รอจนเย่เทียนมาถึงร้านอาหารอี้กวนไห่ หลู่อี้ก็ได้มายืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
เย่เทียนตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อเขาปรากฏตัว ร่างของหลู่อี้ก็ดูตึงเครียดขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้สายตาของเขาเย็นลงในทันที
ดังคำกล่าวที่ว่า :มิได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีสางเคาะประตู
ตอนนี้ปฏิกิริยาของหลู่อี้นั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก หากบอกว่าไม่มีผีสาง ตีให้ตายยังไงเย่เทียนก็ไม่เชื่อ!
“คุณเย่ คุณมาคนเดียวเหรอครับ?แล้วภริยาล่ะครับ?”
ไม่ว่ายังไง หลู่อี้ก็ได้รีบเข้าไปต้อนรับ ใบหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ
“เธอเหนื่อยน่ะ ฉันเลยให้เธอพักผ่อนที่โรงแรม”
เย่เทียนไม่ได้ทำลายกลอุบายเล็กๆของหลู่อี้ กวาดตามองไปที่เขาด้วยสีหน้าที่เกียจคร้านพร้อมกับถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้มว่า “ประธานหลู่ เรื่องเย็นวันนี้ ท่านเป็นคนจัดแจงใช่ไหม?”
หลู่อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย การที่เฉินหวั่นชิงไม่ได้มานั้นทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย คนที่โทรหาเขาต้องการทำให้เฉินหวั่นชิงหายตัวไปเสียด้วย
อย่างไรก็ตามเขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วและไม่ได้คิดอะไรเรื่องนี้มากนัก
เขาเชื่อว่าคนที่จัดการเย่เทียนคือเย่ย่งเล่อจากตระกูลเย่แห่งเมืองจิน ขอเพียงแค่เขาจัดการคนที่มีสายเลือดอย่างเย่เทียนได้ เขาจะไปกังวลอะไรกับอีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเฉินหวั่นชิง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลู่อี้ก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ผมจัดแจงเอง”
“ประธานหลู่ ผมเชื่อในตัวท่านมากนะครับ ในเมื่องท่านเป็นคนจัดแจง ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอกใช่ไหม?”
เย่เทียนเหยียดแขนออกไปวางพาดบนไหล่ของหลู่อี้ ขณะเดียวกันก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรพร้อมกับดึงเขาเข้าไปในร้านอาหาร
เมื่อหลู่อี้ได้ยินเช่นนี้และกำลังจะตอบ คำพูดที่แฝงความหมายไว้ของเย่เทียนก็ดังก้องในหู
“ว่าไปแล้ว ประธานหลู่ก็ทำธุรกิจมาตั้งหลายปีคงจะเจอคนประเภทการกระทำกับคำพูดกลับกลอกไปมาหรือพวกคนเลวต่ำทรามที่เอามีดแทงข้างหลังกันมาบ้างใช่ไหม?ปกติท่านทำอย่างไรกับคนประเภทนี้กัน?”
“คุณเย่…..นี่………ผม……….”
ใจของหลู่อี้เต้นดังตึกตัก สีหน้าดูเปลี่ยนไปดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่นัก
ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่มีทางเลือกจึงจำยอมต้องเลือกทำตัวเป็นคนเลวต่ำทรามเช่นนี้ ในเมื่อตอนนี้คำพูดของเย่เทียนมีอะไรบางอย่าง นั่นจึงทำให้เขารู้สึกผิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
“นัดไว้ที่ห้องไหนล่ะ?”
เพียงแต่ยังไม่ทันที่หลู่อี้จะพูดจบ เย่เทียนก็ชิงตัดบทเสียก่อนและเริ่มพูดหัวข้อใหม่
“เป็นห้องหมายเลขเก้า ชั้นสองครับ”
หลู่อี้ตอบอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกได้ว่าหลังของเขานั้นชุ่มไปด้วยความเย็นยะเยือกของเหงื่อ
“ชั้นสองใช่ไหม?”
