บทที่ 585 ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด

บัลลังก์พญาหงส์

ขนมเหนียวและซิ่งเหรินอบไม่ได้ถือว่าต้องใช้เวลามากนัก แต่จะทำให้อร่อยก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคนทำ ขนมเหนียวจะต้องมีเนื้อละเอียด หอมหวาน นุ่มลิ้น ละลายในปาก อีกทั้งต้องมีสีเหมือนดอกชบา ตั้งแต่ขาวน้ำนมไปจนถึงแดงกุหลาบ กลีบชั้นก็จะต้องถูกย้อมดั่งสีชาด และซิ่งเหรินอบจะต้องกรอบนุ่มหอมหวาน ต้องมีกลิ่นหอมของซิ่งเหริน แล้วยังต้องคำนึงถึงรสสัมผัสด้วยเช่นกัน 

 

 

 

 

 

อาจด้วยใจไม่สงบ ถาวจวินหลันจึงไม่ค่อยพอใจขนมเหนียวรอบแรกเท่าไรนัก รู้สึกว่ารสสัมผัสไม่ได้ดีมาก ดังนั้นจึงทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากทำเสร็จแล้วยังไม่ทันได้ให้คนเอาไปส่งให้หลี่เย่ หลี่เย่ก็กลับมาเองเสียก่อน 

 

 

 

 

 

หลี่เย่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย แต่สีหน้ากลับดูไม่เหมือนตอนออกไปเมื่อเช้าแม้แต่น้อย ทั้งยังเดินอย่างสบายใจ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของหลี่เย่ก็คลายกังวล ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านกลับมาถูกเวลาพอดี เพิ่งทำขนมเหนียวและซิ่งเหรินอบเสร็จ มาลองชิมเร็วเข้า” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ยิ้มพลางกินซิ่งเหรินอบจากมือของถาวจวินหลัน ท่าทางดูมีความสุข “รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว พอฟัดพอเหวี่ยงกับของภายในวังเลยทีเดียว” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดชม ก็อดหัวเราะไม่ได้ “พูดอะไรเพคะ ฝีมือเช่นข้า ไฉนเลยจะเทียบกับห้องเครื่องภายในวังหลวงได้?” แต่ก็ยังแอบดีใจอยู่ลึกๆ หลี่เย่ชอบของที่นางทำให้ นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร? 

 

 

 

 

 

พอหลี่เย่ทานขนมเหนียวและซิ่งเหรินอบแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ถามเรื่องที่เข้าวังในวันนี้ “ฮ่องเต้ตรัสว่าอย่างไรเพคะ?” 

 

 

 

 

 

“เสด็จพ่อก็หวาดระแวงตระกูลหวังเช่นเดียวกัน จึงไม่ยินยอมเรียกใช้คนตระกูลหวัง” ตอนที่หลี่เย่พูดก็อมยิ้มเล็กน้อย “ความหมายของเสด็จพ่อคือให้เรียกใช้คนใหม่เลย แต่สามารถเอาผู้บัญชาการของตระกูลหวังมาเป็นรองผู้บัญชาการได้” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว ในใจนั้นนึกชื่นชม วิธีนี้ถือว่าดีมาก ใช้คนใหม่จะต้องทำให้พลทหารไม่ยินยอม แต่ถ้าคนตระกูลหวังเป็นรองผู้บัญชาการ พลทหารธรรมดาย่อมยอมรับได้เป็นแน่ 

 

 

 

 

 

สิ่งเดียวที่ไม่ยอมแพ้น่าจะเป็นทางตระกูลหวัง แต่สำหรับตระกูลหวังแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสพลิกตัวที่หาได้ยาก ดังนั้นทางด้านตระกูลหวังคงไม่ปฏิเสธแน่นอน 

 

 

 

 

 

สมแล้วที่ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด เป็นฮ่องเต้มานานหลายปี สุดท้ายวิธีจัดการเรื่องราวต่างๆ ก็ต้องยิ่งเหมาะสมมากกว่า อย่างน้อยนางกับหลี่เย่ก็ไม่เคยคิดวิธีนี้มาก่อน 

 

 

 

 

 

ฮ่องเต้ใช้วิธีให้เหมือนเป็นกลาง แม้จะบอกว่ามีประโยชน์ต่อตระกูลหวัง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้ แม้ว่ารองผู้บัญชาการจะทำสำเร็จ แต่ผลงานส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ตัวของผู้บัญชาการ ผลงานของตระกูลหวังเรียกว่าเล็กน้อยกว่ามาก 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังใช้โอกาสนี้บ่มเพาะผู้บัญชาการคนใหม่ขึ้นมาได้ หลังจากผ่านครั้งนี้ไปได้ ครั้งต่อไปก็รับหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ใครก็ไม่อาจแย้งได้ 

 

 

 

 

 

แต่ยังมีอีกปัญหา ถาวจวินหลันกะพริบตา ถามหลี่เย่ว่า “ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ได้บอกหรือยังว่าจะใช้ใคร? หรือว่าเรื่องนี้ให้ท่านตัดสินใจ?” 

