เทคนิควรยุทธของขงจื๊อ

“สิ่งที่ถูกบันทึกไว้?”

จางเซวียนจ้องมองอย่างถี่ถ้วน และรู้ทันทีว่าร่างนั้นกำลังฝึกฝนวรยุทธอยู่ กระแสพลังจิตวิญญาณพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเขาและหมุนเวียนไปรอบทางเดินพลังปราณ

“นี่คือ…ปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนอ้าปากค้าง

ร่างนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ เหมือนกับหัวมันที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมมากกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะหลัวลั่วชิงพูดขึ้นมา เขาคงจะไม่คิดว่านั่นคือมนุษย์…สิ่งที่ดำปิ๊ดปี๋นั้นคือปรมาจารย์ขงจริงๆหรือ?

เห็นจางเซวียนกำลังวอกแวกเพราะรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ หลัวลั่วชิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “บันทึกนี้จะปรากฏแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ มันปรากฏขึ้นก็เพราะความสำเร็จในการฝ่าด่านวรยุทธเป็นเซียนฟ้าประทานของคุณ โอกาสนี้จะไม่มีอีกแล้วหากคุณไม่ใส่ใจมันให้ดี”

ได้ยินคำนั้น จางเซวียนรีบกลับมาสนใจกระบวนท่าของร่างดำปิ๊ดปี๋นั้น

ในเมื่อมันจะปรากฏเพียงครั้งเดียว เขาก็ต้องจับตามองให้ดี ไม่อย่างนั้น หากพลาดอะไรไป ก็คงสายเกินกว่าที่จะมาเสียใจภายหลัง

ข้อบกพร่อง*!*จางเซวียนเพ่งสมาธิ

ฟึ่บ!

หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนถูกประมวลออกมา

จางเซวียนเลิกคิ้ว

มันทรยศเขาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอีกแล้ว

แน่นอนว่าคงเป็นเพราะปรมาจารย์ขงมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ร่างที่เขาเห็นจึงไม่อาจถูกประมวลโดยหอสมุดเทียบฟ้าได้

ช่างมันเถอะเราก็แค่พยายามจดจำทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ก็พอ!

เมื่อเห็นหอสมุดเทียบฟ้าไม่ทำงาน จางเซวียนจึงจับจ้องทุกกระบวนท่าของร่างที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างเคร่งเครียด

ร่างนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน พลังจิตวิญญาณจากโดยรอบพุ่งเข้าสู่ร่างดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รังสีของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ขมวดคิ้ว

มีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับวิธีการที่พลังจิตวิญญาณพุ่งเข้าสู่ร่างนั้น*…*

ในการฝ่าด่านวรยุทธ เหล่านักรบจะเปิดจุดชีพจรทั้งหมดเพื่อซึมซับพลังจิตวิญญาณให้เข้าไปในร่างกายอย่างทั่วถึง และส่งมันเข้าสู่จุดตันเถียนเพื่อยกระดับวรยุทธของพวกเขา

แต่สำหรับร่างนี้ กลับไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการดังกล่าว เขาซึมซับพลังจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วจากศีรษะ ตามด้วยอวัยวะภายใน จากนั้นก็แขนขา ยิ่งไปกว่านั้น องค์ประกอบของพลังจิตวิญญาณที่เขาซึมซับเข้าไปก็แตกต่างกันด้วย

พลังจิตวิญญาณที่พุ่งขึ้นสู่ศีรษะของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ดูเหมือนจะนำทางองค์ประกอบที่เหลือ ส่วนพลังจิตวิญญาณที่ถูกส่งเข้าสู่อวัยวะภายในมีองค์ประกอบของไฟ พลังจิตวิญญาณที่ถูกส่งเข้าสู่แขนมีองค์ประกอบของไม้ พลังจิตวิญญาณที่ถูกส่งเข้าสู่ขาและร่างกายส่วนล่างมีองค์ประกอบของพลังเย็น

เห็นสีหน้าสับสนของจางเวียน หลัวลั่วชิงอธิบาย “มันคือ 4 ฤดูกาล”

“4 ฤดูกาล?” จางเซวียนทวนคำด้วยความสงสัย

“โลกนี้แบ่งออกเป็น 4 ฤดูกาล ผู้คนมักพูดกันว่าโลกใบที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่มีชีวิตจิตใจ แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเพื่อกำจัดสิ่งแปดเปื้อนที่มันได้สะสมไว้ ยกตัวอย่าง กูรูยาพิษสามารถผสมยาพิษและโปรยมันไปทั่วดินแดนได้ แต่หากเวลาผ่านไปนานพอ โลกก็สามารถเจือจางยาพิษนั้นได้โดยใช้พลังของการเปลี่ยนฤดูกาล ส่งผลให้เกิดการเยียวยาความบอบช้ำที่โลกได้รับ” หลัวลั่วชิงอธิบาย

“ก็เหมือนกับการขจัดเซลล์ที่ได้รับความบอบช้ำในวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในใช่ไหม?”

