ตอนที่ 183-1 กลับเมืองหลวงเสียที

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เสิ่นเวยทิ้งเซียงเหมยกับหลี่จื้อหย่วนไว้ในห้อง พวกเจ้าพูดคุยทะเลาะกอดคอร้องไห้กันตามสบาย พูดเสร็จทะเลาะเสร็จร้องไห้เสร็จแล้วก็รีบไปใช้ชีวิตดีๆ เสีย ข้าขี้เกียจจะสนใจพวกเจ้าแล้ว

 

 

ตกบ่ายเสิ่นเวยเพิ่งจะได้เห็นเซียงเหมยและครอบครัว ในมือหลี่จื้อหย่วนอุ้มนิวหนิ่วอยู่ เซียงเหมย

 

 

อยู่ข้างกายเขา ดวงตาแดงก่ำ แต่กลับมีความเคอะเขินอย่างถึงที่สุด

 

 

“คุณหนู” เซียงเหมยยังไม่ทันเอ่ยปากน้ำตาก็ร่วงลงมาก่อนแล้ว สะอื้นไห้พูดไม่ออก

 

 

หลี่จื้อหย่วนเห็นท่าทีก็ส่งนิวหนิ่วไปไว้ในอ้อมอกนาง “คุณหนูเสิ่น ท่านช่วยภรรยาและลูกสาวของข้าไว้ก็เท่ากับว่าได้ช่วยครอบครัวของข้า ข้าหลี่จื้อหย่วนไม่ใช่คนลืมบุญคุณ บุญคุณนี้ข้าจะจดจำไว้ ตอนนี้พวกเราอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแล้ว คุณหนูเสิ่นโปรดเมตตาปล่อยภรรยาและลูกสาวของข้ากลับบ้าน ค่าตัวพวกนางเท่าไร ข้าน้อยยินดีจ่ายให้สิบเท่า อ้อไม่ ร้อยเท่าเพื่อไถ่ตัวพวกนาง หวังว่าคุณหนูจะช่วยให้ข้าน้อยสมปรารถนา” เขามองเสิ่นเวยแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ

 

 

เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “หรือว่าพี่เซียงเหมยไม่ได้บอกท่านหรือว่านางกับนิวหนิ่วเป็นนั้นอิสระ” คืนสิบเท่าร้อยเท่า พูดราวกับว่าเขามีเงินเยอะนักอย่างนั้นแหละ

 

 

หลี่จื้อหย่วนตกตะลึง มองภรรยาของตน เซียงเหมยเช็ดน้ำตาตรงหางตา ถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห “ใครจะกลับบ้านกับเจ้า ใครให้เจ้าไถ่ตัว พวกข้าแม่ลูกติดตามคุณหนูมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนใจร้อน ข้ายังพูดไม่ทันจบเจ้าก็จะลากข้ามาพบคุณหนูให้ได้ ข้าก็คิดว่าเจ้าจะทำอะไรเสียอีก ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ แต่ไหนแต่ไรคุณหนูไม่เคยให้ข้ากับนิวหนิ่วลงสัญญาขายตัวเป็นทาสเลย กระทั่งยังเตรียมจะส่ง

 

 

นิวหนิ่วไปเรียนหนังสือในโรงเรียนเมื่อนางโตกว่านี้ พวกข้าติดตามคุณหนูมีชีวิตที่สบายใจยิ่งนัก ไม่กลับไปกับเจ้าหรอก”

 

 

นิวหนิ่วในอ้อมอกนางก็เห็นคล้อยตามเช่นกัน “ใช่ๆ ติดตามคุณหนู คุณหนูใจดี คุณหนูใจดีที่สุด” นางยกยิ้มชื่นมื่นให้เสิ่นเวย น่ารักอย่างถึงที่สุด

 

 

เสิ่นเวยยิ้ม ยื่นมือออกไปหานิวหนิ่ว นิวหนิ่วกลิ้งลงมาจากอ้อมอกมารดานางเข้าไปในอ้อมอกเสิ่นเวยแทนทันที “คุณหนูดีที่สุด” แขนของนางกอดคอของเสิ่นเวยแนบแน่น ราวกับว่ากลัวใครจะชิงตัวนางไป

 

 

