ตอนที่ 479 เสียแรงเปล่า

วาสนาบันดาลรัก

“เสด็จพี่เพคะ เสด็จพี่จะต้องให้ความเป็นธรรมกับน้องด้วย จยาหมิงเซี่ยนจู่หยาบคายไร้มารยาท บังอาจตบตีข้า” องค์หญิงฟางโหรวแสดงปฏิกิริยาขึ้นมาเป็นอย่างแรก ร้องไห้กระซิกๆ โผเข้าหาเฉินชิ่งตี้

 

 

นางมิใช่องค์หญิงผู้ที่จะหยิ่งยโสและเอาแต่ใจดังเก่า เรียนรู้ที่จะยอมจำนนมาสักระยะหนึ่งแล้ว

 

 

ปอยผมขององค์หญิงฟางโหรวกระเซอะกระเซิง อาภรณ์เปรอะไปด้วยใบหญ้า วิ่งกะโผลกกะเผลกเข้ามา แลดูน่าสงสาร

 

 

เมื่อเฉินชิ่งตี้หลบหลีก นางจึงโผเข้าหาความว่างเปล่า หันกลับมาหาด้วยความงงงัน “เสด็จพี่”

 

 

เฉินชิ่งตี้นิ่วหน้า เอ่ยอย่างเย็นชา “ได้ยินว่า ที่ผ่านมาน้องหญิงมิต้องการออกเรือน เหตุเป็นเพราะข้า?”

 

 

องค์หญิงฟางโหรวแทบจะล้มลงอีกครา ชำเลืองมองเฉินชิ่งตี้อย่างไม่อยากเชื่อ ดวงหน้าทั้งอับอายและทุกข์ร้อน เปล่งเสียงสูงโดยไม่ทันได้รู้ตัว “เสด็จพี่ เสด็จพี่เชื่อคำพูดเพ้อเจ้อของนางได้อย่างไร!”

 

 

เจินเมี่ยวที่ถูกนางชี้นิ้วใส่เองก็โค้งมุมปาก

 

 

ฝ่าบาท แล้วเกียรติยศของท่านเล่า

 

 

เฉินชิ่งตี้เปล่งวาจาเสียงเรียบ “เจ้าทราบว่าเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อก็ดีแล้ว”

 

 

ตามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดที่ดังขึ้นฉับพลัน “เจ้าเป็นสาวเป็นแส้ มิทันไรก็ใช้วาจาจำพวกนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน”

 

 

“เสด็จพี่ ข้าเปล่า ข้าเพียงได้ยินมา…”

 

 

เฉินชิ่งตี้ตัดบทวาจาของนาง “ได้ยินมางั้นหรือ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าน้องหญิงมีใจให้กับคุณชายรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง หยางกงกง ประกาศความประสงค์ของข้า องค์หญิงฟางโหรวกับคุณชายรองสกุลหลัวเป็นคู่ฟ้าชะตาลิขิต ข้ายินดียิ่งนักที่จะประทานสมรสและเลือกวันสมรสให้กับทั้งสอง!”

 

 

“เสด็จพี่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้!” องค์หญิงฟางโหรวหวีดร้องเสียงแหลม

 

 

ใครๆ ก็ต่างทราบดีว่า คุณชายรองตระกูลหลัวจะไร้วาสนา พลาดจากการสอบชุนเหวยถึงสองครา ตกอยู่ภายใต้ความคับแค้นใจมาเป็นเวลานานจนสติวิปลาสไปเสียแล้ว

 

 

เฉินชิ่งตี้ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย มองไปยังหยางกงกง “หยางกงกง ตะลึงอยู่ไย ยังไม่รีบถ่ายทอดเจตนารมณ์ของข้า!”

 

 

“ไม่เพคะ!” องค์หญิงฟางโหรวเขยื้อนตัวเข้ามาหาด้วยความยากลำบาก คุกเข่าลงที่ข้างฝ่าเท้าของเฉินชิ่งตี้ “เสด็จพี่ ฟางโหรวจะไม่แต่งงาน ต่อให้โกนผมบวชเป็นชี ข้าก็ไม่มีวันไม่แต่งงานกับคนบ้า!”

 

 

หยางกงกงชำเลืองมองเฉินชิ่งตี้อย่างระมัดระวัง เห็นว่ามุมปากของเขายกขึ้น ถึงได้เข้าใจว่าคำกล่าวเมื่อสักครู่ถือเป็นโมฆะ ทั้งสายตายังเมินเฉยไม่ไหวติง จู่ๆ เฉินชิงตี้ก็หัวเราะออกมา น้ำเสียงอ่อนโยน “ที่แท้น้องหญิงก็อยากออกบวชนี่เอง ทำไม่ไม่บอกกันตั้งแต่เนิ่นๆ เล่า ในอารามหลวงมีแต่สนมของอดีตจักรพรรดิ น้องหญิงไปที่นั่นจะเป็นการไม่เหมาะสม อย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าเห็นว่าอาศรมเสี่ยวฝูก็ใช้ได้ น้องหญิงไปสงบจิตใจที่นั่นก็แล้วกัน”

 

