หัวหน้าสามตระกูล

“ท่านหัวหน้าของเราต้องการให้จางเซวียนรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป เขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?”

“ไม่มีทาง! ผมรับไม่ได้!”

หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆต่างตกตะลึงกับคำพูดของหลัวเทียนหยา

พวกเขาประทับใจกับความมีน้ำใจของจางเซวียนและยินดีจะยกโทษให้เรื่องงานหมั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับเขาให้เป็นหัวหน้าตระกูลได้!

“น้องจาง ความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติของคุณนั้นอยู่ในระดับที่เชี่ยวชาญกว่าผมเสียอีก และยิ่งไปกว่านั้น คุณยังได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของนักปราชญ์ชิวอู๋ด้วย ในเมื่อนักปราชญ์ชิวอู๋ทั้งให้การยอมรับและถ่ายทอดคำสอนของเขาให้คุณ ก็ถือว่าคุณมีสถานภาพเดียวกันกับผู้ก่อตั้งของเรา เป็นธรรมดาที่คุณจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลหลัวของพวกเรา” หลัวเทียนหยาพูด

“แต่…” จางเซวียนยังคงโบกมืออย่างวุ่นวายใจ ดูจะคัดค้านความคิดนี้อย่างจริงจัง

“น้องจางแก้ไขคำพูดของผมด้วยนะถ้าหากผมพูดผิด…คุณเพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลเจียง ถูกต้องไหม?” หลัวเทียนหยาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“ใช่…เรื่องนั้นเป็นความจริง!” จางเซวียนพยักหน้า

เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราสัญลักษณ์อันหนึ่งก็ปรากฏ มันคือตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลเจียง

“เขาเป็นหัวหน้าตระกูลเจียงด้วยหรือ เอาจริงๆสิ?”

“เหลวไหลน่ะ! ตระกูลเจียงจะยอมให้คนนอกอย่างเขารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้อย่างไร?”

หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆแทบไม่เชื่อสายตา

เรื่องนี้ราวกับหลุดออกมาจากนิยายเพ้อฝัน พวกเขาแทบปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ในเมื่อตระกูลเจียงเต็มใจยอมรับคุณเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขา ผมเชื่อว่าตระกูลหลัวของเราก็คงใจกว้างพอที่จะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน อีกอย่าง ด้วยสภาวะคับขันที่พวกเราเผชิญอยู่ตอนนี้ เรื่องสำคัญสูงสุดสำหรับ 3 ตระกูลชั้นนำก็คือพวกเราต้องผนึกกำลังกันเป็นหนึ่ง ผมไม่เห็นว่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่าทางที่ผมกำลังเสนอ” หลัวเทียนหยาพูด

เขาประสานมือก่อนจะพูดต่อ “น้องจาง ผมขอวิงวอนคุณว่าอย่าปฏิเสธผมเลย ผมรู้มาว่าการเปิดการบรรยายของคุณที่ตระกูลเจียงและตระกูลจางนั้นได้ช่วยนักรบมากมายให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ หากคุณมาเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว ผมก็คงต้องขอร้องคุณว่าอย่าแบ่งแยกตระกูลหลัวออกจากคนอื่นๆ ขอให้คุณช่วยแบ่งปันความรู้ของคุณให้กับสมาชิกตระกูลหลัวด้วย เพื่อที่ตระกูลหลัวจะได้พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ากว่านี้”

จางเซวียนเงียบไป

ฝูงชนจากตระกูลหลัวต่างก็พากันเงียบกริบ

ถึงพวกเขาจะไม่ได้ประทับใจในตัวจางเซวียนนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของอีกฝ่ายนั้นน่าทึ่ง ความถนัดของเขาในฐานะครูบาอาจารย์นั้นเหนือชั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ คนเดียวที่พวกเขารู้สึกว่าจะแข่งขันกับจางเซวียนได้ก็มีแต่ปรมาจารย์ขงเท่านั้น

ความจริงข้อนี้เห็นได้ชัดเจนจากเหล่าศิษย์สายตรงของเขา ในบรรดาศิษย์สายตรงเหล่านั้น ทุกคนล้วนแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอำนาจชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว แม้แต่ตระกูลหลัวก็ยังต้องพิจารณาให้ดีหากจะปะทะกับพวกเขา!