หลี่จื้อหย่วนแสดงสีหน้าสะเทือนใจ ความซาบซึ้งในเบื้องลึกจิตใจก็มากยิ่งขึ้น เขาสะบัดเสื้อคลุมคุกเข่าลงทันที เสิ่นเวยรีบให้คนมาห้าม ทว่าเซียงเหมยกลับกล่าว “คุณหนู ท่านให้เขาคุกเข่าไปเถอะ ไม่มีท่านก็ไม่มีพวกข้าแม่ลูก อย่างไรเสียนิวหนิ่วก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขามิใช่หรือ เขาจะขอบคุณท่านก็เป็นเรื่องสมควร” เซียงเหมยกล่าวด้วยความจริงจังมากเป็นพิเศษ

 

 

เสิ่นเวยกระตุกมุมปาก เด็กผู้หญิงเช่นนางให้ขุนนางราชสำนักมาคุกเข่าให้ จะได้อย่างไรกัน แต่เพราะว่าคำยืนกรานของสองสามีภรรยาคู่นี้ เสิ่นเวยยังคงต้องรับการคารวะจากหลี่จื้อหย่วน “คุณหนูเสิ่น บุญคุณใหญ่หลวงไม่เพียงแต่พูดกล่าว ข้าน้อยจะไม่เอ่ยคำพูดสวยหรู หลังจากวันนี้ก็ขอให้ท่านดูการกระทำของข้าน้อยเองแล้วกัน”

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับกล่าว “ใต้เท้าหลี่พูดผิดแล้ว ตอนที่ข้าช่วยคนไม่ได้คิดถึงการตอบแทนของใคร ไม่ได้ลำบากอะไรเลย เพียงแค่ไม่ทำให้ต้องละอายต่อใจของตนก็เท่านั้นเอง เอาล่ะ ในเมื่อพวกท่านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ท่านก็พาพวกนางไปเถอะ” จากนั้นจึงกล่าวกับเซียงเหมย “เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่ชอบเห็นคนร้องห่มร้องไห้ที่สุด ตอนนี้สามีท่านดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมพระคลัง อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ท่านยังกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกหรือ นิวหนิ่ว แม่เจ้าดูเหมือนปราดเปรียว แต่ความจริงแล้วทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หลังจากนี้หากมีใครมารังแกพวกเจ้า เจ้าก็มาหาคุณหนู คุณหนูจะช่วยเจ้าเอง” นางก้มหน้ากล่าวกับนิวหนิ่วในอ้อมอก

 

 

นิวหนิ่วพยักหน้ายิ้มแย้มไม่หยุด “ไปหาคุณหนู ให้คุณหนูช่วย”

 

 

หลี่จื้อหย่วนยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มแต่ไม่พูด ในใจเขาเข้าใจดีว่าคำพูดนี้ตั้งใจพูดให้เขาฟัง และเป็นการเตือนสติเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ไม่พอใจ อีกทั้งยังซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิม ดูท่าแล้วคุณหนูท่านนี้จะเป็นห่วงภรรยาและลูกสาวของเขามากจริงๆ

 

 

เซียงเหมยถูกเสิ่นเวยไล่ออกจากวัดต้าเจวี๋ยด้วยความอาลัยอาวรณ์ ตลกแล้ว หาพ่อของลูกเจอแล้วยังคิดจะอยู่เปลืองเสบียงของนางต่ออีก ฝันไปเถอะ ฉวยโอกาสจากไปเงียบๆ ตอนที่ออกจากจวนมาขอพรครั้งนี้ หากกลับเมืองหลวงแล้วค่อยไปคนที่ตกใจก็จะยิ่งเยอะ ไม่ดีเท่าไรนัก

 

 

หลี่จื้อหย่วนมองภรรยาที่ปาดน้ำตาหันหลังกลับไปมองไม่หยุด โอบไหล่นางแล้วกล่าวปลอบ “ข้ายังต้องอยู่ทำงานในกรมพระคลังอีกหลายปี ออกจากเมืองหลวงไม่ได้พักใหญ่ หากเจ้าตัดใจไม่ได้จริงๆ หลังกลับไปจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้วค่อยส่งเทียบเชิญขอเยี่ยมเยียนก็ได้”

 

 