จางเซวียนตาโตเมื่อนึกได้

โลกใบนี้มีพละกำลังอันน่าทึ่งในการเยียวยาความบอบช้ำที่มันได้รับโดยใช้กาลเวลา ไม่ว่าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม มันอาจใช้เวลาหลายร้อย หลายพัน หรือแม้แต่หลายหมื่นปี แต่ในที่สุด ทุกความบอบช้ำก็จะได้รับการเยียวยา มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ดังนั้น ในแง่ของการเติบโต ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางพละกำลังโดยธรรมชาติของโลกได้ แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็ไม่อาจแข่งขันกับมัน

จางเซวียนพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ สิ่งที่ปรมาจารย์ขงทำคือการทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของ 4 ฤดูกาลและนำมันมาหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาเพื่อให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน*…*

สมกับที่เป็นครูบาอาจารย์ของโลก เขาช่างไม่ธรรมดาจริงๆ!

ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ปรมาจารย์ขงสามารถเรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาได้ทันทีที่เขาฝ่าด่านไปสู่วรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 1 ได้สำเร็จ ด้วยการใช้เทคนิควรยุทธที่ใกล้ชิดและสอดคล้องกับโลกมากขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่สวรรค์จะต้องเกิดความอิจฉา

เปรียบร่างกายเป็น 4 ฤดูกาล*,อวัยวะภายในคือ 5 ทิศ,จิตคือสวรรค์,ร่างกายคือโลก,การก่อเกิดพลังหยินหยางคือวิญญาณ…*

จางเซวียนยิ่งจ้องมองเท่าไหร่ก็ยิ่งอัศจรรย์ใจขึ้นเท่านั้น เขาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งและเริ่มฝึกฝนวรยุทธ ด่านคอขวดที่เคยกีดขวางระดับวรยุทธของเขาไว้อย่างแน่นหนาในอดีตค่อยๆคลายตัวลง ดูเหมือนเขาพร้อมจะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายไปได้ทุกขณะ

ขณะที่จางเซวียนกำลังจะฝ่าด่านวรยุทธ ก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น ไม่ใช่สิแบบนี้ไม่ถูกต้องปรมาจารย์ขงมีกรรมวิธีของตัวเองในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แต่เราไม่ได้มีสภาวะแบบเดียวกับเขาเราควรใช้ภูมิปัญญาของเขาเป็นแนวทางแต่จะเลียนแบบเขาอย่างหูหนวกตาบอดแบบนี้ไม่ได้*…*

ปรมาจารย์ขงใช้ทั้งชีวิตต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น มีทั้งความแข็งแกร่งและความชอบธรรม ส่วนจางเซวียนมีวิถีทางและประสบการณ์ของตัวเองซึ่งแตกต่างจากปรมาจารย์ขง ด้วยเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน กรรมวิธีการฝึกฝนวรยุทธก็ไม่ควรจะเหมือนกันด้วย หากจางเซวียนถูกบังคับให้พยายามเดินตามเส้นทางของใคร ก็มีโอกาสสูงที่วรยุทธของเขาจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก

เรามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองเทคนิคที่เราฝึกฝนล้วนแต่สมบูรณ์แบบทั้งนั้นหากเปรียบเทียบกับสวรรค์**ก็ไม่มีใครที่จะแข่งขันกับเราได้…จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

นับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนวรยุทธมา เขาไม่เคยก้าวพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว นักรบคนอื่นอาจใช้เวลาทั้งชีวิตแสวงหาหนทางในโลกนี้ด้วยความสิ้นหวัง แต่ลงท้าย สิ่งที่พวกเขาค้นพบก็เป็นเพียงความเข้าใจอันตื้นเขินที่มีต่อโลก แต่สำหรับจางเซวียน สิ่งที่เขาได้รับคือแก่นสำคัญของสวรรค์!

จะมีใครในโลกนี้ที่จะเข้าอกเข้าใจโลกได้ดีไปกว่าเขา?

