“ขอเพียงแผนการของนางล้มเหลว กระทั่งเกิดผลในทางตรงกันข้าม ทำให้สถานการณ์ศึกของพวกเราเสียเปรียบ จนพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เช่นนั้นคนที่รังเกียจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทั้งหมด ต้องก้าวออกมาในยามนี้ ขอร้องให้จัดการเขาเสีย อย่างไรเพราะว่าเขาเป็นคนยกตราพยัคฆ์ให้สตรีนางนั้น ถึงทำให้พวกเราพ่ายแพ้ เมื่อถึงเวลาต่อให้เป็นคนผู้นั้น ก็ต้องออกมา…” เซี่ยโหวเฉินเสนอด้วยรอยยิ้ม สายตาทอแววเจ้าเล่ห์

 

 

เป่ยเฉินเสียงสีหน้าหนักอึ้ง เอ่ยปาก “คนผู้นั้นเคยสัญญากับท่านพ่อจริงๆว่า หากการกระทำเหลวไหลของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นภัยคุกคามถึงดินแดนเป่ยเฉิน เขาจะออกมาหยุดยั้งเอง ทั้งยังฆ่าทิ้งโดยไม่เสียดาย หากเขายินยอมลงมือ ความสามารถของเขา…”

 

 

เป่ยเฉินเสียงสีหน้าทอประกายหวาดกลัว ความสามารถของคนผู้นั้นคล้ายกับเทพ

 

 

ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียงสงบลง จ้องเซี่ยโหวเฉินเอ่ย “ไม่ว่าเขาจะฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้หรือไม่ ทว่าความจริงคือ ขอเพียงเขายินยอมลงมือ พวกเราถึงชนะ ความคิดของเจ้าไม่เลว แต่ข้าเป็นองค์ชายของเป่ยเฉิน เพื่อกำจัดศัตรูกลับก่อความวุ่นวายให้สถานการณ์ศึก ให้ศัตรูบุกเข้ามา ค่าตอบแทนนี้ออกจะ…”

 

 

เซี่ยโหวเฉินหัวเราะ เอ่ยช้าๆ “องค์ชายใหญ่ ทนเสียลูกไม่ได้ ก็ไม่อาจจับจิ้งจอก นี่เป็นเหตุผลที่ง่ายดายที่สุด หากเวลานี้ท่านยังมัวห่วงหน้าพะวงหลัง เมื่อพลาดโอกาสไป ภายหน้าก็ไม่มีแล้ว”

 

 

เขาเอ่ยคำนี้ออกมา แววตาเป่ยเฉินเสียงลุ่มลึก กำหมัดแน่น

 

 

เสียงต่ำลงกล่าวว่า “เจ้าพูดไม่ผิด หากต้องทำเช่นนี้จริงถึงส่งเขาลงนรกได้ ข้าก็ไร้ทางเลือกอื่น”

 

 

ระหว่างที่เอ่ย สายตาของเขาแน่วแน่

 

 

เป่ยเฉินเสียงหันมองที่ประตู ส่งเสียงดัง “ใครก็ได้”

 

 

สิ้นเสียง นายทหารผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก…

 

 

   ……

 

 

ราตรีกาลสายลมพัดแรง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยยืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาทอดยาวออกไปมองแม่น้ำที่อยู่ห่างไกลสายหนึ่ง

 

 

สายตานางมีความไม่สงบอยู่บ้าง ภาพในความทรงจำในอดีตฉายขึ้นมา

 

 

สตรีนางหนึ่งหน้าตาเหมือนกับเยี่ยเม่ยราวกับพิมพ์เดียว ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด จับข้อมือของนาง แค่นคำพูดออกมาทีละคำ “อาหรุ่ย อย่าเสียใจเลย เชื่อข้า ข้าจะไม่ตาย ข้าจะกลับมาแก้แค้น”

 

 

หลังจากนั้นนางคล้ายกับผีเสื้อสีแดงเลือด ตกลงในแม่น้ำ สีแดงค่อยๆ กระจายตัวในน้ำ ทิ่มแทงสายตาซือหม่าหรุ่ย

 

 

สายน้ำไหลพัดร่างของสตรีนางนั้นไป

 

 