ลาภที่ได้มาด้วยความทุกข์ ตอนแรกที่นายอำเภอเมืองหนิงผิงผู้นั้นสั่งคนมาทำร้ายเขา โชคดีที่ถูกใต้เท้าโจวผู้แทนพระองค์ที่มาตรวจตราเจียงหนานพบเข้าพอดีจึงถูกเขาช่วยเอาไว้ ใต้เท้าโจวชื่นชมในบุคลิกความสามารถของเขาจึงเก็บเขาไว้ ต่อมาในการสอบบรรจุขุนนางเขาสอบระดับสองได้ลำดับที่ยี่สิบเจ็ด อาศัยความช่วยเหลือจากใต้เท้าโจวก็ได้รับตำแหน่งที่ไม่เลวนักในกรมพระคลัง

 

 

เซวียเซียงเหมยมีสีหน้าดีใจก่อน แต่หลังจากนั้นกลับส่ายหน้า “อย่าเลยดีกว่า ประตูจวนโหวไหนเลยจะเข้าง่ายเพียงนั้น ข้าอย่าสร้างปัญหาให้คุณหนูเลยดีกว่า เดือนหน้าคุณหนูก็จะสมรสแล้ว ข้าควรปักของให้นางเยอะๆ จึงจะถูก”

 

 

“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูสิ! คุณหนูให้มา” นิวหนิ่วที่นั่งเรียบร้อยอยู่ข้างๆ พลันชูกระเป๋าเงินใบเล็กให้แม่นางดู

 

 

เซวียเซียงเหมยรับเข้ามาดูก่อน เป็นกระเป๋าเงินที่งามประณีตจริงๆ ข้างบนปักลายแมวสีขาวตัวเล็กหนึ่งตัว ดูจากรอยเย็บเหมือนเป็นฝีมือของหลีฮวา นางจึงยิ้มแล้วจิ้มจมูกเล็กๆ ของลูกสาว “คุณหนูให้แล้วเจ้าก็เก็บไว้เองสิ!”

 

 

ทว่านิวหนิ่วกลับแสยะปากขึ้น กล่าวอย่างไม่พอใจ “แต่คุณหนูบอกว่าให้เอาให้ท่านแม่” นางชอบกระเป๋าเงินใบนี้จริงๆ

 

 

เซวียเซียงเหมยตกใจ เปิดกระเป๋าเงินออกทันที หยิบของที่พับเป็นสี่เหลี่ยมๆ ออกมา คลี่ออกดู คาดไม่ถึงว่าเป็นตั๋วเงินห้าพันตำลึง

 

 

หลี่จื้อหย่วนเองก็ตกตะลึง “นี่?” คุณหนูหมายความว่าอย่างไร

 

 

“นิวหนิ่ว คุณหนูพูดอะไรกับเจ้า” เบ้าตาของเซวียเซียงเหมยแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

นิวหนิ่วเบิกตาดวงโตที่มึนงงทั้งคู่ เอียงคอคิด ส่ายหน้าแล้วจึงกล่าว “ไม่มี คุณหนูบอกแค่ว่าให้เอากระเป๋าให้ท่านแม่”

 

 

น้ำตาของเซวียเซียงเหมยร่วงลงมาอีกครั้ง ทรุดตัวลงในอ้อมอกของหลี่จื้อหย่วนสะอื้นไห้ ร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกยิ่งนัก คุณหนู ชีวิตนางได้พบคุณหนูที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่ได้ทำเพื่อนิวหนิ่ว นางก็อยากจะหันหลังกลับไปแล้วจริงๆ

 

 

หลี่จื้อหย่วนกอดปลอบภรรยาเสียงเบา แววตามีประกายความสับสนแวบผ่าน คุณหนูเสิ่นผู้นี้เป็นห่วงภรรยาและลูกสาวของเขามากเกินไปแล้ว ชาตที่แล้วครอบครัวเขาสั่งสมบุญบารมีมากมายเพียงใดถึงได้คุ้มครองภรรยาและลูกสาวของเขาเช่นนี้

 

 

ส่งเซียงเหมยไปแล้ว เสิ่นเวยกับหลีฮวาก็ทอดถอนใจ ถอนใจที่ชีวิตคนช่างแปลกประหลาดจริงๆ ตอนแรกพวกนางตั้งใจหาหลี่จื้อหย่วน ผลสุดท้ายไม่ได้อะไรแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เลิกหาแล้วเขากลับมาหาเองถึงที่ สมกับวลีที่กล่าวว่า ‘ย่ำจนรองเท้าเหล็กกสึกไม่พานพบ บทจะพบกลับเจอโดยง่ายไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย’ จริงๆ

