เยี่ยเม่ยหันมองเขา ถามว่า “ท่านคิดโผตัวเข้าอ้อมกอดข้าเหรอ”
พวกนางสองคนรู้จักกันไม่นาน ตอนนี้นางอดแปลกใจไม่ได้ว่า เขาเป็นเช่นนี้กับสตรีที่น่าสนใจทุกคน หรือว่าเป็นกับนางเพียงคนเดียว
เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยใจเต้นตึกตัก
นางเริ่มระแวงถึงปัญหาประเภทนี้ ก็มิใช่สถานการณ์ที่ดีนัก หรือนางเริ่มรู้สึกอะไรกับเขาขึ้นมาบ้างแล้ว
ดวงเนตรของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเจือความขบขัน ยิ้มอ่อนโยนเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย สำหรับสตรีที่ชื่นชอบ เยี่ยนย่อมอยากมอบทั้งกายและใจให้แก่นาง ความรักของบุรุษสตรีคือความปรารถนา เยี่ยนแค่ตรงกว่าคนทั่วไปเท่านั้น เรื่องประเภทนี้จำเป็นต้องปิดบังหรือ”
อวี้เหว่ยแอบกลอกตามองท้องฟ้า เตี้ยนเซี่ยเริ่มเอ่ยเหตุผลบิดเบี้ยวอีกแล้ว พยายามล้างสมอง แม่นางผู้นั้นไม่มีตำแหน่งฐานะ จะแบกรับร่างกายและจิตใจท่านได้เหรอ
เยี่ยเม่ยก็ไม่ใช่แม่นางทั่วไป นางไม่ต้องการฐานะที่ผู้อื่นมอบให้เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตน โดยเฉพาะคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เลว ความรักฉันท์บุรุษสตรีเป็นเรื่องปกติอย่างที่สุด เพียงแต่…
“อ้อ” เยี่ยเม่ยพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ เอ่ยเสียงเย็นชา “ถึงท่านจะพูดมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องให้ท่านปรนนิบัติ อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็ยังไม่คาดหวังที่จะมีความรักกับท่าน”
อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก…อะไรนะ แม่นางผู้นี้ถึงกับคิดว่าคำพูดของเตี้ยนเซี่ยมีเหตุผล
ช่างเถอะ เวลานี้เขารู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยถึงเป็นคนประเภทเดียวกัน ตนติดตามเตี้ยนเซี่ยมาหลายปีล้วนเสียเปล่าแล้ว
เยี่ยเม่ยมองเขาเย็นชา เอ่ยคำที่ต้องการพูดจบก็หมุนกายจากไป
เห็นนางสงบนิ่ง ฝีเท้าว่องไว แต่นางแอบกลัว ว่าหากเดินช้าไปกว่านี้ บุรุษตรงหน้าจะดื้อดึงไปปรนนิบัติ เผชิญหน้ากับบุรุษที่รูปโฉมงดงามกว่าตน ถึงนางไม่ใช่คนเห็นแก่หน้าตา แต่สำหรับนางแล้วก็เป็นความยั่วยวนอย่างร้ายกาจ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูดนี้ กลับไม่กลัดกลุ้ม ทว่าหัวเราะออกมาเบาๆ มองส่งเยี่ยเม่ยจากไป
รอจนเงาหลังของนางหายไป เสี้ยวนาทีถัดมา
อวี้เหว่ยเห็นเตี้ยนเซี่ยของเขา ยื่นมือยาวลูบริมฝีปากของตนเอง
อวี้เหว่ยพลันเข้าใจ ดูท่าเตี้ยนเซี่ยกำลังระลึกถึงจูบเมื่อครู่ เขาหน้าตาเฉยชาถามว่า “เตี้ยนเซี่ย จูบเดียวแลกทั้งฝ่ามือและกำปั้น ท่านว่าคุ้มหรือ”
หลังเตี้ยนเซี่ยอายุแปดขวบ ก็ไม่มีใครคนใดกล้าลงมือกับเตี้ยนเซี่ยแล้ว
โดยเฉพาะหมัดนั้น ต่อยตรงที่จมูก รุนแรงจนเห็นเลือด
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กวาดตามองแบบไม่ใส่ใจ ยิ้มช้าๆ “ใช้ชีวิตหนึ่งแลกมาก็คุ้มค่า”
สิ้นเสียง เขาจากไปด้วยความยินดี
อวี้เหว่ยหางตากระตุก…
ช่างเถอะ ดูท่าถึงแม้เตี้ยนเซี่ยมอบจูบออกไปแล้วจะโดนต่อย แต่ตัวเขาเองยังคงพอใจ ลำพองใจ และดีใจมาก
……
เยี่ยเม่ยเดินออกจากโรงคลังไม่นานจิ่วหุนที่เดินมาอย่างร้อนรน
หลังจากจิ่วหุนเห็นนางก็พรูลมหายใจออกมา
เยี่ยเม่ยมองสีหน้าเขา ค่อยๆสงบลง จิตใจที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปลุกเร้าก่อตัวเป็นคลื่น ก็ค่อยๆ กลับมาสงบ
นางมองจิ่วหุน เสียงเย็นชาถามว่า “เจ้าออกมาตามหาข้า?”
