ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 467 ตงเซิงจวินผู้ว้าวุ่น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ฟางจุ่นส่งข่าวมาจากปฐพีพิภพ พลังงานชั่วร้ายของที่นั่นยิ่งมายิ่งเข้มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงนี้ สถานการณ์เลวร้ายมีแนวโน้มจะสาหัสขึ้น

หลังจากทางเยี่ยนจ้าวเกอกับหยวนเจิ้งเฟิงได้รับข่าวแล้ว ก็เริ่มเตรียมตัวออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ปฐพีพิภพ

เยี่ยนตี๋ยังคงไม่ออกฌาน และไม่ทราบว่าจะออกมาตอนไหน แต่เวลาไม่คอยท่า พวกเยี่ยนจ้าวเกอกับหยวนเจิ้งเฟิงจึงได้แต่ถอนใจ

“อาจารย์ ศิษย์น้องเยี่ยนเข้าฌาน ท่านเองก็ต้องออกจากสำนัก เรียกศิษย์พี่สองจากปฐพีพิภพให้มาจัดการเรื่องราวในสำนักเถอะ”

ฟู่เอินซูต้องออกจากสำนักเช่นกัน นางเดินไปพลางกล่าวไปพลาง ขณะที่ร่วมทางกับเยี่ยนจ้าวเกอและหยวนเจิ้งเฟิง

หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “หลังจากถึงปฐพีพิภพค่อยดูสถานการณ์อย่างละเอียดก่อน การจัดการเรื่องราวต่างๆ ของฟางจุ่นย่อมโดดเด่น”

เขาหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิงและอิ่นหลิวหวาที่ตามอยู่ด้านหลังฟู่เอินซู “ถึงแม้ว่าปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออกจะไม่มีการเคลื่อนไหว แต่พวกเจ้าต้องระวังด้วย”

ฟู่เอินซูกล่าว “ในฐานะสตรีแห่งจันทรา การต่อสู้กับปีศาจอัคคีบ่อยๆ มีส่วนช่วยพวกนางมาก”

หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ย “ไม่เพียงแต่ปีศาจอัคคีเท่านั้น แต่ต้องระวังอันตรายอย่างอื่นด้วย”

ความนัยในคำพูดของหยวนเจิ้งเฟิงเมื่อครู่ ฟู่เอินซูย่อมเข้าใจ “ข้าทราบดี”

เยี่ยนจ้าวเกอร่วมทางกับหยวนเจิ้งเฟิง เดินอยู่ด้านข้างฟู่เอินซู กระซิบว่า “อาจารย์ป้าฟู่ เรื่องที่พูดกับท่านก่อนหน้า ถ้าท่านไม่ติดอะไรรลองพิจารณาดู ท่านออกจะใจร้อนกับศิษย์น้องอิ่นไปบ้าง”

ดวงตาของฟู่เอินซูปรากฏความเคร่งขรึมขึ้น “ข้ายอมให้ลูกศิษย์ของข้ามีข้อบกพร่อง แต่สิ่งเดียวที่ยอมไม่ได้คือนางแอบขี้เกียจไม่ยอมพยายาม”

“แม้แต่อาจารย์ก็เตือนข้าว่า มิอาจใช้มาตรฐานที่ใช้กับอวิ๋นเซิง ซือคง หรือแม้แต่ตัวข้าเองกับทุกๆ คนได้ ประเสริฐ เช่นนั้นข้าจะปรับมาตรฐานของข้าให้กว้างขึ้น” ฟู่เอินซูพูดไปพูดมา ก็รู้สึกมีน้ำโหขึ้น “ข้าไม่ต้องการให้หลิวหัวเหมือนกับอวิ๋นเซิง แต่ขีดจำกัดของนางอยู่ที่ไหน ข้าทราบดี”

“นางมักจะเกียจคร้าน ลดมาตรฐานของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเช่นนี้ต่อไปจะมีวันทำลายขีดจำกัดของตัวเองหรือ? รังแต่จะทำให้ขีดจำกัดของตนเองลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นการทำให้พรสวรรค์และความสามารถเสียเปล่า!”

ฟู่เอินซูมองขวางใส่เยี่ยนจ้าวเกอ “ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาด้านการฝึกฝนในฐานะสตรีแห่งจันทราเท่านั้น นี่ยังเกี่ยวข้องกับพัฒนาการในฐานะจอมยุทธ์ของนางด้วย!”

เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ “บางทีศิษย์น้องอิ่นอยากจะใช้ชีวิตให้ผ่อนคลายลงหน่อย หากไม่ติดอะไรลองพิจารณาข้อเสนอก่อนหน้าของข้าดู ลดความคาดหวังที่มีต่อตัวนางลง เช่นนี้ดีต่อทุกฝ่ายนะขอรับ”

นางกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ตอนนี้ข้าไม่หวังว่านางจะไล่ทันหรือเหนือกว่าอวิ๋นเซิงอีกแล้ว คู่ต่อสู้ของนางไม่ได้อวิ๋นเซิงมาตั้งแต่ต้น ดูสภาพของนางในตอนนี้ จะไปแข่งกับสตรีแห่งจันทราจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นได้อย่างไร?”

“ลดความคาดหวังลงหรือ? จะลดอย่างไรอีก?”

จากนั้นนางก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ “ตั้งเป้าหมายสูง ได้ผลลัพธ์กลาง ตั้งเป้าหมายกลาง ได้ผลลัพธ์ต่ำ ตั้งเป้าหมายต่ำ ไม่ได้อะไรเลย เจ้าไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหลักเหตุผลนี้กระมัง?”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “สุดท้ายท่านก็เป็นอาจารย์ที่สอนนาง ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งนัก”

เขาเว้นครู่หนึ่ง ค่อยลดเสียงลง “ทว่า หากหลอมได้เหล็กดีย่อมประเสริฐ แต่หากไม่ใช่วัตถุดิบนั้น ต่อให้ตีให้แรงอย่างไร อาจจะเสียแรงเปล่าๆ”

ฟู่เอินซูเงียบงันลงครู่หนึ่ง หางตากวาดมองอิ่นหลิวหัวที่ด้านหลัง

ทั้งสองกระซิบสนทนากันโดยตลอด อิ่นหลิวหวาย่อมไม่ทราบว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน

ความคิดของนางในตอนนี้อยู่ที่การกลับไปยังทะเลตะวันออกของนางอีกครั้ง ในใจจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

“ข้าจะให้เวลาและโอกาสนางอีกสักหน่อยแล้วกัน” ฟู่เอินซูถอนใจ

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “การไปทะเลตะวันออกในครั้งนี้ได้โปรดระวังไว้ให้มาก ครั้งก่อนแม้ว่าปีศาจอัคคีจะแตกพ่าย แต่ก็ยังพอมีแรงเหลือ ปฐพีพิภพเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกมันอาจจะก่อความวุ่นวายพร้อมกัน”

ฟู่เอินซูตอบ “อืม บนทะเลตะวันออกกำลังจะเกิดความปั่นป่วนจริงๆ ผู้อาวุโสม่อกับเจ้าเมืองซ่งแห่งเมืองทะเลมรกตต่างเตรียมป้องกันไว้แล้ว พวกเจ้าต้องไปปฐพีพิภพ จำเป็นต้องระวังเช่นกัน

“จากคำพูดของพวกเจ้า สถานการณ์ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่บึงไร้ขอบเขตสร้างความวุ่นวาย อาจจะอันตรายยิ่งกว่า”

ชายหนุ่มมองไปยังทิศทางของปฐพีพิภพที่อยู่ไกลออกไป “ปัญหาบึงน้ำไร้ขอบเขตในครั้งนี้ยากจะคาดเดาจริงๆ เนื่องจากศัตรูซ่อนตัว วิกฤตการณ์แฝงอยู่ใกล้ๆ ชนิดที่ไม่อาจรู้ตัว เหมือนเดินเรืออยู่ในหมอกก็ไม่ปาน”

“วิกฤตการณ์ในครั้งนี้ชัดเจนกว่ามาก แต่อาจจะรุนแรงจนป้องกันไม่ได้มากกว่า คล้ายกับมีกระแสน้ำหลากอยู่ตรงหน้า”

หลังจากบอกลาพวกฟู่เอินซู เยี่ยนจ้าวเกอก็ไปถึงปฐพีพิภพพร้อมกับหยวนเจิ้งเฟิง ทว่าเพิ่งจะถึงบริเวณรอบนอก พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า

ยิ่งเดินทางต่อไป ยิ่งล้วงลึกเข้าไป พลังชั่วร้ายก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น

