บทที่ 587 ขัดแย้ง

บัลลังก์พญาหงส์

เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังหลี่เย่ได้ ในวันนั้นถาวจวินหลันจึงเล่าเรื่องนี้ให้หลี่เย่ฟัง

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่กลับมีท่าทีนิ่งเฉย

 

 

ทันใดนั้นถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา ถามทันทีว่า “ท่านรู้เรื่องนี้แล้วหรือเพคะ?”

 

 

หลี่เย่พูดตอบรับเสียงเบา แล้วพูดอีกว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เจ้าไม่ต้องใส่ใจมากนัก”

 

 

อาจด้วยท่าทีของหลี่เย่ดูนิ่งเกินไป ดังนั้นไฟโกรธของถาวจวินหลันจึงพุ่งขึ้นมาในทันที นางจึงเผลอขึ้นเสียงสูงอย่างควบคุมไม่ได้ “ไม่สำคัญตรงไหนเพคะ ไม่ต้องใส่ใจมากหรือเพคะ? นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ? ท่านบอกข้าหน่อยว่าข้าจะไม่สนได้อย่างไรเพคะ!”

 

 

แต่พอนางพูดออกไป นางก็นิ่งอึ้งในทันใด ท่าทีอึ้งตะลึงไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับคืนมา นางกล้าใส่อารมณ์เช่นนี้ต่อหลี่เย่ อีกทั้งยังระเบิดอารมณ์อย่างไร้เหตุผล

 

 

รู้สึกผิดย่อมเป็นเรื่องธรรมดา มากไปกว่านั้นคือความตื่นตะลึง แล้วก็รู้สึกขายหน้า ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้าหลี่เย่อย่างไร สุดท้ายนางก็กัดริมฝีปากอย่างแรง พูดทิ้งท้ายว่า “ข้าขอไปสงบสติสักครู่ ท่านอย่าสนใจข้าเลยเพคะ”

 

 

พอพูดจบนางก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป แล้วขังตัวเองเอาไว้

 

 

นางไม่ควรทำเช่นนั้นกับหลี่เย่จริงๆ ไฟโกรธเมื่อครู่นี้พลุ่งพล่านยากจะเชื่อ อีกทั้งความนิ่งเงียบและตกใจของหลี่เย่ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่ดี

 

 

บางทีนางอาจจะพาลโกรธ แต่อย่างไรนางก็เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ นางย่อมใส่ใจอย่างมาก และเพราะว่าใส่ใจ ถึงได้มีอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อเห็นท่าทีเรียบนิ่งของหลี่เย่

 

 

โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินหลี่เย่พูดว่า ‘ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เจ้าไม่ต้องใส่ใจเกินไป’ นั้น ก็เหมือนนางคิดเอาเองฝ่ายเดียว ความเป็นกังวลและเดือดร้อนใจทั้งหมดของนางเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ แม้แต่หลี่เย่ก็ไม่เห็นค่าเลยด้วยซ้ำไป

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางเข้าใจดี ที่หลี่เย่พูดเช่นนี้ก็ด้วยเป็นห่วงนาง และไม่อยากให้นางเป็นกังวลไปด้วย ดังนั้นถึงได้พูดให้นางสบายใจ แต่นางกลับ…

 

 

ยิ่งคิดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ยิ่งคิดว่าตนเองไม่มีหน้าไปพบหลี่เย่

 

 

หลี่เย่เองก็คงไม่ชอบที่นางเป็นเช่นนี้กระมัง? นางเป็นเช่นนี้ ต่างอะไรจากผู้หญิงปากจัดใจหยาบเหล่านั้น? มีเรื่องไม่พอใจหรือไม่ตามใจเพียงเล็กน้อยก็โวยวาย ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ ตัวนางเองก็ไม่ชอบตนเองที่เป็นเช่นนี้

 

 

ถาวจวินหลันเอามือปิดหน้าเอาไว้ด้วยความหงุดหงิด คิดอย่างเศร้าสร้อยว่าตนเองเป็นอะไรไปกันแน่? หลี่เย่ปฏิบัติเช่นนี้กับนาง กลับทำให้นางเผลออารมณ์เสีย

 

 

ถาวจวินหลันขังตัวเองอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม แม้แต่บ่าวมาเคาะประตูถามว่าจะให้จัดสำรับอาหารหรือไม่ก็ยังไม่สนใจ ตอนนี้นางตกอยู่ในภวังค์ของการโทษตนเองและรังเกียจตนเองอย่างลึกล้ำ คำพูดอะไรล้วนไม่อยากพูด ไม่อยากจะสนใจเรื่องอื่น อยากจะหาที่ขุดแล้วฝังตนเองลงไป

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าต่างเบาๆ จึงนิ่งไปเล็กน้อย พอตอนที่นางหันไปมอง ก็เห็นว่าบนพื้นมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง

 

 

นี่เห็นได้ว่ามีคนโยนเข้ามา ถาวจวินหลันหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู

 

 

คลี่กระดาษออก ข้างในนั้นเป็นตัวหนังสือหนึ่งบรรทัดที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา “ข้าไม่ดีเอง อย่าโมโหเลย”

 

 

เป็นหลี่เย่

 

 

ถาวจวินหลันมองตัวหนังสือ ดูแล้วก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว หลี่เย่กำลังขอโทษนาง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของหลี่เย่ด้วยซ้ำไป

 

 

สุดท้ายน้ำตาของถาวจวินหลันก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ พูดเสียงเบา “ตลกจริงๆ”

 

 

ถาวจวินหลันลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง แต่ด้านนอกหน้าต่างกลับไม่เห็นเงาคน เห็นได้ชัดว่าหลี่เย่จากไปแล้ว นางพลันรู้สึกผิดหวังและหงุดหงิดเล็กน้อย นางน่าจะเปิดหน้าต่างดูให้เร็วกว่านี้

 

 

แต่ที่ถาจวินหลันไม่รู้ว่า พอหลี่เย่เห็นหน้าต่างถูกเปิดออก เขาก็ไอเบาๆ เพื่อปกปิดรอยยิ้ม หันไปสั่งบ่าวรับใช้ “ไปเชิญชายารองออกมาทานข้าวเถิด” จากนั้นก็กลับห้องของตนเองไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ถาวจวินหลันกลับเดินขยี้ตาออกมาตอนที่บ่าวรับใช้มาเชิญอีกครั้ง จะแอบซ่อนเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูก อีกทั้งหลี่เย่ขอโทษนางแล้ว นางหลบต่อไปเช่นนี้จะดีได้อย่างไร?

 

 

นางเองก็อยากขอโทษหลี่เย่เช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยปากพูดอย่างไร อีกทั้งคราวนี้ที่บ่าวมาเชิญก็ถือว่าเป็นการถอยที่ดี เรื่องที่นางโมโหใส่หลี่เย่ นางไม่คิดอยากทำให้เรื่องใหญ่จนรู้กันไปทั่วแม้แต่นิดเดียว

 

 

แต่จะขอโทษหลี่เย่อย่างไร นางกลับไม่รู้แม้แต่น้อย หากพูดออกไปตรงๆ นางก็รู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่ถ้าไม่พูดออกไปตรงๆ หรือจะมีวิธีอื่น?

 

 

ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า กลัวว่าพอเห็นหน้าหลี่เย่แล้วจะแสดงท่าทีผิดปกติออกมา แม้แต่คำขอโทษก็ยิ่งพูดไม่ออก ด้านข้างมีทั้งบ่าวและหญิงชรามากมาย แล้วยังมีลูกๆ อยู่อีกด้วย

 

 

ยังดีที่หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไรก่อน อาจด้วยเข้าใจว่านางทำตัวไม่ถูกกระมัง

 

 

แต่พอนั่งลงแล้ว ถาวจวินหลันกลับสัมผัสได้ถึงมือของหลี่เย่ที่กุมมือนางเอาไว้ เห็นได้ว่าหลี่เย่เตรียมพร้อมมานานแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองบ่าวหญิงทันที พอเห็นว่าไม่มีคนสังเกตการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ใต้โต๊ะ นางถึงได้สงบใจลงเล็กน้อย เบนหน้าไปอีกทางก็เห็นว่าหลี่เย่ส่งยิ้มขอโทษมาทางนาง แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดหรือกระทำอะไรมากกว่านี้ แต่ความหมายก็ชัดเจนมากแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้าลงไปด้วยความรู้สึกผิด ใจกระตุกวูบ รู้ว่าตนเองควรจะขอโทษอย่างไรแล้ว จึงดึงมือของหลี่เย่เข้ามา แล้วกางมือของอีกฝ่ายออก ก่อนใช้เล็บเขียนตัวหนังสือสามตัวลงบนฝ่ามือของเขา