จิ่วหุนพยักหน้า ไม่ส่งเสียง
เยี่ยเม่ยรู้ว่าเขามีนิสัยไม่ชอบพูดจา เอ่ยต่อว่า “ข้าไปโรงคลัง ตอนออกจากห้องไม่เห็นเจ้า ก็เลยออกไป ข้าไม่เป็นไร พวกเรากลับเถอะ”
นางเองก็ไม่ถามว่าเมื่อครู่เขาไปทำอะไร ตอนออกจากห้องไม่เห็นเขา แต่ละคนต่างมีชีวิตของตนเอง ต่อให้เขาตัดสินใจติดตามนาง นางก็เข้าใจว่าตนไม่มีคุณสมบัติไปถามการกระทำของผู้อื่น
“ดี” จิ่วหุนพยักหน้าเชื่อฟัง ไม่พูดมาก
ถัดมา เขาเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับอวี้เหว่ยอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเดินออกจากโรงคลังเช่นกัน
เยี่ยเม่ยไม่ทันสังเกตสายตาของเขา หลังจากเขาเอ่ยคำว่า ‘ดี’ นางเดินออกไปก่อน เมื่อเดินไปได้หลายก้าว ค่อยพบว่าจิ่วหุนไม่ได้ตามมา
จึงทำให้นางแปลกใจหันกลับไปมอง
ต่อมาพบจิ่วหุนมองเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เห็นจิ่วหุนเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกคิดไม่ตกที่สุดก็คือ บุรุษสองคนเมื่อพบกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างจ้องกันอยู่นานอย่างแปลกประหลาด
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุน มุมปากน่ามองยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นไฉนมองแล้วถึงคล้ายรอยยิ้มเย็นชา
จิ่วหุนจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พูดจา ทว่าสีหน้าแบบนั้น มองอย่างไรก็ชวนให้คนหนาวเหน็บ
เวลานี้เยี่ยเม่ยรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง…
นางถอยกลับไปสองก้าวอย่างหมดคำพูด มองจิ่วหุน ถามว่า “ท่านสองคนมีความแค้นอะไรกัน ไฉนพบหน้ากันแต่ละครั้งล้วนทำท่าจะชักดาบเข้าใส่กันตลอด?”
คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางถามจบแล้ว
จิ่วหุนพลันหันกลับ ส่งสายตาหานาง สายตาคล้ายสามีมองภรรยาคบชู้ เสียงต่ำถามว่า “เมื่อครู่เขาก็อยู่ในคลังด้วย?”
“เอ๋?” เยี่ยเม่ยไม่ทันตระหนักถึงสายตาแปลกประหลาดของเขาได้ในคราเดียว ตอบงุนงงว่า “ใช่แล้ว”
น้อยครั้งที่นางมีช่วงเวลางุนงง สีหน้าแปลกประหลาดของจิ่วหุนนี้…
จิ่วหุนฟังแล้วคล้ายจะโมโห
ถัดมาเขาไม่ใส่ใจเยี่ยเม่ยสักน้อย สองมือกอดกระบี่ สาวเท้ายาวจากไป
เยี่ยเม่ยเปลี่ยนจากงุนงงเป็นตะลึงงัน…
ส่วนบุรุษที่เหมือนปีศาจไม่ไกลออกไปผู้นั้น มองแผ่นหลังจิ่วหุนที่เดือดดาลจากไป กลับอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ้มทักทายให้เยี่ยเม่ยอย่างมีมารยาท
เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว พยักหน้ารับ หมุนกายจากไปด้วยความมึนงง
นี่มันเรื่องอะไรกัน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเช่นนี้นางเข้าใจได้ อย่างไรเสียนางก็สมบูรณ์แบบเพียงนี้ โดดเด่นเช่นนี้ ช่างน่าหลงใหลปานนี้ เขาชอบนางก็เป็นเรื่องปกติ
ส่วนจิ่วหุนเด็กคนนี้ เขาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอะไร
หรือว่าเด็กคนนี้หวงพี่สาว
ก็จริง ถึงยามนี้เยี่ยเม่ยยังคาดเดาอายุของเจ้าหนุ่มจิ่วหุนที่สูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่เมื่อมองดวงหน้าบริสุทธ์ไร้เดียงสาของเขา นางก็ยังรู้สึกว่า…
เขาเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น
นางเดินกลับห้องตัวเองด้วยอารมณ์สับสนงุนงง
เพิ่งถึงหน้าประตู ก็เห็นจิ่วหุนทำหน้าดุ นั่งยองอยู่ด้านหน้าประตู ท่าทางดูแล้วเหมือนน้อยใจคล้ายถูกคนแย่งขนมของโปรดไป
เยี่ยเม่ยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เดินไปถึงหน้าประตู ถามว่า “เจ้าเป็นอะไร”
จิ่วหุนก้มหน้า ทั้งไม่ตอบ กลับเตือนเยี่ยเม่ย “เขาโยนงูพิษบนเตียงเจ้า”
เยี่ยเม่ยหางตากระตุก
ใช่แล้ว ทำไมนางถึงลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้น นางยังไม่ทันถามว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการอะไรกันแน่
นางพยักหน้าเอ่ยเสียงเย็น “ข้ารู้แล้ว บัญชีนี้ ช้าเร็วก็ต้องคิดกับเขา”
จิ่วหุน เงยหน้ามองเยี่ยเม่ย ดวงตาที่ยามปกติเหมือนน้ำนิ่งสงบ ในเวลานี้ดูแล้วน่าสงสารเหลือประมาณ เอ่ยถามเสียงเบาอย่างช้าๆ “เจ้าไม่ชอบข้าแล้วหรือ”
ท่าทางเช่นนี้น่ารักราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง
การกระทำของเขาเหมือนกำลังถามนาง ‘เจ้ามีกระต่ายน้อยตัวอื่นอยู่นอกบ้านแล้วใช่ไหม’
ยามนี้เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่แกล้งทำเป็นน่าสงสารเชื่อฟังคนหนึ่งก็ทำให้คนยากจะต่อต้านแล้ว จิ่วหุนยังเป็นแค่เด็กน้อยน่ารักเป็นธรรมชาติ
ทำไมช่วงนี้ใครๆ ก็ดูออกว่านางชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม่แข็ง