ตอนที่ 628 พายุกระหน่ำแต่คลื่นสงบ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 628 พายุกระหน่ำแต่คลื่นสงบ

แสงของดวงดาราพร่างพราวอยู่ด้านนอกหน้าต่าง

ในห้องอักษรของเยี่ยนเป่ยซีมีฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม บรรยากาศรอบกายออกจะอึมครึมอยู่เล็กน้อย

“ราวเดือนสิบ เสี่ยวโหลวก็จะคลอดแล้ว เจ้ากำลังจะเป็นบิดาของเด็กทั้งสามคน”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งนิ่งแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“เจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ชายชราเยี่ยงข้าเคยพบเจอมาในชีวิตนี้ แต่ทว่าเหตุใดวันนี้เจ้าจึงดูสับสนมึนงงมากยิ่งนัก ! ”

“ข้ากำลังคิดว่า…”

“เจ้าอย่าคิดว่าที่พระราชวังจินเตี้ยนนั้นฝ่าบาทจะเห็นด้วยทั้งหมด ! พระองค์เพียงแค่ลองเชิงเจ้า แม้จะพระราชทานยศติ้งอันป๋อให้แก่เจ้า และฮูหยินทั้งสามของเจ้าได้เป็นเก้ามิ่ง ความหมายนี้…ข้ามิเชื่อว่าเจ้ามิเข้าใจ ! ”

เยี่ยนเป่ยซียืนขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังเงาของต้นไม้ที่พลิ้วไหวที่อยู่ใต้แสงโคมไฟในสวน “มิอาจปฏิเสธได้ว่าเจ้าเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง จิตใจอันบริสุทธิ์และภักดีต่อราชวงศ์หยูของเจ้าแม้แต่สวรรค์ก็ยังมองเห็น แต่ทว่าจิตใจของฮ่องเต้นั้นยากที่จะคาดเดาได้ ความสามารถของเจ้าจะทำให้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นได้ ! ”

“แม้ว่าเขาจะมีศักดิ์เป็นพ่อตาของเจ้า แต่อย่าลืมว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือองค์ฮ่องเต้ ! ”

“นับแต่อดีตเป็นต้นมาแผ่นดินมักถูกปกครองโดยฮ่องเต้ผู้เหี้ยมโหด เจ้าต้องเข้าใจว่าราชวงศ์หยูนี้เป็นของเขาและต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา ! ในฐานะที่ข้าเป็นขุนนางก็ควรทำตัวให้เหมาะสมกับหน้าที่ของขุนนาง หากว่าล้ำเส้นนั้นไป… จงเชื่อชายชราผู้นี้เถิดว่า หากโอรสสวรรค์กริ้วขึ้นมาจะมีผู้เสียชีวิตนับล้านคนเลยทีเดียว เรื่องนี้มิได้เป็นเพียงตำนานด้วย”

เขาค่อย ๆ หันกลับมาและมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่หนักอึ้ง

“หากเจ้ากลับไปยังราชวงศ์อู๋เสีย แน่นอนว่าเจ้าจะไร้ซึ่งความกลัว แต่เจ้าก็มิยอมกลับ ! บ้านของเจ้าอยู่ในจินหลิงและทรัพย์สินของเจ้าก็เป็นของราชวงศ์หยู แม้ว่ากองทหารดาบเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ในมือของเจ้า แต่ทว่าพวกเขาก็อยู่ในราชวงศ์หยู ทั้งหมดล้วนเป็นคนของราชวงศ์หยู ! หากวันใดวันหนึ่งเกิดเหตุมิคาดฝันเกิดขึ้น เจ้าคิดว่ากองทัพดาบเทวะจะเลือกภักดีต่อเจ้าอยู่หรือไม่ ? ”

“เจ้าต่อต้านคำบัญชาของเขาเพื่อคนมิกี่คนในคุกนั่น มันคุ้มค่าแล้วจริงหรือ ? หากว่าข้าเป็นเจ้า ข้าจะเดินทางออกจากจินหลิงเพื่อไปยังราชวงศ์อู๋เสียตั้งแต่ตอนนี้ ! ”

เยี่ยนเป่ยซีหายใจเข้าลึก แล้วนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน “หากเจ้าเต็มไปด้วยความเมตตาเช่นนี้ก็อย่าได้เป็นขุนนางเลย ! แม้ได้เป็นขุนนางขั้นสูงในวันนี้ หากวันพรุ่งนี้เจ้าสูญเสียความโปรดปรานไปก็จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนมาซ้ำเติมเจ้า ! ข้าอยู่ในแวดวงขุนนางมายาวนานย่อมมีความรอบคอบในชีวิต หากขุนนางขั้นสูงมิเชื่อฟังเจ้าก็สามารถเหยียบย่ำพวกเขาจนตายได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่จงจำไว้เสมอว่าคนที่ประทับบนบัลลังก์มังกรผู้นั้น เจ้าควรทำตามในทุกสิ่งที่เขาปรารถนา ! ”

