ตอนที่ 1757

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,757 : สหายคอเดียวกัน

 

ถึงแม้พวกมันจะไม่กลัวว่ากู่ลี่จะลงมือรุนแรงเกินไป แต่อย่างน้อยๆน่ากลัวว่าจ้าวจี้จะโดนสั่งสอนบทเรียนอย่างหนัก!

 

“ใช่ข้าตั้งใจจะงัดกับเจ้า แล้วมีอันใดเล่า? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดสั่งสอนบทเรียนให้ข้า?”

 

เจอคำถามของจ้าวจี้ กู่ลี่ยิ้มเย้ยกล่าวตอบไปด้วยสายตาดูแคลน

 

“เจ้า!!”

 

ได้ยินวาจานี้ของกู่ลี่ สีหน้าจ้าวจี้คล้ายสลับไปมาระหว่างเขียวขาว อนิจจามันไม่อาจกล่าววาจาอื่นใดออกมาได้

 

แถมหากลงมือไปคนที่เจ็บสมควรเป็นมันไม่ใช่กู่ลี่

 

ด้วยพลังฝีมือของมันลำพังแค่ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมันยังไม่มีปัญญาจะสู้ นับประสาอะไรกับกู่ลี่ที่บรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด?

 

“ถ้าไม่กล้าก็หุบปากไปเสีย อย่าได้สะเออะพล่ามอันใดต่อหน้าข้า!”

 

กู่ลี่มองเหยียดกล่าวออกด้วยความรังเกียจ ก่อนที่จะหันมามองยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “ศิษย์น้องหลิงเทียนข้ารู้สึกยินดียิ่งที่ได้รู้จักเจ้า พวกเราไปกันเถอะ วันนี้ไปดื่มกันสักครา!”

 

หลังจากกล่าวจบคำ กู่ลี่ก็เหินร่างขึ้นฟ้านำไปทันที

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปพยักหน้าให้หวังพี หวางเฟยเซวียนแล้วก็หลิวเจี้ยน ก่อนที่จะเหินร่างจากไป…แผ่นหลังอันสง่างามของเขาค่อยๆหายไปจากสายตาของผู้คน…

 

เรื่องสนุกสนานวันนี้เป็นอันจบลง…

 

“อ๊าคคคคค!!”

 

หลังกู่ลี่กับต้วนหลิงเทียนจากไป จ้าวจี้ที่ร่างสั่นระริกไปด้วยความโกรธก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นยอดเขา ในน้ำเสียงอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นไม่ยินยอม

 

‘กู่ลี่ หลิงเทียน…ข้าจ้าวจี้ขอสาบาน ว่าข้าจะไม่มีวันเลิกรากับพวกเจ้า! ข้าไม่มีวันเลิกรากับพวกเจ้า! ไม่มีวัน!!’

 

จ้าวจี้ตะโกนในใจดังก้อง หากความคิดสามารถฆ่าคนได้ น่ากลัวว่าต่อให้กู่ลี่กับต้วนหลิงเทียนมีร้อยชีวิตก็ไม่พอตาย…

 

“เจ้าทึ่มนั่นโชคดียิ่ง…กระทั่งศิษย์พี่กู่ลี่ยังมาช่วย…”

 

เมื่อเรื่องราวจบลงเช่นนี้ หวางเฟยเซวียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก สำหรับนางนี่นับเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดแล้ว

 

หากปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนลงมือจริงๆ นางเป็นกังวลนัก

 

ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามกู่ลี่มา ก็ไปดื่มสุราทั้งรับประทานอาหารที่บ้านของกู่ลี่อย่างสบายใจ

 

ดั่งคำ พบสหายรู้ใจดื่มกันพันจอกไม่เมามาย คุยไม่ถูกคอครึ่งคำก็มากเกิน…ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถูกชะตากับกู่ลี่นัก อีกฝ่ายนับว่าเป็นสหายคอเดียวกันกับเขาเลยทีเดียว

 

“อ่า…สุราดี! ว่าแต่พี่กู่ข้าถามท่านจริงๆเถอะ วันนี้ที่มาช่วยข้านี่เพราะท่านถูกใจข้าแค่นั้นจริงๆ?”

 

หลังยกซด 3 จอกติด ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมา

 

“เพียงเท่านั้น…”

 

กู่ลี่กล่าวตอบ หากทว่าเสียงกลับอ่อนลง

 

“จริงๆ?”