 

อาศรมเสี่ยวฝูตั้งอยู่ที่หลังเขาของวัดต้าฝู แม่ชีที่ออกบวชที่นั่นล้วนแต่มีที่มาที่ไป ทั้งยังมิเปิดให้คนธรรมดา เป็นสถานที่สงบจิตใจอย่างแท้จริง

 

 

เฉินชิ่งตี้ตรัสเพียงคำสองคำ องค์หญิงฟางโหรวก็ถูกบังคับให้ไปบวช กระทั่งเมื่อนางถูกพาตัวออกไป ก็ราวกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญทั้งอ่อนเพลียและแหบแห้งอยู่ที่ข้างหู สติของเจินเมี่ยวยังไม่หวนกลับมา

 

 

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน นางรู้สึกว่าสติปัญญาของตนช่างเร่งเร้า

 

 

เจินจิ้งที่ซ่อนอยู่ในมุมอับยิ่งมีสีหน้าซีดขาว ปิดปากสนิทไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย เหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นบนหลังอย่างกะทันหัน

 

 

กระทั่งองค์หญิงที่จักรพรรดิองค์ก่อนทรงโปรดปรานเป็นที่สุด พระองค์ก็ส่งตัวไปบวชตามใจปรารถนา ช่างโหดเ**้ยมเสียเหลือเกิน!

 

 

นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาเสียแล้ว

 

 

ต่อให้เกลียดชังคุณหนูสี่สกุลเจินอย่างไร นางก็ไม่ควรลงมือง่ายดายเช่นนี้! ฝ่าบาทจะสืบมาถึงตัวนางหรือไม่

 

 

หากล่วงรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของนาง พระองค์จะทำเช่นไร

 

 

ไม่ ไม่สิ จะดีร้ายอย่างไรนางก็ให้กำเนิดบุตรธิดาให้พระองค์อย่างละคน โดยเฉพาะเจินเจิน พระองค์รักใคร่เอ็นดูเจินเจินถึงเพียงนั้น จะปล่อยให้นางไร้มารดาได้อย่างไร!

 

 

ตามนี้ละ อีกประเดี๋ยวกลับที่ประทับไปเรียกตัวเจินเจินมาปลอบโยนพระองค์สักหน่อย แม้ว่าจะไม่สนิทใจกับเด็กหญิงผู้นี้ ทว่าที่ผ่านมานางก็ไม่กล้าดื้อรั้นกับคำพูดของมารดามาก่อน

 

 

ความคิดของเจินจิ้งแปรเปลี่ยนในฉับพลัน ทว่ายังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เกรงว่าเคลื่อนไหวแล้วจะถูกจับได้

 

 

“จยาหมิง” เฉินชิ่งตี้ตะโกนเรียก

 

 

ภายในใจของเจินเมี่ยวบีบรัด ร่างกายอันแข็งเกร็งน้อมถวายบังคม “คารวะฝ่าบาท”

 

 

“เจ้าต้องการเช่นนี้มิใช่หรือ” น้ำเสียงของเฉินชิ่งตี้ค่อนข้างทุ้มต่ำ

 

 

“เพคะ?” เจินเมี่ยวเงยหน้า

 

 

“ได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องต้องการพบข้า” ในที่สุดเฉินชิ่งตี้ก็อดไม่ได้ที่จะเตือนสตินาง คิดภายในใจว่า หากนางไม่ฉวยโอกาสนี้ขอร้องเขา นางก็โง่เขลาเต็มที!

 

 

เวลานี้เจินเมี่ยวไวต่อคำว่า “ได้ยินมาว่า” เป็นพิเศษ จึงรีบร้อนส่ายหน้า “เปล่าเพคะ!”

 

 

“ไม่มีงั้นหรือ” มีเรื่องให้ช่วยเหลือก็ว่ามา ทำเช่นนี้เขายิ่งร้อนใจ!

 

 

“ไม่มีจริงๆ เพคะ” น้ำเสียงของเจินเมี่ยวเด็ดเดี่ยว

 

 

เส้นโลหิตใต้ผิวหนังบริเวณปลายหน้าผากของเฉินชิ่งตี้เลิกขึ้น เอ่ยกับองครักษ์นำทางด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ส่งจยาหมิงเซี่ยนจู่ออกจากวัง หากมิใช่เรื่องนำทางผิด เจ้าคงไม่มีเรื่องมาพบข้าอีกแล้ว”

 

 

คำกล่าวนี้ทำให้องครักษ์นำทางของเจินเมี่ยวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง คุกเข่าอยู่บนพื้นมิกล้าเงยหน้า

 

 

เจินเมี่ยวแอบถอนใจ “จยาหมิงทูลลา”

 

 

รอจนกระทั่งนางออกไป เฉินชิ่งตี้จึงกวาดมองไปยังองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นปราดหนึ่งด้วยสายตาอันเยือกเย็น แล้วจู่ๆ ก็หันมองไปทางอื่น

 

 

เจินจิ้งที่ซ่อนอยู่ในมุมอับแข็งทื่อไปทั้งร่าง จิตใจพลันแล่นไปอยู่ที่ลำคอ

 

 

เป็นไปไม่ได้ จักรพรรดิไม่มีทางรู้ว่านางอยู่ที่นี่

 

 

“ออกมาเถิด”

 

 

วาจาเมินเฉยประโยคนั้นแทบทำให้เจินจิ้งตกใจจนแทบสิ้นแรง นางกัดมือไว้จึงไม่ตื่นตระหนกจนร้องออกมา

 

 

สายตาของเฉินชิ่งตี้มองอย่างแน่วแน่ไปยังบริเวณนั้น มุมปากโค้งมนด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า “อะไรกันเล่า ต้องให้ข้าเชิญเจ้าออกมางั้นหรือ เจินกุ้ยเฟย!”