ถ้าตระกูลหลัวได้คนเก่งกาจขนาดนี้มาเป็นหัวหน้าตระกูล ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเหล่าสมาชิกในตระกูลจะต้องก้าวหน้าขึ้นอีกมาก

ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง หากพวกเขายังคงปฏิเสธจางเซวียนต่อไป ไม่ช้าไม่นานตระกูลจางกับตระกูลเจียงก็คงทิ้งห่างไปไกลจากตระกูลหลัว กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ตระกูลหลัวก็คงต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสองตระกูลนั้น

“ถ้าน้องจางไม่ยินยอมรับคำขอของผม ผมคงไม่มีวันอยู่เป็นสุขได้ อีกอย่าง ผมจะไม่มีทางวางใจได้เลยกับการที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตระกูลหลัวเมื่อไม่มีผมอยู่” หลัวเทียนหยาโค้งคำนับด้วยความจริงใจ

เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราสัญลักษณ์ตระกูลหลัวก็ลอยเข้าหาจางเซวียน

“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น ผมจะช่วยคุณดูแลตระกูลหลัวตอนที่คุณไม่อยู่ก็แล้วกัน ผมจะเป็นผู้นำให้ตระกูลหลัวแทนคุณ จนกว่าใครสักคนที่คู่ควรจะปรากฏตัว!” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็รับตราสัญลักษณ์มาและให้คำสัญญากับหลัวเทียนหยา

“ขอบคุณมาก น้องจาง ด้วยสิ่งนี้ หัวใจของผมจะได้สุขสงบเสียที…ลาก่อน!”

ฟึ่บ!

หลังจากเอ่ยคำอำลา หลัวเทียนหยาก็หันหลังกลับและจากมาโดยไม่ลังเล ในชั่วพริบตา เขาก็หายวับไปจากสายตาของทุกคน

“เฮ่ออออ! ก็ไม่ใช่ว่าเรากระหายอำนาจนะ แต่ด้วยการที่สามตระกูลใหญ่รวมกันเป็นหนึ่งเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราแข็งแกร่งพอจะรับมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ หากปราศจากความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะต้านทานกระแสแห่งความหายนะครั้งนี้ มวลมนุษย์จะต้องถูกกำจัดจนสิ้นซาก คงกลายเป็นเพียงผงธุลีของประวัติศาสตร์”

จางเซวียนเฝ้ามองหลัวเทียนหยาจากไป เขาส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้น ด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน เขาโบกมือและเดินกลับเข้าไปในบ้านพัก

เมื่อเห็นว่าทั้งหลัวเทียนหยาและจางเซวียนหายไปจากบริเวณนั้นแล้ว หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆก็ออกมาจากที่ซ่อน

“ท่านรองหัวหน้า…”

นอกจากหลัวเทียนหยา หลัวกั้นเจินก็คือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลหลัว ฝูงชนจึงหันไปมองหน้าเขาโดยอัตโนมัติเพื่อขอความเห็น

“เทียนหยาพูดถูก เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ตระกูลหลัวของเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากจางเซวียน…” หลัวกั้นเจินพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างจนปัญญา

“แต่เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 นะ…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งทักท้วง

“ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนนี้วรยุทธของเขายังอ่อนด้อย แต่เขาก็เป็นศิษย์พี่ของผู้อาวุโสสูงสุดที่ได้รับความเคารพมากที่สุดของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่นะ…ปรมาจารย์หยางไงล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ เป็นท่านอาจารย์ของทายาทยอดขุนพล หัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่ หัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง หัวหน้าตระกูลหยวน และประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณสำนักงานใหญ่ด้วย…กลุ่มอำนาจเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา หากเราผนึกกำลังเข้ากับตระกูลจางและตระกูลเจียง ก็คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะพูดว่าเขาคือบุรุษผู้มีอำนาจสูงสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ในเวลานี้ ซึ่งหากเราปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดมือไป ตระกูลหลัวของเราคงจะตกต่ำลงอย่างรวดเร็วแน่!” หลัวกั้นเจินพูด

หากพูดถึงคนคนเดียว นักรบระดับเซียนขั้น 9 อย่างจางเซวียนไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตระกูลหลัว แต่เรื่องนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเขามีตัวตนอีกมากมายอย่างที่กล่าวมาแล้ว

แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ยังไม่มีอำนาจอยู่ในกำมือมากมายเท่าที่จางเซวียนมี อันที่จริง หากรวมปรมาจารย์หยางเข้าไปด้วย ขอบเขตอำนาจและอิทธิพลของจางเซวียนนั้นถือว่าเหนือชั้นกว่าแม้แต่กับสภาปรมาจารย์!

หากมีบุรุษผู้ทรงอำนาจขนาดนี้เป็นหัวหน้าตระกูล ก็ย่อมแน่ใจได้ว่าตระกูลหลัวจะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ที่กำลังใกล้เข้ามา

“นี่พวกเรากำลังจะ…ยอมรับเขาเป็นหัวหน้าตระกูลของเราจริงๆหรือ?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งตั้งคำถามด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

นี่มันบ้าบออะไร…

พวกเขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อหยามหน้าจางเซวียน แต่ไม่เพียงจะทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ยังเกือบจะต้องยอมรับศัตรูตัวฉกาจมาเป็นหัวหน้าตระกูลด้วย ใช่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจเหตุผล แต่ยาเม็ดนี้ก็ขมเกินกว่าที่จะกลืนลงไปได้!

