ตอนที่ 632 สอบเอินเคอ (3)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 632 สอบเอินเคอ (3)

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สาม เดือนห้า ยามเฉิน

ราชวงศ์หยูได้เปิดการสอบเอินเคอที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยอย่างเป็นทางการ

การสอบเอินเคอในครานี้มีผู้สมัครสอบทั้งสิ้น 37,626 คน มีห้องสอบราว 1,000 ห้องและใช้เวลาในการสอบ 4 ชั่วยาม

การสอบเอินเคอในครานี้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ราชวงศหยูและหนึ่งในบันทึกที่ทำให้เกิดคำถามตามมาคือหัวข้อในการสอบ !

การสอบที่ผ่านมานั้น หัวข้อในการสอบมีรากฐานมาจากปรัชญาขงจื้อแต่ครานี้กลับเป็นทฤษฎีนโยบายเดียวเท่านั้น

เมื่อผู้คุมสอบประกาศกฎของการสอบก็ได้ทำให้บัณฑิตหลายคนทำหน้าสงสัย…

แน่ใจแล้วหรือว่าการสอบเอินเคอครานี้ถูกรับรองอย่างเป็นทางการแล้ว ?

เหตุใดถึงออกหัวข้อง่ายดายเยี่ยงนี้กัน ?

มิใช่ว่าต้องสอบติดกันถึง 3 วันหรอกหรือ ? เหตุใดถึงสอบเพียงแค่ 4 ชั่วยามก็เสร็จสิ้นแล้วล่ะ ?

แค่อาศัยทฤษฎีนโยบายก็วัดประสิทธิภาพของคำตอบและกำหนดคะแนนสูงต่ำได้แล้วหรือ ?

ทว่าเมื่อผู้คุมสอบประกาศอีกคราว่านี่เป็นกฎที่ติ้งอันป๋อกำหนดขึ้น เหล่าบัณฑิตจึงได้สงบลง

พอมาคิดดูแล้วการสอบครานี้ก็เพื่อหาเจ้าหน้าที่ไปประจำว่อเฟิงเต้า ติ้งอันป๋อเป็นเต้าถายที่นั่นอยู่แล้ว ดังนั้นติ้งอันป๋อจะเป็นผู้กำหนดเองก็มิผิด

เขาต้องการคำตอบแบบใดเยี่ยงนั้นหรือ ?

บัณฑิตบางคนตั้งตารอคอย บางคนก็กำลังมึนงงอยู่ และยังมีบางคนที่รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที

ข้าร่ำเรียนปรัชญาขงจื้อมา 10 ปีเกรงว่าจะมิรอด !

คิดไว้ว่าในฐานะบัณฑิตจากลัทธิขงจื้อจะต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูงลิ่วให้ได้ แต่บัดนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว

ซือหม่าเช่อก็ตื่นตกใจมากเช่นกัน… เขาจะออกข้อสอบเยี่ยงไรกัน ?

ในฐานะตระกูลพ่อค้า นางคุ้นเคยกับประเด็นทางเศรษฐกิจเป็นอย่างดี นอกจากนี้นางยังตระหนักถึงข้อบกพร่องของนโยบายด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันของราชวงศ์หยูอีกด้วย

ดังนั้นนางจึงดึงสติของตนเองกลับมาแล้วตั้งหน้าตั้งตารอข้อสอบ

หยุนซีเหยียนบังเอิญได้อยู่ห้องสอบเดียวกันกับนาง เมื่อได้ยินนางพึมพำบางอย่างเขาก็หัวเราะร่าออกมาทันที ทฤษฎีนโยบาย… โชคดีที่มิสอบเซิ่งเสวีย

สำหรับทฤษฎีนโยบายนั้น บิดาของเขาบอกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่มก็สู้เดินทางหมื่นลี้มิได้ เขาเคยไปยังสถานที่หลายแห่งในราชวงศ์หยู เขาเคยเห็นเจียงหนานตงเต้าที่เจริญรุ่งเรืองทั้งสองสายแล้ว และยังเคยได้สัมผัสกับความทุรกันดารของหรงโย่วเต้าและกวนซีเต้าอีกด้วย

เขาเคยไปพักในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดและเคยพักในกระท่อมหลังเก่า ๆ มาแล้ว หรือแม้แต่วัดที่ทรุดโทรมก็เคยพักมาแล้วเช่นกัน

เขามิเพียงแต่มีประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น แต่เขายังได้เรียนรู้ที่จะคิดอีกด้วย

เหตุใดถึงมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากถึงเพียงนั้นกัน ?

เหตุใดผู้คนที่ยากจนตั้งแต่กำเนิดถึงยังสามารถดำรงชีวิตได้โดยการใส่เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยและกินมิเคยอิ่มได้กัน ?

บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้า จะเห็นได้ว่าเกษตรกรนั้นมีฐานะสูงกว่ากรรมกรและพ่อค้า แต่ทว่าเหตุใดถึงเป็นอาชีพที่ยากจนที่สุด

และผู้ที่ลำบากที่สุดก็คือเกษตรกรเช่นกัน !

นโยบายของแคว้นทั้งหมดมักจะสนับสนุนการเกษตร แต่เหตุใดถึงมิสามารถเปลี่ยนฐานะของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้กัน ?

เรื่องนี้เขาใคร่ครวญมาเนิ่นนานถึง 3 ปี

จนกระทั่งติ้งอันป๋อมีกลยุทธ์ด้านการค้าและการเกษตรขึ้นมา เขาคิดว่าพ่อค้ามีฐานะดีกว่าเกษตรกรอยู่แล้ว แต่เหตุใดถึงต้องยกระดับพ่อค้าให้ดีขึ้นไปอีก แล้วเกษตรกรจะทำเยี่ยงไรเล่า ?

หลังจากหยุนซีเหยียนไปเที่ยวเขตเหยา ผิงหลิง ชวูอี้ ก็เพิ่งได้เข้าใจในสิ่งที่ติ้งอันป๋อได้กระทำ

ติ้งอันป๋อเป็นพ่อค้าที่ทำเพื่อเกษตรกรอย่างแท้จริง !

ติ้งอันป๋อได้สอนให้ชาวนาไม่จมปลักอยู่กับการทำนาเพียงอย่างเดียว พื้นที่ทางการเกษตรอื่น ๆ มิควรปล่อยให้รกร้าง ดังนั้นนอกฤดูทำนาบรรดาชาวนาก็สามารถผันตัวไปเป็นเกษตรกร พอถึงฤดูทำนาที่แสนวุ่นวายพวกชาวนาก็จะกลับไปทำนา บัดนี้การทำนาจึงมิได้เป็นแหล่งรายได้หลักของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

นี่คือสิ่งที่ติ้งอันป๋อได้กล่าวไว้ในหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น การปลดปล่อยกำลังการผลิต !

……

……

เมื่อถึงเวลาแจกข้อสอบ ซือหม่าเช่อก็อ่านหัวข้อที่เขียนไว้ว่า ‘จะปัดกวาดใต้หล้าเยี่ยงไร’ !

นางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อคิดออกแล้วก็เขียนลงในกระดาษอย่างมีความสุข ‘เศรษฐกิจแทนไม้กวาด ราษฎรแทนรากฐานในการปัดกวาดใต้หล้า ! ’

หยุนซีเหยียนหยิบกระดาษขึ้นมาดู ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา

เขาเริ่มเขียนลงในกระดาษ ‘หากต้องการปัดกวาดใต้หล้า ควรเริ่มจากการทำลายทั้งหมดแล้วต่อด้วยการควบคุม ! ’

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาจากศูนย์กลางการศึกษา แล้วเดินไปตามถนนชูเซียงที่เงียบสงัด

การสอบเอินเคอได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ต่อจากนี้อีกราว 10 วันจะเป็นเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบ ผู้ให้คะแนนคือซ่างกวนเหวินซิ่วและคณบดีแห่งสำนักศึกษา ส่วนตัวเขาเพียงแค่ตรวจความเรียบร้อยเป็นลำดับสุดท้าย

ตามข่าวที่ได้รับแจ้งมาจากว่อเฟิงเต้าเมื่อวานนี้ ได้ความว่าบัดนี้ราชวงศ์หยูมีคนย้ายไปที่ว่อเฟิงเต้ามากกว่าห้าล้านคนแล้ว แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงก็คือยังมีชาวอี๋ดั้งเดิมของว่อเฟิงหยวนหลงเหลืออยู่อีกราวสามล้านกว่าคน !

พวกเขามิได้อพยพจากไป ดังนั้นถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งคือชาวอี๋เหล่านี้ได้กลายเป็นคนของราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน

ชาวอี๋ยังคงอาศัยอยู่ตามถิ่นฐานเดิมและชาวหยูห้าล้านกว่าคนที่เพิ่งไปว่อเฟิงเต้านั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากกงซุนเค่อ ซังเหลียง และหม่าซิงคง นอกจากนี้ยังมีองค์ชายหยูเวิ่นเทียนที่ได้ทำการตัดสินใจเบื้องต้นในการดำเนินงานต่าง ๆ

ในหมู่ชาวบ้านทั้งหมดมีชาวเมืองชิงโจวและว่อโจวมากที่สุด มีจำนวนราวสองล้านกว่าคน

เพื่อมิให้พลาดการหว่านไถในฤดูใบไม้ผลิ กงซุนเค่อและพรรคพวกได้ประกาศใช้มาตรการชั่วคราวให้ยกเว้นการปลูกนอกเขตว่อเฟิงเต้าไว้ 3 หมู่ หากพื้นที่ใดมิมีเจ้าของก็สามารถเพาะปลูกได้ถึงแม้ว่าจะมีที่รกร้างเป็นจำนวนมากแต่ก็ยังสามารถเพาะปลูกได้บ้าง