 

ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องตากู่ลี่ไม่วาง ราวกับจะเค้นหาคำตอบจากแววตาอีกฝ่าย

 

“เอาล่ะๆ ข้ายอมเจ้าแล้วเลิกจ้องข้าที…ให้ตายเถอะ!!”

 

ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจและวิญญาณ กระทั่งกู่ลี่ก็ไม่อาจบังคับให้ดวงตาของมันโป้ปดได้ เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนจ้องเขม็งแบบนี้มันก็จนปัญญาจะปิดบังสืบไป

 

มันเทสุราเติมจอกให้เต็ม ก่อนที่จะยกซดรวดเดียวหมดจอกค่อยเปิดประตูเห็นภูผากล่าว “เหตุผลที่ข้าไปที่นั่นเพราะท่านบรรพจารย์บอกข้า…ท่านบรรพจารย์ยังบอกข้าอีกว่าพรสวรรค์ของเจ้าเหนือล้ำข้า กอปรกับข้าออกจากการปิดด่านได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินแต่ชื่อเจ้าไปทั่วตำหนักหลัก จึงทำให้ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าเป็นเช่นไร…”

 

“และความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้ามีวิสัยทัศน์มิเหมือนผู้อื่น และนับว่าเป็นคนไม่ธรรมดาๆจริงๆ”

 

กู่ลี่กล่าว

 

“ท่านบรรพจารย์?”

 

ต้วนหลิงเทียนถึงกับงงไปทันใด ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าท่านบรรพจารย์ที่กู่ลี่ว่าเป็นใคร

 

เท่าที่เขารู้บิดาของกู่ลี่ก็เป็นถึงอาวุโสผู้พิทักษ์แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนรุ่นเดียวกับจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ นั่นหมายความว่ามีอาวุโสสูงมากๆแล้ว

 

ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ น่ากลัวว่ายากจะหาคนที่มีฐานะสูงกว่าบิดาของกู่ลี่ได้!

 

การที่กู่ลี่เรียกหาว่าบรรพจารย์ นั่นหมายความว่าต้องมีฐานะเหนือกว่าบิดา!

 

“สระวิญญาณ…”

 

เมื่อเห็นใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความสงสัยงุนงงอกมา กู่ลี่ก็ค่อยๆปริปากกล่าววาจาออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

“อ้อ! ที่แท้ท่านผู้อาวุโสก็คือบรรพจารย์ของพี่กู่!”

 

ด้วยมีกู่ลี่กล่าวเตือน ทำให้ต้วนหลิงเทียนนึกออก หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคงยากที่จะนึกได้ว่าบรรพจารย์ที่กู่ลี่กล่าวหมายถึงใครกันแน่

 

บรรพจารย์ที่กู่ลี่กล่าว ก็คือชายชราแขนเดียวที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา!

 

“เช่นนั้นหมายความว่าท่านผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ ของอาจารย์พี่กู่งั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

 

“ท่านบรรพจารย์เป็นอาจารย์ของบิดาข้า ส่วนข้ายังไม่มีอาจารย์”

 

กู่ลี่ยิ้มกล่าว “ท่านอาจารย์ของข้าสมควรรอคอยข้าอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…”

 

“หืม? พี่กู่กำลังจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ใช่”

 

กู่ลี่พยักหน้า “เมื่อพลังฝึกปรือของข้าทะลวงผ่านอริยะเซียนจนถึงเซียนมนุษย์เมื่อใดข้าจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบน…การขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนเป็นเป้าหมายของข้ามาโดยตลอด!”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ไม่ใช่กู่ลี่คนเดียวที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปภูมิภาคเบื้องบน

 

อัจฉริยะมากพรสวรรค์หลายต่อหลายคนล้วนตั้งเป้าไว้ว่าจะไปโลดแล่นบนภูมิภาคเบื้องบนทั้งสิ้น เพราะมีเพียงที่นั่นถึงจะเป็นศูนย์รวมยอดฝีมือที่แท้จริงของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

 

ที่นั่นมีสุดยอดฝีมืออันทรงพลังที่ในภูมิภาคเบื้องล่างไม่อาจมีได้ ดำรงอยู่…

 

“อีกนานไหม?”

 

ต้วนหลิงเทียนถาม

 

“อย่างมากก็หนึ่งปี”

 

กู่ลี่ยิ้มบางๆ ใบหน้าเผยความมั่นใจถึงที่สุด ว่าไม่เกินหนึ่งปีมันต้องทะลวงถึงเซียนมนุษย์ได้แน่!

 

“เร็วขนาดนั้น!”