 “อาอี้…” ซือหม่าหรุ่ยรีดเค้นคำพูดออกมาสองคำ จากนั้นคล้ายนางคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยแววประชดประชัน เอ่ยเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ วันที่เจ้าตกลงในแม่น้ำ คนผู้นั้นเจ็บปวดเจียนตาย คุกเข่ากระอักเลือดหลายคำอยู่ริมน้ำ หลายปีมานี้เขาเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ อยู่ไม่สู้ตาย อาอี้ หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เห็นผลกรรมของคนผู้นั้น คงจะดีใจสิ…”

 

 

นางพูดจบ ก็สะกดเก็บความรู็สึกไป

 

 

เอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนพวกเขาหาศพพบ ข้าหวังว่าไม่ใช่เจ้า หากไม่ใช่เจ้า แล้วเจ้าไปอยู่ที่ไหนกันเล่า หากเจ้ายังไม่ตาย ไฉนหลายปีมานี้ถึงไม่กลับมา อาอี้ สี่ปีแล้ว เยี่ยเม่ย…เยี่ยเม่ยไม่ใช่เจ้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

หากไม่ใช่ ในโลกนี้ไฉนถึงมีคนที่หน้าตาเหมือนได้เช่นนี้

 

 

หากใช่ ไฉนอีกฝ่ายถึงจำนางไม่ได้เลยสักนิดเดียว คำพูดและการกระทำล้วนเปลี่ยนไปหมดสิ้น

 

 

 

 

หาก…หากเป็นจริง ไฉนอาอี้ถึงช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนำทัพ

 

 

ระหว่างที่นางครุ่นคิด ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้า

 

 

ซือหม่าหรุ่ยได้สติ หันกลับมอง พลันเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตางดงาม เดินมาหานาง นั่นคือจิ่วหุนที่อยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย

 

 

นางสายตาวาววูบ มองจิ่วหุน “เจ้ามาหาข้า หรือว่า…นางให้มาหาข้า”

 

 

 “เจ้าหวังว่านางจะมาหาเจ้า?” จิ่วหุนมองนางเงียบๆ

 

 

บรรยากาศรอบด้านพลันตึงเครียดขึ้น สายตาของจิ่วหุนมีแววสังหาร

 

 

ซือหม่าหรุ่ยสัมผัสถึงกระแสพลังไม่เป็นมิตรจากร่างเขา นางชะงักไปชั่วครู่ พลันคลี่ยิ้ม “เจ้าวางใจ ข้าหาได้มีเจตนาร้ายกับนาง เจ้าสามารถเก็บไอสังหารได้แล้ว ถึงนางไม่ใช่สหายข้า อาศัยแค่นางหน้าตาราวกับสหายข้าราวกับพิมพ์เดียว ข้าก็ไม่ทำร้ายนาง”

 

 

น้ำเสียงของนางจริงใจมาก ไอสังหารจากร่างจิ่วหุนค่อยๆ ลดลง

 

 

เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าถูกยาพิษ”

 

 

เขาพูดคำสี่คำนี้ออกมา ซือหม่าหรุ่ยชะงักงัน กลับยิ้มออก “เจ้าอยากให้ข้าช่วย? แต่เมื่อครู่เจ้าคิดสังหารข้าเพื่อนาง ดูท่านางในใจเจ้ายังสำคัญกว่าตัวเจ้าเองอีก ใช่หรือไม่”

 

 

จิ่วหุนเงียบ ไม่เอ่ยวาจา

 

 

เห็นได้ชัดว่าซือหม่าหรุ่ยเดาใจเขาถูก เขาเองก็ไม่มีใจเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่ชอบสนทนาของตนเอง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยออกท่องยุทธภพหลายปี ย่อมมองคนออก ไม่บีบให้อีกฝ่ายเอ่ยวาจา เพียงยิ้มกล่าวว่า “นางต้องมีวาสนามาก ถึงมีเจ้าอยู่ข้างกาย”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยจบ พลันเอ่ยต่อ “ยื่นมือมา ข้าจะจับชีพจรให้”

 

 

จิ่วหุนไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือออกไปทันที

 

 

ซือหม่าหรุ่ยจับชีพจรอย่างละเอียดชั่วครู่ สายตาเปี่ยมรอยยิ้มค่อยๆ สงบนิ่ง มองตาจิ่วหุน งุนงง “เจ้าเป็นนักฆ่า?”