มิมีทางที่ทั้งสามจะดูแลพื้นที่ขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นได้ แต่ทว่าในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าพวกเขาทำได้มิเลวเลย

ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะให้ทั้งสามคนคอยติดตามและอยู่ทำงานที่จวนเต้าถายต่อไป

ในเดือนห้าเจ้าหน้าที่กลุ่มแรกที่ถูกคัดเลือกจะต้องเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้า และพวกเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับปลายเดือนเจ็ดโดยสิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก็คือการปักหลักที่อยู่อาศัยให้ทุกคน เมล็ดพันธุ์ข้าวที่จัดสรรให้ว่อเฟิงเต้านั้นจะต้องกระจายให้ตามจำนวนประชากรของทุกเขตในจวนโจว

พ่อค้าจะสามารถเลือกทำเลที่ดีได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และการสร้างงานก็จะเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้เช่นกัน

ที่ดินภายใต้เขตจวนโจวนั้นต้องได้รับการวัดใหม่ นโยบายระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมเป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งนัก เมื่อถึงเวลาจะต้องรีบดำเนินการโดยเร็ว

ฟู่เสี่ยวกวนย่ำเดินไปบนถนนชูเซียงแล้วคิดเรื่องนี้ไปด้วย เมื่อเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของถนน จึงพบว่าด้านหน้าคือหอวรรณกรรม

เขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ตื่นตกใจเสียจนต้องผงะ…

ที่หอวรรณกรรมแห่งนี้ ปกติจะมีรูปปั้นของบุคคลสำคัญ 3 คน แต่บัดนี้กลับมีเพิ่มเข้าไปอีก 1 คน !

มิสำคัญว่าจะมีเพิ่มอีกกี่คนหรอก แต่ที่เพิ่มเข้ามานั้นเหตุใดถึงดูคุ้นตามากยิ่งนัก ?

เขาก้าวเข้าไปดูไกล้ ๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันพลัน… หลี่ชุนเฟิงเจ้าบ้านี่ !

เหตุใดถึงมีรูปปั้นของข้าอยู่ที่นี่ได้กัน ?

ข้ายังมิตายเสียหน่อย !

แล้วอีกอย่างหนึ่ง ข้านั้นเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดินจะไปเทียบกับบุคคลสำคัญทั้งสามได้เยี่ยงไร !

มิได้การ ! จะต้องไปหาหลี่ชุนเฟิงเพื่อให้เขารื้อถอนสิ่งนี้เสีย !

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไป จากนั้นก็เจอกับหลี่ชุนเฟิงเข้าพอดี

“ติ้งอันป๋อ ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”

“…คือ คณบดีหลี่ นี่คือความคิดของท่านเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปที่รูปปั้น ฝ่ายหลี่ชุนเฟิงลูบเครายาวแล้วยกยิ้มขึ้น “ในตอนนั้นท่านได้รับรางวัลชนะเลิศในราชวงศ์อู๋ แล้วจากนั้น …ก็ได้ยินข่าวมาว่าท่านสิ้นลมแล้ว บัณฑิตในสถานศึกษาจึงรู้สึกว่าพรสวรรค์และความรู้ของท่านสามารถเทียบเคียงได้กับบุคคลสำคัญทั้งสาม จึงได้สร้างรูปปั้นขึ้นมาเพื่อระลึกถึงและเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ”

“แต่ข้ายังมิตายนี่ ! ”

“ข้ารู้ ! แต่ได้จุดธูปไหว้ไปแล้ว มันจึงมิเหมาะสมที่จะรื้อถอนออกไป …ติ้งอันป๋อ ท่านก็คิดเสียว่าเหล่าบัณฑิตได้ต่ออายุขัยให้ท่านก็แล้วกัน”

“…” ฟู่เสี่ยวกวนยังจะเอ่ยอันใดได้อีกกัน ?

“ฝ่าบาทเสด็จมาเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”

หลี่ชุนเฟิงตื่นตกใจเสียจนสะดุ้งโหยง “นั่นคือฝ่าบาท ข้าจะทราบได้เยี่ยงไรว่าพระองค์เสด็จมาเนื่องด้วยเหตุอันใด ? ”

“การสอบเอินเคอนี้ต้องคัดเลือกบัณฑิตราวหนึ่งพันกว่าคนไปเป็นขุนนาง พวกเขาล้วนเป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท ข้าคิดว่าที่ฝ่าบาทเสด็จมาคงจะมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่ศูนย์กลางการศึกษาพร้อมกับหลี่ชุนเฟิงทันที