“เย็นชาและไร้ความปรานีใช่หรือไม่ ? ”

“นี่จึงเรียกว่าโลกแห่งความเป็นจริงของขุนนาง ! ”

“หากทั้งห้าคนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วจะสามารถผลักดันนโยบายใหม่ให้เดินหน้าไปได้ เขาจึงจำเป็นต้องถอยให้เจ้าก่อน ! ”

“ดังนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือไปยังว่อเฟิงเต้าแล้วทำให้สำเร็จ ! เจ้าควรจัดการคนไว้ 2 รูปแบบคือคนที่สมควรถอดออกจากตำแหน่งก็ให้รีบปลดออกเสีย ส่วนผู้ที่ควรจะไปต่อ ก็ให้รีบก้าวออกไปเสีย ! ”

“มิควรมีความคิดที่จะเกษียณหลังจากประสบความสำเร็จ เพราะหากราชวงศ์หยูมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าราชวงศ์อู๋เมื่อใด เชื่อชายชราเช่นข้าเถิดว่าเขาจะมิยอมทนกับเจ้าอีกต่อไป ! ”

“ผืนปฐพีที่งดงามเหมือนในอุดมคติของเจ้านั้น ในรัชสมัยนี้มันเป็นไปมิได้ เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีปัญญา…ยึดบังลังก์มังกรนั้นไว้ ! ”

……

……

สายลมยามราตรีแห่งต้นฤดูร้อนพัดผ่านเพียงแผ่วเบาที่ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวาย

ฟู่เสี่ยวกวนและสวี่ซินเหยียนกำลังเดินทอดน่องอยู่ริมตลิ่ง

แม้จะดึกมากแล้ว แต่ทว่าเรือยังคงแล่นอยู่บนแม่น้ำฉินหวาย โคมไฟสีแดงบนเรือยังคงส่องสว่างอยู่ สายลมพัดพาให้ต้นไผ่กระทบกันจนเกิดเสียงน่าฟัง

สวี่ซินเหยียนมิได้เข้าไปในห้องอักษรของจวนเยี่ยน พอฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากห้องนั้น นางก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูทุกข์ใจมากยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้นางบังคับรถม้าเพื่อกลับจวน แต่ให้มายังที่แห่งนี้แทน…

เขามีเรื่องในใจเยี่ยงนั้นหรือ !

เป็นเรื่องสำคัญมากใช่หรือไม่ !

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดเดินแล้วทอดมองไปยังแม่น้ำฉินหวายคล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา

เป็นไปมิได้เลยที่จะเดินทางออกจากราชวงศ์หยูในตอนนี้ ตำแหน่งของเขาสูงส่งและผู้คนที่เข้ามาพัวพันด้วยก็มีมิน้อยเลยทีเดียว

เช่นตระกูลเยี่ยน ตระกูลต่ง และทุกชีวิตในตระกูลฟู่แห่งหลินเจียง

นอกจากนี้นโยบายใหม่ก็เพิ่งเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ พรุ่งนี้จะเป็นการสอบเอินเคออย่างเป็นทางการ จากนั้นก็จะจัดตั้งเขตพิเศษของว่อเฟิงเต้าขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องปฏิบัติ เขาหวังว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจในครานี้จะทำให้ราษฎรร่ำรวยขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามความต้องการระดับสองหรือสามและมีอนาคตอันยาวไกล

ระบบสังคมที่เสื่อมถอยและล้าสมัยนี้เหมือนกรงขังที่มีมานานนับพันปี เขาต้องปล่อยให้ผู้คนค่อย ๆ เปิดใจที่จะเรียนรู้ จากนั้นพวกเขาก็จะนับถือและศรัทธาด้วยตนเอง

สิ่งที่เยี่ยนเป่ยซีกล่าวมาในวันนี้ช่างมีเหตุผลยิ่ง ดังนั้นเขาจึงมิได้โต้แย้งตั้งแต่ต้นจนจบ

เขามิได้ไปกำหนดเรื่องของโชคชะตาแต่เป็นการสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้ทันสมัยขึ้น

ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ราวสามถึงห้าปีก่อน ตอนที่แบบจำลองของว่อเฟิงเต้ายังมิได้รับการขัดเกลานั้น ฮ่องเต้มิเคยมายุ่งกับส่วนที่เขาดูแลอยู่เลย เพราะฮ่องเต้ต้องการให้ราชวงศ์หยูมีอำนาจและแข็งแกร่งเหนือกว่าราชวงศ์อู๋

เพื่อให้ตัวเขาได้อยู่ที่ราชวงศ์หยูอย่างปลอดภัย เช่นนั้นราชวงศ์อู๋ต้องแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่กว่าราชวงศ์หยูให้ได้เสียก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการทหาร

ดังนั้นไป๋ยู่เหลี่ยนจึงต้องไปที่ราชวงศ์อู๋เพื่อฝึกฝนกองกำลังดาบเทวะให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น !