 

 

หลี่เย่นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มน้อยๆ แม้แต่ดวงตาเองก็ดูเป็นประกายขึ้นหลายส่วน แล้วเขาเองก็เขียนตัวหนังสือลงบนฝ่ามือของนางบ้าง

 

 

วิธีเช่นนี้พวกเขามักใช้ตอนที่หลี่เย่ยังเป็น ‘ใบ้’ แต่ตอนนี้ไม่ได้เอามาใช้นานแล้ว พอวันนี้ได้กลับมาใช้อีกครั้งก็รู้สึกไม่เหมือนเดิม

 

 

อย่างแรกคือคิดถึงเรื่องต่างๆในอดีต อย่างที่สองคือเลี่ยงความประหม่าและท่าทางอึกอัก อย่างที่สามวิธีการสนทนาที่ซ่อนเร้นเช่นนี้ ทำให้ใจของแต่ละคนตะลึงพรึงเพริด

 

 

แน่นอนว่าต้องไม่มีคนเห็น ด้วยเพราะไม่มีใครแตะตะเกียบสักที ซวนเอ๋อร์จึงเริ่มรอไม่ไหวแล้ว เขามองพ่อแม่ของตนเองอย่างสงสัย จากนั้นก็ถามว่า “ไม่กินข้าวหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันมองแววตาสงสัยของซวนเอ๋อร์ ทันใดนั้นหน้าก็ร้อนผ่าว รีบดึงมือกลับ

 

 

หลี่เย่กลับหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเรียบนิ่ง คีบกับข้าวให้ใส่ถ้วยของซวนเอ๋อร์ พูดว่า “กินข้าวเถิด”

 

 

หลังจากกินข้าวแล้ว หลี่เย่ก็ชวนออกไปเดินเล่น ทั้งสองคนออกจากเรือนไปโดยที่ไม่ได้พาใครออกมาด้วย ที่ไม่ได้พาใครมาด้วยนั้นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาสองคนจะได้พูดคุยกันโดยสะดวก

 

 

ในเมื่อก่อนหน้านี้ใช้วิธีเขียนฝ่ามือในการสนทนามาแล้ว ในตอนนี้ถาวจวินหลันย่อมไม่ประหม่าขนาดนั้นแล้ว หลังจากเดินไปถึงบริเวณที่ค่อนข้างลับตาคนแล้ว ก็เอ่ยปากพูดพูดทันที “วันนี้ข้าทำตัวไม่ถูก เผลออารมณ์เสียใส่ท่านโดยไม่มีเหตุผล ท่านอย่าเก็บเอาไปคิดเลยนะเพคะ”

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “ข้าเองก็ผิด เจ้าเป็นห่วงข้าถึงเพียงนั้น”

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปาก “แต่ท่านเองก็ตามใจข้าเกินไปแล้วเพคะ ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าแท้ๆ แต่ท่านกลับมาขอโทษก่อน ท่านทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้ข้ากังวลมากเกินไป หวังดีกับข้า แต่ข้ากลับไม่รู้จักเสือเอาเรือเข้ามาจอด”

 

 

หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้ม หรี่ตาอย่างเจ้าเล่ห์ “พวกเรากำลังทำอะไรอยู่หรือ? อยู่ในช่วงเวลาต่างฝ่ายต่างยอมรับผิดหรืออย่างไร? ครั้งนี้ก็ปล่อยไปเถิด ครั้งต่อไปพวกเราอย่าทำเช่นนั้นอีก ไม่ว่ามีเรื่องอะไรข้าก็บอกเจ้าทั้งหมด ดีหรือไม่? เจ้าอย่าร้อนใจไป เชื่อใจข้าเถิด”

 

 

ตอนที่หลี่เย่พูดนั้นความอบอุ่น อ่อนโยนในน้ำเสียงทำให้คนมรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เพคะ ต่อจากนี้พวกเราอย่าทำอย่างนี้อีก” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอีกว่า “ท่านเองก็อย่าเอาใจข้ามากเกินไป ท่านดู ตามใจจนข้าเสียคนหมดแล้ว หากข้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป นั่นจะดีได้อย่างไร”

 

 

หลี่เย่เงียบขรึม ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พยักหน้าจริงจัง “ได้ ต่อจากนี้ไปก็ตามใจแค่หมิงจูเท่านั้น”