 

 

 

 

 

“เสด็จพ่อให้ข้าตัดสินใจ” หลี่เย่พูดยิ้มๆ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ดีใจทันที ฮ่องเต้พูดเช่นนี้ได้ ก็หมายถึงฮ่องเต้เชื่อใจหลี่เย่ และหมายความว่าให้หลี่เย่บ่มเพาะอำนาจของตนเอง 

 

 

 

 

 

นี่ย่อมเป็นเรื่องดี อีกทั้งดูจากเรื่องนี้แล้ว ก็ถือว่าฮ่องเต้ปฏิบัติกับหลี่เย่ดีกว่ารัชทายาทฮุ่ยเต๋อ 

 

 

 

 

 

“นี่ถือเป็นเรื่องดีเพคะ” ถาวจวินหลันพูดยิ้มๆ “สุดท้ายแล้วเสด็จพ่อยังเห็นแก่สายสัมพันธ์พ่อลูก คิดว่าท่านอ๋องคงอารมณ์ดีขึ้นแล้วกระมัง?” 

 

 

 

 

 

พอเขาถูกถาวจวินหลันพูดหยอกเย้าใส่ หลี่เย่กลับไม่เขินอาย ทว่ายอมรับอย่างเปิดเผย “แน่นอน โดยเฉพาะหลังจากทานขนมเหนียวและซิ่นเหรินอบแล้ว” 

 

 

 

 

 

ขณะที่พูดอยู่ แม่นมก็พาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้ามา หลี่เย่ยิ้มรับหมิงจูเข้ามาในอ้อมกอด พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าป้อนหมิงจู ส่วนซวนเอ๋อร์ให้เขากินเอง” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่มักจะเอ็นดูและอ่อนโยนกับหมิงจูมาก แต่เข้มงวดกับซวนเอ๋อร์ แต่ซวนเอ๋อร์ก็ไม่กล้างอแง ทว่าเชื่อฟังอย่างดี หัวเราะพลางพยักหน้าหงึกๆ “ซวนเอ๋อร์กินเอง” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์อายุสี่ขวบกว่าแล้ว กินข้าวเองได้เป็นอย่างดี แม้จะบอกว่ายังใช้ตะเกียบไม่ค่อยเป็น แต่ใช้ช้อนนได้กับทุกอย่าง อีกทั้งมีถาวจวินหลันให้กำลังใจ เขาจึงเริ่มชอบกินข้าวเอง ไม่ต้องให้แม่นมมาป้อนแล้ว 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะพลางยกขนมเหนียวมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งให้หลี่เย่และหมิงจู อีกถ้วยหนึ่งให้ซวนเอ๋อร์ ของซวนเอ๋อร์ต้องเล็กกว่ามาก จะได้ไม่กินอิ่นเกินจนกินข้าวเย็นไม่ไหว 

 

 

 

 

 

ตอนที่หลี่เย่ป้อนหมิงจูก็ได้เห็นความละเอียดอ่อนและความอ่อนโยน ถาวจวินหลันมองดูหลี่เย่ป้อนหมิงจูเป็นคำเล็กๆ อย่างระมัดระวังอยู่ข้างๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าดูแล้วท่านเหมือนแม่นมเลยเพคะ ป้อนได้ดีเหลือเกิน” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ได้ยินก็หัวเราะ “จริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าคงทำได้ดีทีเดียว” 

 

 

 

 

 

ฟังเขาชมตัวเองอย่างไม่ถ่อมตัว ถาวจวินหลันก็ยิ่งหัวเราะดัง จังหวะนั้นหลี่เย่ก็รีบเอาขนมเหนียวใส่ปากนางโดยไม่ทันตั้งตัว 

 

 

 

 

 

กลิ่นหอมหวาน รสชาติอ่อนละมุนกระจายไปทั่วปากในทันใด เพราะด้านในใส่น้ำค้างดอกชบาและน้ำผึ้งลงไป ดังนั้นจึงได้รสหวานอ่อนๆ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกชบา ถาวจวินหลันอมยิ้มกลืนลงไป ใบหน้าของนางเป็นสีแดงระเรื่อถลึงตามองหลี่เน่อย่างเง้างอด อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวถูกนินทาเอาหรืออย่างไร? อีกอย่างพวกเด็กๆ ก็ยังอยู่ตรงนี้ด้วย 

 

 

 

 

 

หลี่เย่กลับไม่สนใจ เพียงแค่ยิ้มมองถาวจวินหลัน 

 

 

 

 

 

“ท่านแม่ กิน!” เสียงของซวนเอ๋อร์ดังขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าซวนเอ๋อร์เอียงตัว ในมือสั่นน้อยๆ ยังถือขนมเหนียวอยู่ช้อนหนึ่งส่งมาข้างปากนาง พอเห็นท่าทางใสซื่อของเขา นางก็อดเอื้อมมือไปหยิกเนื้ออวบอ้วนบนหน้าของเขาม่ได้ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพลันรู้สึกใจละลายเป็นน้ำผึ้ง ความหวานกระจายไปทั่วทั้งใจ พอกลืนเอาขนมเหนียวเข้าปากไปแล้ว ในยามที่สัมผัสได้ถึงรสชาติหอมหวาน นางก็คล้ายมัวเมาไปกับรสสัมผัสหอมหวานนี้ 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ตั้งใจหยอกซวนเอ๋อร์ “ทำไมให้แค่แม่กินเล่า ไม่ให้พ่อชิมบ้างหรือ?” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ตักจากชามของตนเอง เพียงแค่ใช้ช้อนของตัวเองตักในถ้วยของหลี่เย่ช้อนหนึ่งเพื่อป้อนหลี่เย่ หลี่เย่กินเข้าไปแล้ว จากนั้นก็ปั้นหน้าพูดหยอกต่อ “พ่ออยากกินจากชามของซวนเอ๋อร์” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์ก้มหน้ามองไปที่ขนมเหนียวน้อยนิดของตนเอง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เม้มปากตักให้หลี่เย่ช้อนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจงใจหรืออย่างไรถึงได้ตักมาแค่ครึ่งช้อนเท่านั้น 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกลั้นหัวเราะไม่ไหว แม่นมที่อยู่ข้างๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ ซวนเอ๋อร์ช่างน่ารักจนใครก็อดเอ็นดูไม่ได้  

 

 

 

 

 

เห็นได้ชัดว่าซวนเอ๋อร์ตัดใจตักขนมเหนียวที่เหลือให้หลี่เย่กินทั้งหมดไม่ได้ ตัวเขาเองยังกินไม่พอด้วยซ้ำไป! แต่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้ว แล้วแบ่งออกไปหลายช้อน ตัวเขาเองก็ได้กินเพียงไม่กี่คำเท่านั้น 

 

 

 

 

 

หลี่เย่เองก็ใจร้าย ทั้งๆ ที่เห็นว่าซวนเอ๋อร์หวงของ แต่ก็ยังตั้งใจหยอกให้เขาแบ่งให้ตัวเองกินช้อนหนึ่ง ทั้งยังตั้งใจถามซวนเอ๋อร์ต่อ “ทำไมแม่ได้กินเต็มช้อน แต่ให้พ่อเพียงเท่านี้เล่า? ซวนเอ๋อร์ขี้งก ไม่รักพ่ออย่างนั้นหรือ?” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์ก็ถูกหยอกจนเริ่มโมโห พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านพ่อนิสัยไม่ดี!” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะทันที ท่าทางทั้งน้อยใจและโมโหของซวนเอ๋อร์ ช่างน่าคว้าตัวเข้ามากอดแน่นๆ สักที นางเองคิดจะคำนึงถึงจิตใจของซวนเอ๋อร์ แต่ก็ควบคุมไม่ได้จริงๆ 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์เห็นว่าถาวจวินหลันไม่ช่วยแล้วยังหัวเราะ จึงยิ่งรู้สึกน้อยใจกว่าเดิม เบะปากร้องไห้เสียงดัง พูดงึมงำอยู่ตลอดว่า “ท่านพ่อนิสัยไม่ดี! ท่านพ่อนิสัยไม่ดี!” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ปั้นหน้านิ่ง “ทั้งๆ ที่เป็นเพราะซวนเอ๋อร์ขี้งก ทำไมถึงมาบอกว่าพ่อนิสัยไม่ดีเล่า? ซวนเอ๋อร์นิสัยไม่ดี ไม่สงสารพ่อเลย” 

 

 

 

 

 