ที่นี่ได้กลายอเวจีสมชื่อแล้ว

เคยมีสัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นี่ เนื่องจากคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม แต่ว่าบัดนี้ แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ก็สูญสิ้นไปในพลังงานชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตบางตัวที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเริ่มหนีไปด้านนอกแล้ว

พื้นที่บริเวณรอบๆ ปฐพีพิภพ เกิดเหตุการณ์สัตว์และปีศาจฝูงหนึ่งหนีตายจากปฐพีพิภพไปยังสถานที่อื่น

ยังดีที่ไม่ว่าจะเป็นเขากว่างเฉิงหรือแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ล้วนเตรียมแนวป้องกันขึ้นรอบๆ ปฐพีพิภพ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงสัตว์สร้างความวุ่นวาย

พวกหยวนเจิ้งเฟิงกับเยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าเข้าด้านใน ขณะอยู่ระหว่างทาง ไกลออกไปพลันมีแสงสีทองส่องระยิบระยับ คล้ายกับมีพระอาทิตย์ขึ้นในความมืดไร้สิ้นสุด

“สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์” สีหน้าของพวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่เปลี่ยนแปลง เห็นแสงสีทองมาถึงเบื้องหน้า

ท่ามกลางประกายแสงเหมือนพระอาทิตย์ของจริง ชายชราใส่เสื้อคลุมขาวเดินออกมาอย่างเชื่องช้า เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือน หวงกวงเลี่ย

มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา เป็นยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

ซี่จ้าวจวินและตงเซิงจวินแห่งเจ็ดสุริยันตามติดอยู่เบื้องหลังหวงกวงเลี่ย กำลังมองพวกเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หยวนเจิ้งเฟิงถามอย่างราบเรียบ “หวงกวงเลี่ย เป็นอย่างไรบ้าง”

หวงกวงเลี่ยตอบ “เข้าไปดูพร้อมกันเถอะ”

“กำลังคิดอยู่พอดี” หยวนเจิ้งเฟิงกระโดดลงไปนำหน้า

ทั้งสองกระโดดลงข้างล่างพร้อมกัน เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่ามีสายตามองร่างของตนอยู่ จึงหันหน้าไปมอง เห็นทุกคนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากหวงกวงเลี่ยแล้ว สายตาล้วนจ้องมองตนเป็นส่วนใหญ่

โดยเฉพาะในดวงตาที่กำลังมองเยี่ยนจ้าวเกอของตงเซิงจวิน เต็มไปด้วยความซับซ้อนยากอธิบาย

ในหมู่ยอดฝีมือระดับสูงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขาแทบจะนับได้ว่าเป็นคนที่ติดต่อกับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นคนแรก ถึงแม้จะไม่ใช่การติดต่อโดยตรงก็ตาม

ในตอนที่ยังอยู่ที่ถังตะวันออก เขามีความคิดสังหารเยี่ยนจ้าวเกอจริงๆ เนื่องจากผู้อาวุโสเกาะตะวันออกแห่งเขากว่างเฉิง และราชาแห่งถังตะวันออกจ้าวซื่อเฉิง จึงมิอาจทำได้

แต่ว่าตอนที่ตงเซิงจวินนึกถึงเรื่องราวในอดีต ก็อดคิดไม่ได้ว่า ตอนนั้นต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายที่ตนจะต้องตาย ก็ต้องลองแลกชีวิตของเยี่ยนจ้าวเกอดู ถ้าหากสำเร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมหรือไม่?

ถึงแม้ว่าความคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นเพียงแวบเดียว แต่ก็มิอาจควบคุมได้

ในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะเป็นบุตรของเยี่ยนตี๋ ถ้าหากมีคนเสนอให้ตงเซิงจวินที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสุริยัน มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณผู้ยิ่งใหญ่ ไปวัดฝีมือกับเยี่ยนจ้าวเกอที่ยังเป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก ทุกคนจะต้องคิดว่าคนผู้นั้นเป็นคนปัญญาอ่อนแน่

แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ต่อให้จะเป็นตัวตงเซิงจวินเอง ก็ยังอดคาดเดาเป็นบางครั้งบางคราวไม่ได้ ว่าจะมีโอกาสสำเร็จเพียงไหน ถึงแม้ว่าเขาหวังให้มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณผู้นั้นเป็นผู้อื่นก็ตาม

ในโลกนี้ไม่มีอะไรผิดปกติมากไปกว่านี้อีกแล้ว