ตำหนักใหญ่ของสำนักการศึกษากลางเงียบสงัดอย่างมาก ลั่วลั่วอยู่กับที่และไม่ได้เข้ามา
ใต้เท้าสังฆราชมองเฉินฉางเซิงเงียบๆ แล้วพูดขึ้น “ในเมื่อเป็นความคิดที่มีต่อโลก เช่นนั้นก็เป็นเพียงเพราะโลกใบนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู แล้วพูดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจ”
ใต้เท้าสังฆราชพูดขึ้นอย่างสงบ “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ…คนแก่อย่างเช่นพวกข้านี้ ผ่านมรสุมมาแล้วมากมายนัก ได้พบเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นดวงอาทิตย์ตกมาก็มาก รู้สึกเฉยชากับเรื่องราวมากมายเหล่านั้นแล้ว มีหลายครั้งที่มุมมองการมองโลกค่อนข้างจะน่าเบื่อ พวกข้าไม่สนใจที่จะใช้วิธีการที่ไม่ได้สวยงามอะไรนัก กระทั่งทำเรื่องที่ไม่อยากทำ แต่มีอยู่หลายครั้ง ที่พวกข้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะปกป้องอะไร แต่เป็นเพราะพวกข้ารู้ชัดถึงหน้าที่ที่ตนแบกรับ”
“หน้าที่หรือ” เฉินฉางเซิงถามขึ้น
“ใช่ ยิ่งอยู่มานาน หน้าที่ก็ยิ่งใหญ่” สังฆราชพูดขึ้น “หน้าที่ของพวกข้าที่มีต่อโลกใบนี้ ก็หนักหนาขึ้นตามกาลเวลาที่ดำเนินไป พวกข้ามีหน้าที่ที่จะแสวงหาอนาคตที่สวยงามยิ่งขึ้นไป เพื่อการนี้ พวกข้าสามารถแบกรับชื่อเสียงแย่ๆ สามารถที่จะไม่คำนึงถึงสิ่งใด ในปีนั้นข้าเป็นศัตรูกับอาจารย์ของเจ้า ในตอนนี้ข้าเป็นศัตรูกับเหนียงเหนียง ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพราะเหตุผลนี้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ใต้เท้าสังฆราชก็เดินเข้าไปในส่วนลึกของตำหนักใหญ่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีก
เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ เดินลงมาจากบันไดหิน จนมาถึงป่าต้นเฟิงที่อยู่ด้านหน้าสำนักการศึกษากลาง
ป่าต้นเฟิงในฤดูใบไม้ผลิเป็นสีเขียวสด แต่ในยามสนธยาจะเป็นสีแดงดั่งโลหิต ในตอนที่อยู่ในยามราตรีนั้น กลับเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
ที่แท้ ที่เรียกว่าสีสัน ก็ล้วนเป็นการอาบย้อมแต่งแต้มของฟ้าดิน
ไม่ได้ผ่านไปนานนัก ในตำหนักก็มีเสียงระฆังที่ทุ้มต่ำดังขึ้นมา
ในพระราชวังหลีเองก็มีเสียงระฆังดังขึ้น
เสียงระฆังดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณของการกลับบ้าน
ในคัมภีร์ของนิกายหลวง เชื่อมาตลอดว่าคนตายไม่ได้เหมือนตะเกียงที่ดับลง แต่ดวงวิญญาณจะไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ และต้องกลับคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว
ระหว่างมหาสมุทรแห่งดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรี เป็นแดนเทพ เป็นสรวงสวรรค์ และยิ่งเป็นบ้านเก่าแห่งความเป็นนิรันดร์
ดวงวิญญาณของเหมยหลี่ซา ก็เป็นเพียงชั่วพริบตาที่เสียงระฆังดังขึ้น จากโลกมนุษย์ไปอย่างสงบ ดวงวิญญาณหวนคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว
ไม่มีแผนการร้ายอะไร และก็ไม่มีบทสรุปอะไรที่ยิ่งใหญ่และงดงาม เป็นเพียงการจากไปอย่างสงบที่เป็นไปตามกฎของชีวิตเช่นนี้ ก็เหมือนกับคนแก่ธรรมดาๆ เสียอย่างนั้น