ยิ่งคิดก็ยิ่งคับข้องใจ

“ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตระกูลของเราเท่านั้น!” รู้ดีว่าคนเหล่านั้นคิดอย่างไร หลัวกั้นเจินถอนหายใจอย่างจนปัญญาอีกครั้งและพูดว่า “เอาล่ะ กลับกันเถอะ เทียนหยาคงกำลังรอพวกเราอยู่ที่บ้านพัก”

ฝูงชนจึงรีบกลับสู่ที่รับรองแขก ที่นั่น พวกเขาเห็นหลัวเทียนหยานั่งอยู่ในห้องด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความลังเล

หลังจากเห็นทุกคนกลับมา หลัวเทียนหยาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “เหล่าผู้อาวุโส…”

“ท่านหัวหน้า คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ ผมคิดว่าคุณทำถูกแล้วที่สนับสนุนให้จางเซวียนรวม 3 ตระกูลชั้นนำเข้าเป็นหนึ่ง พวกเราเต็มใจจะทำตามคำสั่งของคุณ” หลัวกั้นเจินประสานมือ

หลัวเทียนหยาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำพูดของหลัวกั้นเจิน ครู่ต่อมาเขาก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ในเมื่อคุณรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผมก็จะไม่พูดถึงละนะ นี่คือพระราชวังชิวอู๋ที่จางเซวียนมอบให้ผม รักษามันไว้ให้ดี!”

“ผมจากไปคราวนี้ คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว พวกคุณจะต้องฟังคำสั่งของปรมาจารย์จางและดูแลตระกูลหลัวของเราให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นมานะ!”

หลังจากพูดจบ หลัวเทียนหยาก็ไม่รอคำตอบ เขาเปิดรอยแยกของมิติและกระโจนเข้าไป หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อเจอกับการจากไปของท่านหัวหน้าอย่างต่อหน้าต่อตา ฝูงชนจากตระกูลหลัวพากันเงียบกริบไปอีกนาน

…..

“ลูกชายของเรากลับมาหรือยัง?”

ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลจาง เซียนดาบเหมิงเดินวนไปมาราวกับหนูติดจั่น สีหน้าของเธอเคร่งเครียด

“ท่านหัวหน้าตระกูลกลับมาแล้ว แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็ออกไปใหม่ คราวนี้ผมเกรงว่าผมไม่แน่ใจว่าเขาไปไหน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตอบ

“เฮ่อออ! เจ้าหนุ่มนั่น! เขาควรจะรู้ว่าตระกูลหลัวมารออยู่เพื่อจะท้าทายเกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลจาง กลับยังมีอารมณ์จะเที่ยวร่อนไปร่อนมา…” เซียนดาบเหมิงขมวดคิ้ว

ตระกูลหลัวทำให้การมาเยือนของพวกเขาเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครม เป็นที่ชัดเจนต่อสายตาของทุกคนว่าพวกเขาตั้งใจมาเพื่อหยามศักดิ์ศรีตระกูลจาง แต่จางเซวียนซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลยังมีแก่ใจจะเดินทางไปนู่นมานี่ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้…เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!

“เซวียนเอ๋อเป็นเด็กฉลาด ผมเชื่อว่าเขามีเหตุผลในการทำแบบนั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้น่ะ พวกเราเป็นฝ่ายผิด จึงเป็นธรรมดาที่เซวียนเอ๋อจะหลบหน้าพวกตระกูลหลัว เพราะหากเขาปรากฏตัว ก็มีแต่จะทำให้ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่าง 2 ตระกูลคุกรุ่นขึ้นมาอีก” เซียนดาบชิงส่ายหน้า

“เขาจะหลบหน้าพวกตระกูลหลัวก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยื้อให้ทุกอย่างบานปลายออกไปแบบนี้น่ะไม่ดีแน่ หากฉันมีโอกาสได้พูดนะ ฉันจะจัดการให้เซวียนเอ๋อแต่งงานกับทั้งหลัวลั่วชิงและหลัวฉีฉี จะได้ไม่มีปัญหาอะไรอีก!” เซียนดาบเหมิงคำราม

ในตอนนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องโถงใหญ่

“ท่านรองหัวหน้า…” หลังจากเข้ามาในห้อง ผู้อาวุโสโค้งคำนับก่อนจะรายงาน “เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลหลัวได้รับการคลี่คลายแล้ว…”

ทั้งเซียนดาบชิงและเซียนดาบเหมิงถึงกับอึ้งไป เซียนดาบชิงรีบตั้งคำถาม “มันคลี่คลายอย่างไร?”

ในมุมมองของพวกเขา เรื่องนี้รับมือได้ยากมาก จนกว่าจางเซวียนจะได้ดวลกับหลัวเทียนหยา ตระกูลหลัวก็คงไม่ยอมล่าถอยง่ายๆ แต่นี่ยังไม่ทันเกิดอะไรขึ้นเลย แล้วทุกอย่างคลี่คลายได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสรายงานด้วยสีหน้าแทบไม่อยากเชื่อ “เอ่อ…สมาชิกของตระกูลหลัว…ยอมรับจางเซวียนเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขาแล้ว!”

“พวกนั้นยอมรับเซวียนเอ๋อเป็นหัวหน้าตระกูล?”

เซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงมองหน้ากัน ก่อนจะจังงังไปทั้งคู่