ทั้งหมดนั้นเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงในบู๊ลิ้มอยู่แล้ว หลังจากการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษจากไป๋ยู่เหลียน ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาย่อมเกินกว่ากองทัพดาบเทวะในราชวงศ์หยู

สำนักอาวุธจะต้องถูกจัดตั้งขึ้นในราชวงศ์อู๋ แต่ทว่าจะส่งฉินเฉิงเย่ไปยังราชวงศ์อู๋มิได้ ดังนั้นต้องให้บิดาอ้วนส่งผู้มีความสามารถที่เก่งเรื่องอาวุธปืนมาเรียนรู้ที่ศูนย์วิจัยซีซาน

ในปีหน้าเมล็ดพันธุ์และฟู่ซื่อต้ายจะต้องถูกจัดสรรให้กับราชวงศ์อู๋ ต้องมีการจัดตั้งฐานเพาะพันธุ์ในราชวงศ์อู๋

ท่าเทียบเรือในเขตเหยาจำเป็นต้องเริ่มสร้างเรือรบรุ่นแรกนี่คืออีกหนึ่งหนทางทีดี

ต้องรีบสร้างกองเรือขึ้นก่อนที่ภารกิจของว่อเฟิงเต้าจะเสร็จสิ้น !

หมู่บ้านเสี้ยชุนก็ต้องเริ่มสร้างแล้ว น่าจะใช้เวลาราวสามถึงห้าปีในการสร้างหมู่บ้านเสี้ยชุนทั้งหมดให้กลายเป็นเมืองที่มีป้อมปราการ จากนั้นจวนฟู่ในหลินเจียงต้องย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านเสี้ยชุนทันที

ยิ่งอยู่ใกล้กับเขตเหยามากเท่าใดก็ยิ่งดี เพราะหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น การป้องกันจากหมู่บ้านเสี้ยชุนก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอพยพออกจากท่าเทียบเรือของเขตเหยาโดยใช้เรือรบได้

มันอาจจะมิเกิดขึ้นก็ได้ แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถเดิมพันได้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือมิเกิดขึ้นกันแน่ เพราะเขากำลังจะเป็นพ่อของลูกถึง 4 คน !

เยี่ยนเป่ยซีมิรู้ด้วยซ้ำว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ให้กำเนิดลูกชายแก่เขาแล้ว

ในเมืองหลวงนี้ ตระกูลเยี่ยนและจวนต่งจะเกิดเรื่องมิคาดคิดขึ้นมิได้เป็นอันขาด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเฝ้าติดตามความนึกคิดของฝ่าบาทและการเคลื่อนไหวของกองทัพชายแดนหลักทั้งสี่อย่างใกล้ชิด

“มีเรื่องเกิดขึ้นใช่หรือไม่ ? ” สวี่ซินเหยียนมองฟู่เสียวกวนด้วยความรู้สึกเป็นห่วง

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มออกมาเพื่อให้นางสบายใจ “มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก เพียงแค่มิได้คิดอย่างสงบเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้วก็เท่านั้น แสงของดวงดารายามยาตรีช่างงดงามมากยิ่งนัก คิดถูกแล้วที่ออกมาเดินเล่นและได้คิดทบทวนดู”

“อืม…ท่านอาจารย์เคยกล่าวกับข้าว่าพายุฝนฟ้ากระหน่ำก็จะมีทิวทัศน์อันเงียบสงบของเกลียวคลื่น ข้ารู้ว่าเรื่องที่ท่านคิดต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่เป็นอย่างมาก

ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ แม้แต่ผู้ที่ทะยานไปเก้าหมื่นลี้ก็ยังมีอาการเช่นนี้ได้เลย”

เมื่อกล่าวจบสวี่ซินเหยียนก็ได้เอื้อมมือมาแตะบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “แม้ว่าข้าจะยังมิได้แต่งงานกับท่าน แต่ข้าก็เป็นคนของท่านแล้ว ข้าอาจจะช่วยสิ่งใดท่านมิได้เลย แต่หากท่านมีความในใจก็สามารถระบายกับข้าได้ โปรดอย่าแบกมันไว้เพียงผู้เดียว มิเยี่ยงนั้นท่านจะทนมิไหวเอาได้”