แต่ว่าอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ใช่คนแก่ธรรมดาๆ เขาเป็นผู้อาวุโสที่มีวัยวุฒิสูงที่สุดในนิกายหลวง เป็นใต้เท้ามุขนายกของตำหนักที่มีตำแหน่งสูงส่งที่สุด
เขาเคยเห็นใต้เท้าสังฆราชถึงสามรุ่น เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สี่รุ่น เคยเห็นจักรพรรดิไท่จง เคยเห็นโจวตู๋ฟู เคยเห็นหวังจือเช่อ เคยเห็นความเป็นและความตายในสวนร้อยหญ้า เคยเห็นเลือดและเปลวเพลิงที่สำนักฝึกหลวง เขาเคยเห็นวันเวลามานับไม่ถ้วน รู้ความลับมากมาย และวันเวลากับความลับเหล่านั้น ก็จะถูกฝังไปพร้อมกับการจากไปของเขา
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง เฉินฉางเซิงก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี เขาเห็นเพียงดวงดาวลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ถูกกิ่งไม้ที่โดนลมพัดมาบดบังเป็นบางครั้ง
เขาไม่รู้ว่าดาวโชคชะตาของใต้เท้ามุขนายกเป็นดวงไหน จึงมองไม่เห็น แต่เขารู้ว่าดวงดาวดวงนั้นในตอนนี้น่าจะกำลังมืดดับลง
ถ้าหากพูดว่าความตายคือการที่ดวงวิญญาณกลับคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาวจริง เช่นนั้นทำไมดาวดวงนั้นถึงได้มืดดับลงเล่า
เสียงระฆังยังคงดังอยู่ และมีรถม้าจากแต่ละแห่งของจิงตูมายังสำนักการศึกษากลางไม่หยุด เหล่าบุคคลสำคัญล้วนพากันมาแสดงความไว้อาลัยด้วยตัวเอง เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในป่า มองดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร…เขามองเห็นผู้นำตระกูลเทียนไห่ มองเห็นเซวียสิ่งชวน มองเห็นม่ออวี่ มองเห็นเฉินหลิวอ๋องที่กำลังกลั้นน้ำตา และมองเห็นสวีซื่อจี
เขาไม่อยากพบคนเหล่านี้ จึงจูงมือลั่วลั่วเดินข้ามป่าไป จนมาถึงถนนใหญ่ที่เงียบเชียบ และพากันกลับไปยังสำนักฝึกหลวง
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมาเนิ่นนานที่ลั่วลั่วจะค้างคืนอยู่ที่สำนักฝึกหลวง จินอวี้ลวี่ตามมาด้วยตลอดทาง เขารู้ว่าสถานการณ์ในคืนนี้ค่อนข้างพิเศษ จึงไม่ได้พูดอะไร
เฉินฉางเซิงพานางมาที่ข้างทะเลสาบ ปีนขึ้นไปในต้นไทรย้อยและนั่งพิงไหล่กัน พากันมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าและที่สะท้อนอยู่ในน้ำ พูดคุยกันเสียงเบา
เขาเล่าเรื่องราวมากมาย เรื่องที่เมืองซีหนิง เรื่องภายในสวนโจว เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นตลอดทางการกลับแดนใต้ที่เขาคิดว่าอันตราย โหดร้าย และเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ครั้งก่อนที่เขาไม่ได้เล่าให้นางฟัง ในคืนนี้ก็เล่าให้ฟังทั้งหมดแล้ว
ลั่วลั่วฟังอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“การสุกงอมเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากเรื่องหนึ่งจริงๆ เพราะว่าต้องกะเวลาให้แม่นยำ หากผลไม้สุกงอมเกินไป ก็จะเน่าเสียได้ง่าย”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้ายังเชื่อมั่นว่า ชีวิตไม่ควรจะต่อสู้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็ให้ลั่วลั่วไปนอน ส่วนตัวเขาก็นั่งอยู่บนต้นไทรย้อยต่อ และคิดเรื่องบางอย่าง