 

 

ถาวจวินหลันถลึงตามองเขา “หมิงจูถูกตามใจเสียคนจนออกเรือนได้จะทำอย่างไรเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ยักไหล่ด้วยสีหน้าไม่สำนึกผิด “ถ้าอย่างนั้นต่อไปข้าต้องตามใจใครเล่า? อีกอย่างหมิงจูถูกตามใจจนเคยตัว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกเรือนได้แน่ ลูกสาวของข้าต้องมีคนมาแย่งกันต่างหากเล่า”

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองเขา “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงดี อย่างไรลูกสาวก็ต้องเรียบร้อยและอ่อนโยนถึงจะดี อีกอย่างต่อไปเลือกลูกเขยให้หมิงจูก็จะต้องเลือกคนที่รักนางจริงถึงจะดี พวกที่วาดฝันอยากจะตบแต่งหมิงจูเพื่อยกฐานะของตน คิดจะเกาะความสะดวกสบายจะเลือกได้อย่างไรเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ก็พยักหน้า “ย่อมเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ข้าคิดมานานแล้ว ในอนาคตเลือกลูกเขยให้หมิงจูจะต้องรอบคอบเป็นแน่”

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ทั้งสองคนก็ค่อยๆ ลืมเรื่องทะเลาะกันก่อนหน้านี้ บรรยากาศก็ค่อยๆ ดีขึ้น กระทั่งสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ยังไปหากั่วเจี่ยเอ๋อร์เป็นเพื่อนหลี่เย่อีกครั้ง กั่วเจี่ยเอ๋อร์โตกว่าหมิงจูอยู่เล็กน้อย ตอนนี้เริ่มพูดได้แล้ว แต่ยังไม่คุ้นกับหลี่เย่อยู่บ้าง แม้ว่าจะพบหน้ากันทุกวัน แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เยอะ คงบอกว่าสนิทสนมได้ไม่เต็มปาก

 

 

คำที่กั่วเจี่ยเอ๋อร์พูดได้ดีที่สุดคือคำว่า ‘แม่’ แต่ถาวจวินหลันไม่แปลกใจแม้แต่น้อย จากความใส่ใจที่จิ้งหลิงมีต่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับแม่แท้ๆ แล้วก็เหนือกว่ามาก

 

 

หลังจากออกมาจากเรือนจิ้งหลิง ถาวจวินหลันคิดแล้วก็พูดว่า “มิเช่นนั้นเอากั่วเจี่ยเอ๋อร์จดไว้ใต้ชื่อจิ้งหลิงเลยดีหรือไม่ จิ้งหลิงปรนนิบัติท่านมาหลายปี ในตอนนี้ก็ยังดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างดี ให้หน้านางมากหน่อยคิดว่าคนอื่นก็คงไม่กล้าพูดอะไรเพคะ”

 

 

หลี่เย่ก็ไม่คัดค้าน พยักหน้า “เรื่องเรือนในเจ้าเป็นคนตัดสินใจ” จิ้งหลิงปรนนิบัติเขามานานหลายปี ขอเพียงแค่จิ้งหลิงเชื่อฟัง ไม่สร้างเรื่องอะไรอีก เขาย่อมต้องเต็มใจ

 

 

อีกทั้งการไว้หน้าจิ้งหลิง ถ้าดูจากมุมอื่นแล้วก็ถือว่าเป็นการลดแรงกดดันของถาวจวินหลัน อย่างน้อยทางด้านไทเฮาก็ยังพอพูดผ่านไปได้ หากมองการณ์ไกลกว่านั้นในอนาคตถาวจวินหลันก็จะยิ่งสบายขึ้น

 

 

“ข่าวลือเช่นนี้ข้าคิดว่าต้องหาวิธีมาปราบให้เงียบเพคะ” ตอนที่พูดเรื่องนี้อีกครั้ง ในใจของถาวจวินหลันก็สงบเยือกเย็นแล้ว เพียงแค่ปรึกษากับหลี่เย่อย่างจริงจังเท่านั้น แม่แต่ความกังวลน้อยลงไปมาก หลี่เย่ดูสงบนิ่งและเย็นชาเกินไป ทำให้นางคลายกังวลลง คิดว่าเขาจะต้องมีวิธีอยู่เสมอ

 

 

หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ “แต่เดิมนั้นข้าคิดวิธีเอาไว้แล้ว เจ้าลองดูเถิด”