 

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

 

“หากเทียบกับคนอื่นมันอาจจะเร็ว…แต่ข้าคงไม่เร็วเท่าน้องหลิงเทียนหรอก ข้าเชื่อว่าอย่างน้องหลิงเทียน ไม่ทันถึง 50 ก็ทะลวงถึงเซียนมนุษย์ได้แล้ว!”

 

กู่ลี่นั้นชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถของต้วนหลิงเทียนนัก ยังตีค่าต้วนหลิงเทียนไว้สูงลิบ!

 

“น้องหลิงเทียน หากเจ้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์เจ้าจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยหรือไม่?”

 

กู่ลี่ถาม

 

“ข้าไปแน่!”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างไร้ลังเล

 

เขาจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนแน่นอน ทว่าคงไม่อาจไปด้วยด่านพลังเซียนมนุษย์ได้..

 

ด้วยระดับพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ เกรงว่าคงกินเวลาอีกนานกว่าจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์…เขาไม่อาจรอได้

 

เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าทันทีที่ด่านพลังของเขาบรรลุขอบเขตอริยะเซียนเมื่อไหร่ เขาจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทันที เพื่อตามหาเค่อเอ๋อกับลูกเขา

 

“ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกเราจักเหมือนกัน และไม่คิดเสียเวลาอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่างนี้นานนัก…ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้ายังต้องพยายามให้มากขึ้น จะได้รีบไปลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องบน ยามน้องหลิงเทียนขึ้นมาข้าจะได้ดูแลเจ้าได้”

 

กู่ลี่กล่าวจบก็หัวเราะออกมา

 

“ข้าเชื่อว่าพี่กู่ต้องทำได้ดี และลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องบนได้แน่”

 

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาเช่นกัน

 

บางคนนั้นรู้จักกันมาทั้งชีวิต แต่อาจไม่ใช่สหาย

 

บางคนพบกันเพียงครึ่งวันคุยกันถูกคอ ก็สนิทกันดั่งสหายที่รู้จักกันมาสิบปี

 

ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็เช่นกัน แม้จะพบกันได้วันเดียว แต่ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันในเวลาอันสั้น นั่นเพราะนิสัยบางอย่างกลับละม้ายคล้ายคลึงกัน เรียกว่าเป็นสหายคอเดียวกันก็ว่าได้…

 

“น้องหลิงเทียนวันนี้ที่ยอดเขาวังนภาข้าเองก็ได้เห็นตอนที่เจ้าประมือกับพี่น้องสกุลลั่ว…เขตแดนเจ้ากับปราณแรกกำเนิด ดูเหมือนจะคล้ายกันกับลี่เฟิงที่ปรากฏตัวในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่มีผิดเพี้ยน นี่พวกเจ้ารู้จักกันจริงๆหรือ?”

 

ทันใดนั้นกู่ลี่คล้ายนึกอะไรได้ออก พอสบโอกาสเหมาะก็กล่าวถามออกมาทันที

 

“พี่กู่แล้วท่านรู้ได้อย่างไรหรือว่าเขตแดนกับปราณแรกกำเนิดของข้าคล้ายกับของลี่เฟิง?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย

 

หากเป็นคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้าหรือคฤหาสน์คลื่นคลั่งเป็นคนพูดว่าเขตแดนกับปราณแรกกำเนิดของเขาเหมือนลี่เฟิงเขาจะไม่แปลกใจอะไรเลย

 

เพราะในวันประลองยอดนักลบฟ้าลิ่วล่องมีคนของทั้ง 2 คฤหาสน์หลายคน

 

แต่ปัญหาก็คือผู้ที่กำลังกล่าวถามเขาตอนนี้คือกู่ลี่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่ใช่คนของคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคลื่นคลั่ง…

 

“การประลองยอดนักรบครั้งที่แล้ว พอดีสหายข้าคนหนึ่งก็ไปชมดูเช่นกัน และสหายข้าคนนี้ก็เป็นปรมาจารย์ยันต์เต๋าที่เชี่ยวชาญอาคมเซียนคั่นฉ่องสะท้อนลักษณ์…วันนั้นสหายข้าก็ได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดลงในยันต์เต๋าให้ข้า””

 

กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “ยันต์เต๋าคันฉ่องสะท้อนลักษณ์ของสหายข้าแม้ไม่อาจบันทึกได้ทุกเหตุการณ์ในหุบเขาหลิงหลง…แต่ส่วนที่บันทึกได้ก็มีการประลองของลี่เฟิง ทำให้ข้าสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าเขตแดนและปราณแรกกำเนิดของเจ้าละม้ายคล้ายกับลี่เฟิงมาก”