ซูหลีเคยสอนเพลงกระบี่ให้เขาอยู่สามอย่าง เพลงกระบี่รอบรู้แข็งแกร่งอย่างมาก เป็นการคำนวณเพื่อทำการอนุมานขึ้นมา นั่นเป็นการต่อสู้ เพลงกระบี่สันดาปแข็งแกร่งอย่างมาก เป็นการเผาผลาญพลังชีวิต นั่นก็เป็นการต่อสู้ แต่ที่เขาชอบจริงๆ ยังคงเป็นเพลงกระบี่โง่งม เพราะเพลงกระบี่โง่งมจำเป็นต้องใช้ความกล้า และไม่ใช่การต่อสู้
เขาเพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่เคยคิดอยากจะต่อสู้ เขาไม่ชอบการต่อสู้ แต่ว่าการมีชีวิต บางครั้งการต่อสู้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ โดยเฉพาะตอนที่เขาต้องแบกรับหน้าที่
จนถึงตอนนี้ เขาล้วนไม่รู้ว่าหน้าที่ที่ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาอยากจะแบกรับคืออะไร แต่เขาสามารถเข้าใจได้ถึงท่าทีเช่นนั้น
เขาหลับตาอยู่บนต้นไทรย้อย แต่กลับนอนไม่หลับทั้งคืน
ยามห้าตอนเช้าตรู่ เขาถึงลืมตาขึ้นมา ก็เหมือนกับในทุกๆ วัน เพียงแค่ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาหายใจเข้าลึกๆ อยู่ห้าครั้ง สงบใจตั้งสติ ลงจากต้นไม้มาเดินรอบทะเลสาบอยู่รอบหนึ่ง บริหารร่างกายที่เหน็บชาเสียหน่อย จากนั้นก็กินโจ๊กที่เซวียนหยวนผ้อทำให้ในห้องครัวไปสองชาม แล้วยังแหกกฎกินไข่เป็ดเค็มไปอีกครึ่งฟอง
“วันนี้น่าจะมีคนจำนวนมากไปร่วมพิธีไว้อาลัยที่สำนักการศึกษากลาง เจ้าไปเป็นตัวแทนสำนักฝึกหลวงเถอะ” เขาพูดกับลั่วลั่ว
ลั่วลั่วอยากจะดูการประลองในวันนี้ จึงไม่ค่อยอยากจะไป แต่กลับต้านทานสายตาของเฉินฉางเซิงไม่ได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ
……
……
แสงอาทิตย์ในยามเช้าค่อยๆ ถอยไป ด้านนอกตรอกไป่ฮวาก็คึกคักขึ้นมา ศาลาที่สร้างเป็นการชั่วคราวก็มีคนนั่งอยู่จนเต็ม ที่นั่งที่ดีที่สุดไม่ได้เป็นของบุคคลสำคัญที่มีอำนาจ แต่เป็นของจิตรกรกับคนเล่านิทานของสี่โรงพนันใหญ่ พวกเขารับหน้าที่บันทึกรายละเอียดทั้งหมดของการประลองในวันนี้ หลังจากนั้นก็เผยแพร่ไปทั่วทั้งจิงตูกระทั่งทั่วทั้งดินแดนต้าลู่
โจวจื้อเหิงมาถึงแล้ว และยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ในใจก็เสียดายอยู่บ้าง
…บำเพ็ญเพียรถึงขั้นรวบรวมดวงดาวแล้วยังมาท้าประลองกับเด็กหนุ่มที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี จะมองอย่างไรก็ขายหน้าอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ดังนั้นเขาคิดว่าการประลองในวันนี้ จะต้องทำให้ชื่อเสียงของตนพัฒนาขึ้นไปอย่างมาก ไม่กล้าพูดว่าจะเลื่อนอันดับในประกาศเซียวเหยาไปเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้คนรู้ชื่อของตนมากขึ้น
ในฐานะแขกผู้หนึ่ง ชื่อเสียงมักจะสำคัญยิ่งกว่าความแข็งแกร่ง
คิดจะให้ชื่อเสียงของตนโด่งดังจากการประลองครั้งนี้ เขาต้องการผู้ชม โดยเฉพาะผู้ชมพวกที่มีอำนาจอย่างมากเหล่านั้น และไม่ใช่พวกจิตรกรกับคนเล่านิทาน น่าเสียดายที่เมื่อคืนวานเหมยหลี่ซาตายไปแล้ว พวกบุคคลสำคัญที่เดิมทีอาจจะมาปรากฏตัวขึ้นเหล่านั้นก็ล้วนไปพิธีไว้อาลัยที่สำนักการศึกษากลาง
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง กระทั่งถึงขั้นโมโห ทำไมเจ้านั่นตอนไหนตายไม่ได้ จะต้องมาตายเอาตอนนี้ด้วย?