู้ตัวช้าจัง”
“เฮ้ย ทำไงดีล่ะ” หลินเฟิงไม่อยากโดนวิ่งไล่ตาม ยิ่งตอนนี้สภาพของเขายังไม่ดีอยู่ด้วย
ป๋อจิ่วเหยียดตัวตรง “พอถึงเวลาตรวจตั๋วเข้าโรงหนัง ก็จะไม่มีใครจ้องพี่อีก”
หลินเฟิงรู้สึกว่าความคิดของเธอใช้ได้ แถมพอนั่งลง ย่อมต้องเหมือนคนอื่นๆ แน่
ทว่าเมื่อผ่านไปครึ่งนาที ก็รู้สึกถึงสิ่งทีผิดปกติ
เพราะแถวที่นั่งนั้นมีแค่คู่ชายหญิง มีแค่เขากับอวิ๋นหู่ที่เป็นคู่ชายชาย
เขายังรู้สึกด้วยว่าสาวสองคนที่นั่งข้างหน้าชอบหันหลังมาดูพวกเขา เขาช่างใสซื่อจริงๆ ทำไมถึงไปเชื่อคำพูดเจ้าแบล็กไปได้!
นี่เหรอที่บอกว่าไม่มีใครจ้อง?
หลินเฟิงอยากจะกลบเกลื่อนความรู้สึกกระอักกระอ่วน จึงยื่นมือกะจะคว้าป๊อปคอร์นเข้าปาก แต่ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะเผลอจับมืออวิ๋นหู่โดยบังเอิญ จึงสะดุ้งราวกับสัมผัสโดนกระแสไฟฟ้า รีบอธิบายว่า “เอ่อ ฉันแค่อยากกินป๊อปคอร์น”
“ฉันรู้” อวิ๋นหู่พูด แต่ไม่ปล่อยมืออีกฝ่าย แถมยังประสานนิ้วกับหลินเฟิงด้วย
ในโรงหนังมืดมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ไม่มีใครเห็นสิ่งที่พวกเขาทำกัน
แต่หลินเฟิงรู้สึกว่าความอบอุ่นที่ประสานมือกันร้อนขึ้นทุกที ร้อนจนเขาต้องเบือนหน้าออกไป หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็น หรือแค่คิดว่าพวกเขากำลังประสานมือกัน
คนทั้งหกต่างดูหนังไม่รู้เรื่อง ฉินมั่วเอามือทาบหลังป๋อจิ่ว เล่นเส้นผมเธอเหมือนจงใจแต่ก็เหมือนเผลอ
จู่ๆ ก็เอียงตัวมาหาเธอเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นได้ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ต่อไปเวลามาดูหนัง พวกเรามากันแค่สองคนเถอะ”
ป๋อจิ่ว “หือ?” เลิกคิ้วนิดๆ เหมือนถาม
ฉินมั่วตอบอย่างมีจังหวะจะโคน ยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างสง่า “เอาก้างขวางคอมาเยอะขนาดนี้ ทำอะไรก็ไม่สะดวก แต่ไม่จำเป็นหรอก บางอย่างเราทำที่บ้านดีกว่า เพราะที่บ้านมีแค่เธอกับฉันสองคน จะทำอะไรก็ได้…”
……………………………………………..
ตอนที่ 1956
สามคู่ชู้ชื่น
ป๋อจิ่วชะงัก หันไปไอเบาๆ คนที่หน้านิ่งพูดเรื่องแบบนี้ได้คงมีท่านเทพแค่คนเดียว
แม้ทั้งสองจะไม่ได้จับมือกัน แต่ฉินมั่วกลับแกะอมยิ้มให้ส่งให้ถึงปากป๋อจิ่ว
ลั่วลั่วคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งคนที่หยิ่งยโสจนไม่เห็นคนอื่นในสายตาจะทำอะไรแบบนี้เป็น แถมไม่ขัดกับบุคลิกตัวเองสักนิด แถมสองคนนี้อยู่ด้วยกันยังดูเหมาะสมกันอีกต่างหาก
ป๋อจิ่วสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำเหมือนพวกพังก์ ดูเท่เหลือเกิน
และเมื่อมองดูเช่นนี้ มือขวาของลั่วลั่วก็เผลอไปโดนไหล่ของเซียวจิ่งเข้าพอดี
เซียวจิ่งเอียงศีรษะ พูดน้อยเหมือนเดิม “ป๊อปคอร์น?”