 

 

เจินจิ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด ในหัวพลันว่างเปล่า สักครู่หนึ่ง จึงย่างกรายออกมาด้วยท่าทีเช่นหุ่นไม้

 

 

“เจินกุ้ยเฟยผ่านมาทางนี้หรือ”

 

 

เจินจิ้งหนาวสั่นในทันใด สักครู่จึงได้สติคืนมา คุกเข่าลงเสียงดังพรึ่บ ท่าทีอ่อนน้อมหาใดเปรียบ “เพคะ…หม่อมฉันผ่านมาทางนี้ พบเห็นองค์หญิงฟางโหรวกับจยาหมิงเซี่ยนจู่โต้เถียงกันโดยบังเอิญ มิกล้าเปิดเผยตัว ถึงได้หลบอยู่ตรงนี้”

 

 

นางก้มหน้าลง จดจ้องพื้นที่ปูด้วยหินเขียว ทำให้เห็นต้นคออันบอบบาง ชวนเวทนา

 

 

เฉินชิ่งตี้ก้าวเข้ามา เอื้อมมือดึงตัวนางให้ลุกขึ้น

 

 

เจินจิ้งลุกขึ้นยืน เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีอ่อนช้อยบอบบาง น้ำตาคลอเบ้า ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งจดจ้องไปยังเฉินชิ่งตี้

 

 

เห็นว่าเฉินชิ่งตี้เชิ่ดมุมปาก ยื่นนิ้วมือตั้งตรงสัมผัสบนริมฝีปากของเจินจิ้ง ยิ้มอย่างเรียบง่ายพลางเอ่ย “กุ้ยเฟย ข้าเคยบอกเจ้าไว้นานแล้วไงว่าอย่าเห็นข้าเป็นคนโง่เง่า นี่เป็นครั้งที่สองแล้วมิใช่หรือ”

 

 

เขาเดินทางมาจนถึงบัดนี้ มิได้เพียงพึ่งพาโชควาสนา เรื่องราวที่อยากรู้ มีหรือที่จะไม่รู้

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเปล่า” นางสัมผัสไปยังนัยน์ตาอันเยือกเย็นและลึกล้ำของเฉินชิ่งตี้ ราวกับว่ามองทะลุนางได้ก็ไม่ปาน คำกล่าวปฏิเสธของเจินจิ้งถูกกลืนลงไป นางกัดฟันเอ่ย “หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอร้องฝ่าบาทได้โปรดเห็นแก่เจินเจินและองค์รัชทายาท อภัยให้หม่อมฉันในครั้งนี้ด้วย!”

 

 

“เกียรติยศของเจินเจินและผิงเกอ กุ้ยเฟยใช้หมดไปตั้งแต่คราวก่อนแล้วนี่นา”

 

 

สีหน้ากังวลของเจินจิ้งทอดมองไปยังเฉินชิ่งตี้

 

 

เฉินชิ่งตี้ยิ้มเรียบๆ “วางใจเถิด เจินเจินเป็นองค์หญิงที่ข้ารักเป็นที่สุด ผิงเกอเป็นลูกชายคนโตของข้า ข้าไม่ยอมให้พวกเขามีมารดาที่ถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็นหรอก องครักษ์ ส่งกุ้ยเฟยกลับตำหนัก”

 

 

เจินจิ้งถอนหายใจยาว

 

 

ไม่ถูกส่งไปตำหนักเย็นก็ดีแล้ว! ขอเพียงมีเจินเจินอยู่ ไม่ช้าไม่นานนางก็จะได้ลืมตาอ้าปาก!

 

 

เจินจิ้งกลับไปยังตำหนักฉงหวา ไม่นานนักก็มีนางในเข้ามาส่งข่าว “กุ้ยเฟยเพคะ หยางกงกงมาเพคะ”

 

 

“รีบเชิญเข้ามา”

 

 

หยางกงกงก้าวเข้ามา กวาดตามองโดยรอบปราดหนึ่ง

 

 

เจินจิ้งเข้าใจความหมาย สั่งให้นางกำนัลถอยออกไป

 

 

องค์รักที่ตามหลังหยางกงกงก้าวมาข้างหน้า ใช้มือนำผ้าแพรสีแดงที่คลุมบนถาดให้เปิดออก เผยให้เห็นแพรต่วนสีขาวกับจอกเหล้า

 

 

“กุ้ยเฟย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเลือกอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”