นับตั้งแต่เทคนิควรยุทธของนักรบทั่วไป เทคนิควรยุทธของนักรบเหนือมนุษย์ เทคนิควรยุทธของนักรบระดับเซียน…

ขณะที่ความเข้าใจของเทคนิควรยุทธระดับต่างๆไหลเข้าสู่สมองของเขา พวกมันก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นภาพปะติดปะต่ออันน่าทึ่ง

นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ*!* จางเซวียนคิดขณะที่ดำดิ่งเข้าสู่การพิจารณาภาพปะติดปะต่อนั้น

พริบตาต่อมา เขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก เป็นโลกที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

บึ้มมมม!

ด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดไว้ถูกทำลายไปแล้ว พลังปราณของเขา พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ในเวลาเดียวกัน รังสีของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างดุเดือด

เราฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว! เพราะฉะนั้น นี่ก็คือพละกำลังที่แท้จริงของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่…

เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานอันน่าทึ่งที่ไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณ จางเซวียนถึงกับใจเต้นตึกตัก

โชคดีที่หลัวลั่วชิงยับยั้งเขาไว้จากการพยายามฝ่าด่านวรยุทธก่อนหน้านี้ หากเขาใช้กระบวนการฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำ คงจะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าตอนนี้มาก

ฟิ้วววว!

ไม่นานหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ หมู่เมฆดำก็เริ่มก่อตัวขึ้นภายใน พลังงานจำนวนมหาศาลเข้ามารวมตัวกันในพื้นที่ ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณของศาลเจ้าขงจื๊อ

“มันเกิดอะไรขึ้น?”

“หมอนั่นคงไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธที่นั่นหรอกนะ ใช่ไหม?”

“ซวยแล้ว! นั่นมันศาลเจ้าขงจื๊อนะ!”

…..

เมื่อเห็นหมู่เมฆดำก่อตัวขึ้นทั่วบริเวณ ใบหน้าของเหล่าปรมาจารย์ในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ล้วนซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง พวกเขาแทบกระอักเลือดออกมา

ไอ้น้องคุณควรจะหาพื้นที่ที่ดีกว่านี้ในการฝ่าด่านวรยุทธใช่ไหม*?*

นั่นมันศาลเจ้าขงจื๊อนะ*!คุณรู้หรือเปล่าว่าการทำลายที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการทำตัวเป็นศัตรูกับเหล่าปรมาจารย์ทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์?มันจะเป็นตราบาปที่คุณจะไม่มีวันหลุดพ้นไปได้!*

“เร็วเข้า ยับยั้งเขาไว้!” เหรินชิงหยวนร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง

ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเป็นอย่างนี้ จะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตัวปัญหานั่นเข้าไปเลย

ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนอื่นๆที่เข้าสู่ศาลเจ้าขงจื๊อจะได้รับการชำระจิตวิญญาณ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังที่พร้อมจะมอบชีวิตของตัวเองให้กับมวลมนุษย์ แต่เมื่อหมอนั่นเข้าไป ก็กลับเรียกการทดสอบวรยุทธที่จะมาทำลายสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นั้น

แค่นี้ก็เลวร้ายพออยู่แล้วที่หมอนั่นใช้การทดสอบวรยุทธทำลายทั้งตระกูลจางและศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งจนพินาศ…ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงเท่านั้นเขาจะยังไม่สาแก่ใจ!

นี่เขาอยากทำลายศาลเจ้าขงจื๊อของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จริงๆใช่ไหม?

เมื่อครู่นี้ผมก็ทำดีกับคุณไม่ใช่หรือ*?ทำไมถึงอยากหาเรื่องผมอีก?ผมยังขอโทษคุณไม่พอหรือไงกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น?*

ขณะที่ก่นด่าสาปแช่งจางเซวียนอยู่ในใจ เหรินชิงหยวนก็รุดหน้าไปยังศาลเจ้าขงจื๊อพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ขณะที่กำลังจะพรวดพราดเข้าไป ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนเดือดพล่านที่พวยพุ่งออกมาจากศาลเจ้า ทำให้ทุกคนต้องชะงักอยู่กับที่

เหรินชิงหยวนคว้าตัวปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“ศาลเจ้าขงจื๊อถูกโอบล้อมด้วยพลังพิเศษบางอย่างที่ป้องกันไม่ให้พวกเรามองเห็นด้านในได้ ต่อให้ใช้การรับรู้จิตวิญญาณก็ตาม พวกเราจึงไม่รู้ว่า…” ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวผู้นั้นรีบอธิบาย

“พลังพิเศษบางอย่าง? ป้องกันได้แม้แต่การรับรู้จิตวิญญาณของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว?”

เหรินชิงหยวนถึงกับผงะ