ลั่วลั่วโบกมือปฏิเสธ เธอรู้จักกับเขามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกระอักกระอ่วน
คงเพราะเพิ่งเจอกับเรื่องนัดดูตัว ทำให้เธอจนปัญญาจะมองหน้าเขา
อันที่จริงหากได้อยู่ข้างตัวผู้ชายคนนี้ ย่อมยากที่จะมองผู้ชายคนอื่น
เมื่อก่อนเขาชอบสวมชุดทีม แต่เดี๋ยวนี้เขากลับสวมเสื้อกาวน์ตัวยาวสีขาว
ลั่วลั่วรู้ดีถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับเขา นับตั้งแต่เธอรู้ประวัติครอบครัวชายหนุ่มก็ไม่ละเมอเพ้อพกคิดเรื่องอื่น แต่หากเทียบกับสถานะครอบครัวที่น่าตกใจของชายหนุ่มแล้ว ประวัติการศึกษาของเธอออกจะน่าหดหู่ น้อยคนที่อายุเกิน 20 ปีแล้วจะเล่นกีฬาชนิดนี้ได้ดีอีก เธอเข้าวงการเร็วเกินไป ตอนนั้นเป็นเพราะความชอบแท้ๆ ทำให้เธอเลิกคิดเรื่องเรียนเพื่อจะเข้าทีมอาชีพให้ได้ แต่เมื่อได้สัมผัสกับตัวเอง ถึงได้รู้ว่ามีเด็กใหม่ๆ เข้ามาไลฟ์สดและเข้าคลับลีกส์อาชีพมากมาย
เธอเล่นได้ไม่เลวก็จริง แต่ก็อุตส่าห์ฝึกซ้อมนานกว่าเพื่อนเพื่อที่จะได้โดดเด่นกว่าคนอื่น ไม่เพียงแต่เธอ คนส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้
คนนอกไม่ข้าใจว่าพวกเธอกดดันที่ตรงไหน ในเมืองเล็กๆ อาชีพที่เกี่ยวกับโลกออนไลน์ยังไม่เจริญมาก ฉะนั้นไม่ว่าจะพัฒนาขนาดไหน ในสายตาของผู้คนก็เห็นแค่ว่าเราเล่นเกมบ้าๆ บอๆ เท่านั้น
หากเทียบกับคนรุ่นเดียวกันที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ การเล่นเกมระดับลีกส์อาชีพถือเป็นเรื่องฝันกลางวัน
เวลานั้นไม่เหมือนตอนนี้ที่เรายังได้เงินเดือนประจำ
ด้วยเหตุที่ยังไม่ได้ลงแข่งขัน หลายๆ คนบอกตัวเองว่าต้องสู้ให้ได้ ขอแค่ผ่านมันไปก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
ลั่วลั่วไม่เคยกล่าวโทษการตัดสินทำเรื่องบางอย่างของเด็กสาวบางคน คนที่ไม่เคยผ่านมาก่อนย่อมไม่เข้าใจว่าพวกเธอต้องแบกรับแรงกดดันมากแค่ไหน ทั้งยังคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องสู้ต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ
เมื่อมาถึงสนามแข่ง เหล่าแฟนคลับจะเห็นเพียงด้านที่สดใสที่สุดของเรา
พวกเธอต้องซ้อมมากกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน แต่ละสนามแข่งล้วนมีข้อมูลบันทึกเอาไว้
เราจะต้องอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เกมเมอร์ที่ซ้อมร่วมกันในจำนวนกว่าห้าสิบคน จะเหลือแค่คนสองคนที่เป็นตัวสำรองในท้ายที่สุด ส่วนคนที่เหลือจะได้รับเงินซื้อตั๋วรถไฟกลับบ้าน นี่แหละคือชีวิตที่แท้จริงของพวกเธอ
เธอกับเขาเหมือนอยู่กันคนละโลก เขาคือคนที่เล่นเกมทั้งยังทำวิจัยได้ กระทั่งยังสร้างผลงานเป็นเลิศให้วงการแพทย์ได้อีก
เธอชอบเงินมาก เพราะหากไม่มีเงินก็จะไม่มีความรู้สึกปลอดภัย แต่เขาสิไม่เคยขาดเงิน เป็นคนที่เก่งกาจเหนือใคร
ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดจะบอกรักเขา
จำได้ว่าเมื่อแข่งชิงแชมป์ประเทศครั้งแรกแล้วทีมเซียงหนานชนะ เธอเคยไปหาเขาที่มหาวิทยาลัย ทว่า…
…………………………………………..