 

 

เมื่อส่งเซียงเหมยไปแล้ว ซู่เหนียงก็คุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นเวยทันที เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ “ลุกเดี๋ยวนี้ คุกเข่าทำไม” บอกเป็นนัยให้หลีฮวาไปพยุงซู่เหนียงขึ้น

 

 

ทว่าซู่เหนียงกลับดึงดันไม่ยอมลุก “คุณหนู ซู่เหนียงมีเรื่องจะขอหนึ่งเรื่อง หวังว่าคุณหนูจะตอบรับได้”

 

 

เสิ่นเวยจนปัญญาอย่างยิ่ง “เรื่องอะไร เจ้าลุกขึ้นมาพูดเถอะ หากรับปากได้ข้าจะต้องรับปากแน่นอน” รู้มาจากปากของหลีฮวา ซู่เหนียงผู้นี้เรียบร้อยรู้ประสา ความประทับใจที่เสิ่นเวยมีต่อนางไม่เลวเลยทีเดียว เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ใช้ชีวิตในสังคมนี้เดิมก็ยากลำบากอยู่แล้ว หากช่วยได้เสิ่นเวยก็ยินดีที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย

 

 

ซู่เหนียงยังคงคุกเข่าอยู่ “ซู่เหนียงไม่มีที่จะไป หวังว่าคุณหนูจะรับซู่เหนียงไว้” เดิมนางยังลังเลไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นแล้วว่าคุณหนูปฏิบัติต่อพี่เซียงเหมยอย่างไร นางก็ตัดสินใจได้ทันที

 

 

เมื่อวานคำพูดเหล่านั้นที่คุณหนูพูดกับเซียงเหมยนางอยู่ในห้องด้านในได้ยินหมดแล้ว นางอิจฉาเซียงเหมย ตอนแรกที่นางตกต่ำลดตัวลงมาเป็นนางโลมหากได้พบคุณหนูที่ใจดีเช่นนี้ก็คงจะดีอย่างยิ่ง ต่อให้จะต้องเป็นบ่าวก็คงจะดีกว่าตอนนี้

 

 

พี่เซียงเหมยบอกแล้วว่า เจ้านายที่ดีอย่างคุณหนูใต้หล้านี้หาได้ยากยิ่ง นางโง่หรือไรที่จะพลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ไป

 

 

“แม้ซู่เหนียงจะต่ำต้อยเป็นนางโลม แต่ก็เป็นบุตรสาวในตระกูลที่ดี แขกผู้นั้นที่ไถ่ตัวซู่เหนียงบอกแล้วว่า อนุญาตให้ซู่เหนียงเป็นอิสระ แต่ซู่เหนียงเป็นหญิงสาวตัวคนเดียวก็ยากจะใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ดังนั้น ซู่เหนียงจึงแบกหน้ามาขอให้คุณหนูรับตัวไว้ ซู่เหนียงไม่ร้องขอเงินทองความมั่งคั่ง เพียงแค่ข้าวปลาอาหารธรรมดาๆ อยู่อย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว” ดวงตาซู่เหนียงใสกระจ่าง มองออกว่าตัดสินใจมาดีแล้ว

 

 

เสิ่นเวยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนหน้านี้เห็นซู่เหนียงจริงจังเช่นนั้น ยังคิดว่าจะขอเรื่องยากอะไรเสียอีก ไม่คิดว่าแค่อยากให้รับเลี้ยง นี่ง่ายดายอย่างยิ่ง อย่างไรเสียนางก็รับเลี้ยงคนมากมายอยู่แล้ว มีที่ให้ซู่เหนียงคนนี้แน่นอน

 

 

“นี่จะยากอะไร หลังจากนี้เจ้าก็ติดตามข้าเท่านั้นเอง รีบลุกขึ้นเถอะ” เสิ่นเวยกล่าว

 

 

หลีฮวาก้าวขึ้นไปพยุงอย่างรู้หน้าที่ คราวนี้ซู่เหนียงถือโอกาสลุกขึ้นยืนแล้ว “ซู่เหนียงขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”