 

“นอกจากนั้นข้ายังได้ยินมาว่า เจ้าเป็นคนกล่าวออกมาเองในวันแรกที่เข้าร่วมวังนภา ว่าเจ้าเป็นสหายของลี่เฟิง…”

 

กล่าวถึงตรงนี้กู่ลี่ก็นิ่งมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง รอต้วนหลิงเทียนตอบกลับ

 

“พี่กู่แม้พวกเราจะพึ่งพบกันแค่วันเดียว แต่ข้ารู้สึกเหมือนรู้จักท่านมานาน เช่นนั้นเรื่องเท่านี้ข้าก็ไม่คิดจะปิดท่าน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

 

แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้จักกู่ลี่ได้ไม่ทันถึงวันดี แต่เขาย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร จึงเชื่อว่าคนอย่างกู่ลี่ยากที่จะทรยศเขาได้

 

“โอ้!?”

 

ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนกู่ลี่ย่อมอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที

 

“อันที่จริงลี่เฟิงที่ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องวันนั้น ก็คือข้าเอง…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบไปตรงๆ

 

“ว่าอะไร!?”

 

กู่ลี่ถึงกับตะลึงกับวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน “น้องหลิงเทียนนี่มันเรื่องอันใดกัน เท่าที่ข้าเห็นเจ้ามิได้มีร่องรอยการปลอมแปลงโฉม…ส่วนลี่เฟิงนั่นที่ข้าเห็นจากยันต์เต๋าคันฉ่องสะท้อนลักษณ์กล่าวตรงๆ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าที่หล่อเหลาสักเพียงนิด และเรื่องรูปโฉมผู้จัดการประลองก็สมควรตรวจสอบแล้ว”

 

“นั่นเพราะข้าสำเร็จเคล็ดวิชาลับแปลงโฉมชุดหนึ่งมา ทำให้ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าด้วยปราณแรกกำเนิดได้”

 

ในขณะที่กล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างอัศจรรย์ ในที่สุดท่ามกลางสายตาตะลึงพรึงเพริดของกู่ลี่ ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นคนละคน

 

และใบหน้านี้ก็ไม่นับว่าแปลกตากู่ลี่แต่อย่างไร

 

ใบหน้าลี่เฟิงที่มันเคยเห็น ก็คือใบหน้านี้!

 

“สวรรค์! ข้ามิคิดเลยว่าใต้หล้ากลับมีเคล็ดวิชาลับแปลงโฉมเลิศล้ำเช่นนี้อยู่ด้วย!”

 

ครู่ต่อมากู่ลี่ก็คืนสติ ยังอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาด้วยความชื่นชม

 

“ว่าแต่ไฉนน้องหลิงเทียนต้องปลอมตัวไปเข้าร่วมประลองด้วยเล่า…มีเรื่องใดกวนใจเจ้าหรือ?”

 

เรื่องนี้กู่ลี่ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทันที

 

“พี่กู่ อันที่จริงเหตุผลที่ข้าไปเข้าร่วมประลองยอดนักรบฟ้าลี้ลับนั่น เพราะว่า…”

 

ในเมื่อไม่ได้คิดปกปิดตัวตนลี่เฟิงกับกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังสาเหตุ จึงกล่าวเหตุผลออกไปทันที

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…”

 

หลังได้ฟังกู่ลี่ก็พยักหน้าสองตากระจ่าง “ด้วยวิธีนี้น้องสาวเจ้าที่เรียกว่าเฉวี่ยไน่ ก็สามารถรอดพ้นสัญญาวิวาห์บัดซบนั่นได้เพราะฉีจิ้งนั่นตายตก นางคงซาบซึ้งเจ้ามากเลยสิ”

 

“ก็ใช่ แต่พี่กู่…ฉีจิ้งนั่นมันยังไม่ตาย”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเบาๆ ในแววตาเผยประกายเย็นเยือกโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงฉีจิ้ง

 

“เป็นไปได้อย่างไร!?”

 

กู่ลี่ที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่โพล่งกล่าวออกมาอย่างเหลือเชื่อ “แม้ภาพเรื่องราวที่สหายข้าส่งมามันจะมิได้สมบูรณ์แบบ แต่ข้ายังเห็นฉากที่เจ้าลอบยิงรังสีกระบี่ทะลวงหว่างคิ้วมันชัดเจน…มันไม่อาจไม่ตาย!”