 

 

พิษนี้มีเพียงกลุ่มนักฆ่าที่โหดเ**้ยมที่สุดในแผ่นดิน ถึงจะใช้กับนักฆ่าในกลุ่มของตน

 

 

นางเคยพบครั้งหนึ่ง

 

 

เพียงแต่กลุ่มนักฆ่านี้ ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ทั้งสังหารคนดีไม่น้อย ดังนั้นถึงถูกฝ่ายธรรมในยุทธจักรรังเกียจ ซือหม่าหรุ่ยก็ไม่ชอบ

 

 

จิ่วหุนสัมผัสได้ว่านางไม่คิดร้าย เพียงเอ่ยว่า “ก่อนนี้ใช่ ตอนนี้ไม่ใช่”

 

 

คำพูดนี้ก็นับว่าคลี่คลายเหตุผลที่เขาช่วยนาง เพราะไม่ได้เป็นนักฆ่าอีกต่อไป ออกจากกลุ่มแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ได้ยาถอนพิษให้ตนอีก

 

 

ซือหม่าหรุ่ยนิ่งไปสักพัก สีหน้าเย็นชาค่อยๆ หายไป มองคนที่เลิกกระทำชั่วตรงหน้า นางเอ่ยเบาๆ “หากพี่บุญธรรมของข้าอยู่ที่นี่ ต้องเจ้ากี้เจ้าการลงมือช่วยชีวิตเจ้าเพื่อให้โอกาสคนแน่ พิษในกายเจ้า หาใช่ไร้หนทาง เพียงแต่ค่อนข้างตึงมือ”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยไป ก็ถอนมือที่จับชีพจรกลับ

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยต่อ “จำเป็นต้องใช้สมุนไพรหลายชนิด พิษนี้ถึงกำจัดได้หมด แต่มีหนึ่งในสองชนิดนั้นหายสาบสูญไปแล้ว เชื่อว่าเจ้าคงรู้ ยาถอนพิษต้องกินทุกครึ่งปี ครึ่งเดือนก่อนเจ้ากินไปแล้วหนึ่งเม็ด ดังนั้นเจ้าเหลือเวลาอีกห้าเดือน ส่วนข้ารับปากได้แค่จะช่วยเจ้าหาทางอย่างเต็มความสามารถ เพื่อหาสมุนไพรเหล่านั้น”

 

 

จิ่วหุนพยักหน้า ไม่เอ่ยขอบคุณสักคำก็หมุนตัวจากไป

 

 

ซือหม่าหรุ่ยมองเงาหลังของเขาที่ก้าวเท้ายาวจากไป ยิ้มส่ายหัว เอ่ยเสียงต่ำลง “ช่างเป็นคนแปลกประหลาดนัก มารยาทพื้นฐานรู้จักหรือไม่”

 

 

นางพลันรู้สึกสงสัย สภาพแวดล้อมที่เด็กคนนี้เคยอยู่เป็นเช่นไร กระทั่งมารยาทพื้นฐานระหว่างคนล้วนไม่เข้าใจ

 

 

ไม่รู้จักทักทาย ไม่รู้จักขอบคุณ ไม่รู้จักเสแสร้ง กระทั่งไม่รู้จักอยู่ร่วมกับผู้คน ทั้งไม่รู้วิธีการขอร้องให้คนช่วย

 

 

นางส่ายหน้า รั้งสายตากลับ มองลงไปใต้กำแพงเมือง คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา นางตกตะลึง“ทำไมผู้มาถึงเป็นนาง…”

 

 

   ….

 

 

จิ่วหุนกลับมาที่หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย

 

 

ยืนพิงกำแพง หลับตาเฝ้าต่อไป แต่เมื่อยืนได้ไม่กี่วินาที เขาพลันเปิดตาขึ้น สัมผัสได้ว่าภายในห้องไม่มีลมหายใจของคน

 

 

ดวงตาเขาทอประกายเย็นเยียบ รีบผลักประตูห้องเยี่ยเม่ยเข้าไป

 

 

สาวเท้ากว้างเข้ามา มองไปด้านใน ห้องว่างเปล่า เดินไปถึงเตียงเยี่ยเม่ย คลำเตียงดู บนเตียงยังเหลือไออุ่น ดูท่านางเพิ่งออกไปไม่นาน

 

 

แต่คนเล่า

 

 

จิ่วหุนไม่ทันลังเล ออกจากห้องไปอย่างว่องไว…