 

 

เสิ่นเวยกล่าวต่อ “ในเมื่ออนุญาตให้เจ้าเป็นอิสระแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าลงสัญญาขายตัวเป็นทาสอะไร ใช้สัญญาทำงานลงนามหนึ่งฉบับก็พอ ข้าจ้างเจ้ามาทำงาน ให้เงินเดือนเจ้า อ้อจริงสิ เจ้าถนัดอะไรบ้าง หรือว่าชอบทำอะไร”

 

 

เมื่อซู่เหนียงได้ยินว่าไม่ต้องลงสัญญาขายตัวเป็นทาสก็วางใจยิ่งขึ้น นางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเผยสีหน้าลำบากใจ “คุณหนู นอกจากด้านการแต่งหน้าแต่งตัวและบำรุงร่างกายที่ซู่เหนียงมีประสบการณ์เล็กน้อยแล้ว ด้านอื่นก็ไม่ถนัดเลยเจ้าค่ะ” แม้นางจะเติบโตมาในหอนางโลม แต่ก็ถูกเลี้ยงอย่างประคมประหงม ยกชารินน้ำ เย็บปักถักร้อยล้วนทำไม่เป็นเลย

 

 

เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้ว สตรีในหอนางโลมต้องเอาใจแขก ก็ต้องถนัดในด้านการแต่งหน้าแต่งตัวบำรุงร่างกายไม่ใช่หรือ ดูจากคำพูดกิริยาของซู่เหนียงผู้นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เคยเรียนหนังสือ หรือว่าจะไปเป็นอาจารย์หญิงในเรือนนาง สอนหนังสือและการแต่งหน้าแต่งตัวให้สาวใช้ทั้งหลายก่อน

 

 

ทว่าดวงตาของหลีฮวากลับลุกวาว ถามซู่เหนียง “ผิวดำมีวิธีเปลี่ยนให้ขาวหรือไม่”

 

 

ซู่เหนียงกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าดำธรรมชาติหรือว่า…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหลีฮวาแย่งไปแล้ว “ไม่ได้ดำธรรมชาติ แต่ว่าไปตากแดดข้างนอกจนดำ มีวิธีให้กลับมาขาวได้เร็วๆ หรือไม่”

 

 

ซู่เหนียงพยักหน้า “ง่ายอย่างยิ่ง” ในหอนางโลมพวกนางมีวิธีบำรุงให้ขาวสวยมากมายถมไป แม้แต่ผิวดำตามธรรมชาติก็ยังมีวิธีบำรุงให้ดีขึ้น นับประสาอะไรกับการตากแดดจนดำ

 

 

หลีฮวาดีใจอย่างยิ่ง “คุณหนูๆ ท่านได้ยินที่ซู่เหนียงพูดหรือยัง ถือโอกาสตอนที่ยังไม่กลับจวน รีบให้ซู่เหนียงบำรุงให้ท่าน จะได้กลับมาขาวไวๆ”

 

 

เสิ่นเวยไม่ออกความคิดเห็น นางกลับรู้สึกว่าสีผิวตอนนี้ของนางดูสุขภาพดีอย่างยิ่ง ปัจจุบันมีคนมากน้อยเพียงใดที่เสียเงินเพื่ออาบแดดให้ได้สีนี้ แต่เห็นหลีฮวาพร่ำบ่นทุกข์ใจอยากให้นางกลับมาขาวเช่นนี้ นางเองก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร

 

 

“คุณหนูท่านวางใจ ซู่เหนียงจะต้องทำให้ผิวของท่านกลับมาขาวใสนิ่มนวลเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน” ซู่เหนียงกล่าวอย่างจริงจัง

 

 

ด้วยเหตุนี้ เสิ่นเวยจึงใช้ช่วงเวลาหลายวันสุดท้ายที่วัดต้าเจวี๋ยอยู่ในขั้นตอนการบำรุงผิว

 

 

เสี่ยวตี๋ส่งข่าวมา บอกว่าท่านเสิ่นโหวและคนอื่นๆ จะเข้าเมืองได้ในวันพรุ่งนี้ เสิ่นเวยสั่งคนในเก็บของตลอดทั้งคืน เช้าวันที่สองก็ออกจากวัดต้าเจวี๋ยกลับจวนโหว