เย่เทียนปล่อยมือจากหลู่อี้ พร้อมกับมองไปรอบๆและเดินตรงไปที่บันได
เมื่อมองแผ่นหลังของเย่เทียน หลู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแต่ในเมื่อเขารู้อยู่แล้วจะยังขึ้นไปทำไมกัน?
ไม่เข้าถ้ำเสือ ใยจะได้ลูกเสือ?
อย่าไร้สาระหน่อยเลย บางทีนี่อาจเป็นเรื่องถึงขั้นคอขาดบาดตายเลยนะ เขาจะไม่กลัวมันสักนิดเลยเหรอ?
“ประธานหลู่ ท่านยืนค้างงันอะไรอยู่?รีบตามมาสิ!”
ไม่รอให้หลู่อี้คิดออก เย่เทียนที่เดินถึงขอบบันไดแต่เห็นว่าเขายังอยู่ที่เดิมจึงได้รีบตะโกนเรียกขึ้นมา
“มาแล้วครับมาแล้ว”
สติของหลู่อี้กลับคืนมาอยางรวดเร็วพร้อมกับกดความซับซ้อนภายในจิตใจลงไปจนหมดสิ้น จากนั้นจงวิ่งเหยาะๆเข้าไปหา
“ประธานหลู่ ทำไมฉันรู้สึกว่าท่านดูกระสับกระส่ายจังเลย?”
เย่เทียนแสร้งทำเป็นห่วงใยพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ยิ้มและพูดว่า “คงไม่ได้เป็นแบบงานเลี้ยงที่หงเหมินหรอกใช่ไหม?”
“เย่ เย่……..”
ใจของหลู่อี้กระดอนขึ้นมาถึงลำคอ เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับคำพูดที่ดูตรงไปตรงมาเช่นนี้
“ดูท่านดูตึงเครียดจนหน้าผากเริ่มจะมีเหงื่อออกแล้วนะ ฉันล้อเล่นหรอกน่า!”
วินาทีถัดมา เย่เทียนกลับหัวเราะออกมายกใหญ่พร้อมกับตบไปที่ไหล่ของหลู่อี้และส่ายหัวพูดว่า “ประธานหลู่ ท่านบอกเองว่าท่านเป็นเถ้าแก่ใหญ่โต ทำไมถึงได้ขี้ขลาดตาขาวนักล่ะ?”
หลังจากพูดเช่นนั้น เย่เทียนก็ไม่ได้สนใจหลู่อี้อีกต่อไปพร้อมกับขึ้นบันไดตรงดิ่งไปยังห้องหมายเลขเก้า
หลู่อี้เช็ดเหงื่อที่ไหลเย็นบนหน้าผากออก เขารู้สึกว่าเย่เทียนนั้นช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน พูดเพียงไม่กี่คำก็สามารถกดดันเขาได้มากถึงเพียงนี้
แม้เขาจะรู้อย่างแน่ชัดว่าตู้เคอหลินได้วางกรอบดักที่นี่ไว้แล้วแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจของเขารู้สึกได้ถึงสิ่งไม่ปกติแต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
แต่เขารู้สึกหลงผิด หากเย่เทียนไม่ตายก็คงเป็นเขารวมถงตู้เคอหลินและตู้ซื่อกรุ๊ปที่ต้องเจอกับหายนะครั้งใหญ่!
“ขอให้มันเป็นเพียงแค่อาหารหลงผิดของฉันคนเดียวก็พอ!”
หลู่อี้ปลอบใจตัวเองและรีบเดินตามเย่เทียนไป
ห้องหมายเลขเก้าเป็นห้องที่อยู่สุดริมทางเดิน การจะเดินไปที่ตรงนั้นมีเพียงการเดินตรงไปทางเดียวเท่านั้น หากมีคนเข้ามาขวางทางเกรงว่าคงทำได้เพียงเลือกที่จะกระโดดออกทางหน้าต่าง
เมื่อผลักประตูเข้าไปในห้องก็ต้องพบกับตู้เคอหลินที่รออยู่ก่อนหน้าแล้ว
เพียงแต่นอกจากตู้เคอหลินแล้วก็ยังมีชายฉกรรจ์อีกเจ็ดแปดคนอยู่ด้วย ด้วยท่าทางที่เอ้อระเหยลอยชายดูก็รู้ได้เลยว่าไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่
“เย่เทียน!นายมาแล้ว!”