สุดท้ายซวนเอ๋อร์ก็ร้องไห้เสียงดังลั่น ร้องไปก็พูดสะอึกสะอื้นไป “ท่านพ่อมีแล้ว แต่ยังมาแย่งของซวนเอ๋อร์! ท่านพ่อนิสัยไม่ดี!” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองหลี่เย่ แล้วอุ้มซวนเอ๋อร์เข้ามาในอ้อมอก ปลอบเขาอย่างอ่อนโยน “ซวนเอ๋อร์หมายความว่า ท่านพ่อมี แต่แม่ไม่มี ถึงได้ให้แม่กิน ไม่ให้ท่านพ่อกินใช่หรือไม่? ท่านพ่อขี้เหนียว เห็นซวนเอ๋อร์แบ่งให้แม่กิน เขาก็จะเอาเหมือนกัน แล้วยังอยากเอาจากถ้วยของซวนเอ๋อร์อีก ช่างขี้เหนียวเสียจริง เจ้าหมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่?” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์พยักหน้าหงึกๆ เหมือนกับลูกไก่จิกอาหาร เสียงสะอื้นก็ค่อยๆ หยุดลง 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์มีข้อดีตรงที่น้อยครั้งจะร้องไห้โวยวายเสียงดังหรือร้องไห้ไม่รู้จักหยุด อีกทั้งขอแค่ปลอบเสียหน่อยเขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ต่อให้ไม่มีคนปลอบ ตนเองโกรธอยู่ครู่หนึ่งก็จะลืมและเลิกร้องไห้ไปเอง 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ถูกถาวจวินหลันมองเช่นนี้ ก็ยกมือขึ้นลูบคางแก้เก้อ ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่พูดพึมพำกับหมิงจู “หมิงจูอย่าเลียนแบบพี่ชายของเจ้านะ ต่อจากนี้ไปจะต้องกตัญญูกับพ่อ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันแทบหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเยี่ยงเด็กน้อยของหลี่เย่ แต่ไฉนเลยนางจะกล้าหัวเราะ? ซวนเอ๋อร์ยังไม่ทันหาย หากนางหัวเราะตอนนี้ ซวนเอ๋อร์ก็คงไม่ยอมแน่นอน 

 

 

 

 

 

รอจนซวนเอ๋อร์หยุดร้องไห้แล้ว ถาวจวินหลันถึงได้พูดหลอกล่อซวนเอ๋อร์ว่า “แต่เรื่องนี้ซวนเอ๋อร์ก็ผิดเหมือนกัน เจ้าลองคิดให้ดี เจ้ามีของเจ้า ท่านพ่อมีของท่านพ่อ แต่เจ้าก็ยังแบ่งให้เขาได้ เพราะว่าซวนเอ๋อร์แบ่งของตนเองให้ท่านพ่อ ถือว่าเป็นการกตัญญู เจ้าว่าจริงหรือไม่? ดังนั้นต่อจากนี้ไม่ว่าท่านพ่อจะมีหรือไม่มี เจ้าก็จะต้องให้เขาเข้าใจหรือไม่? เพราะซวนเอ๋อร์เป็นเด็กดี เป็นเด็กดีที่กตัญญูที่สุด” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ซวนเอ๋อร์เป็นเด็กดี กตัญญูต่อท่านพ่อ!” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “และก็กตัญญูต่อท่านแม่ที่สุดด้วย!” 

 

 

 

 

 

พอคำพูดนี้ดังออกมา ก็ทำให้ทุกคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันใด หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “สมแล้วที่สนิทกับท่านแม่มากกว่า ต่อจากนี้ไปข้าไม่กล้าแกล้งเจ้าแล้ว” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกลับทำหน้าได้ใจ “ซวนเอ๋อร์เป็นเด็กดีรู้จักกตัญญูเสียจริง!” 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์เห็นถาวจวินหลันมีความสุข ก็ค่อยๆ อิงแอบเข้าไปในอ้อมอกของถาวจวินหลัน พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ พลางพูดเสียงเบา “ท่านอ๋องเองก็อย่าหยอกลูกอีกเลยเพคะ ซวนเอ๋อร์โตขนาดนี้ย่อมรู้เรื่องบ้างแล้ว สอนผิดไปจะเอาไปเป็นแบบอย่างเพคะ อีกอย่างนานๆ จะได้มีโอกาสอยู่บ้าน พ่อลูกควรจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ท่านอ๋องอย่าลำเอียงเอ็นดูแต่หมิงจูสิเพคะ” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ลูบคางรับคำ ไม่นานก็กลับมามีบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์อีกครั้ง