ตู้เคอหลินที่รออย่างใจร้อนก็ได้ลุกขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่เย่เทียนด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและตะโกนออกมา “ออกมาให้หมด!”
แกร๊ก!
เมื่อเสียงของเขาหล่นลง ห้องหมายเลข1ถึง8ที่เย่เทียนเดินผ่านมาก็ได้เปิดออก ชายร่างใหญ่กว่ายี่สิบคนได้เดินออกมาขวางทางไม่ให้เย่เทียนล่าถอยไปได้
“ว้าว จะจัดการฉันแค่คนเดียวต้องจัดแจงคนมาขนาดนี้เลยเหรอ?”
เย่เทียนเหลือบตามองไปที่เหล่าอันธพาลที่อยู่ด้านหลังอย่างผ่อนคลาย ไร้ซึ่งความตื่นตระหนกใดๆราวกับว่าเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
“ไอ้พวกนักเลง มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะมาเสแสร้งแกล้งทำกับฉันอีกเหรอ?”
ตู้เคอหลินยิ้มอย่างเย็นชา “หากแกกลัวล่ะก็แสดงออกมาได้เลย กูจะได้ไม่ต้องย่อยสลายมึงเป็นชิ้นๆ!”
“กลัว?”
เย่เทียนหัวเราะอย่างโง่เขลาและเดินเข้าไปในห้องอย่างปกติพร้อมกับดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง “หากฉันกลัวแ้วฉันจะมาทำไมกันล่ะ?”
คิ้วของตู้เคอหลินขมวดเล็กน้อย แม้เขาจะเป็นคนที่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้เป็นคนไม่มีสมองขนาดนั้น
ความสงบที่เย่เทียนแสดงออกมานั้นแตกต่างกับสิ่งที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง เขาแกล้งทำเป็นสงบ?หรือแท้จริงแล้วไม่เกรงกลัวเลยสักนิดเดียว?
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะว่าแปลกใจว่าคุณชายใหญ่ผู้ร่ำรวยอย่างนายได้ไปรับปากอะไรเขาไว้ เขาถึงได้ยอมทรยศหักหลังฉัน?”
เย่เทียนไม่ได้สนใจว่าตู้เคอหลินจะคิดอะไรอยู่ เขาหยิบไวน์แดงที่อยู่บนโต๊ะพร้อมกับเทให้ตัวเอง แววตาขี้เล่นจับจ้องไปที่หลู่อี้ที่อยู่ด้านหลัง
“รับปาก?นี่นายดูจะประเมินฉันต่ำไปแล้ว?”
ตู้เคอหลินยิ้มอย่างเย็นชา “เพียงแค่ฉันพูดมาคำเดียว บริษัทหรูอี้ประมูลจำกัดก็จะไม่ได้จัดงานประมูลที่เกาะนกนางนวลอีก!”
แม้ว่าหลู่อี้จะอยู่ในห้องนี้แต่ตู้เคอหลินก็ไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าหลู่อี้ไม่มีทางทำอะไรเขาได้
“ตู้เคอหลิน นายนี่มันสมองพิกลพิการจริงๆ!”
เย่เทียนถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัว จากนั้นจิบไวน์และหันไปมองหลู่อี้ด้วยแววตาขี้เล่น “ประธานหลู่ ดูเหมือนว่าท่านจะพูดเองดีกว่านะ!”
“ฉันเชื่อว่าด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจมาหลายสิบปี ท่านคงจะไม่ถูกคนโง่เง่าเช่นนี้ข่มขู่ให้ตกใจกลัวได้ ฉันมีหลายเหตุผลที่น่าเชื่อว่ามีคนยุยงท่านให้ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน”