“ฉันพูดกับตู้เคอหลินว่าคนแค่นี้ไม่พอให้ฉันได้วอร์มร่างกายเลยนะ”
เย่เทียนเหยียบชายหยาบกร้านร่างใหญ่สองคนอย่างเกียจคร้านและมองไปในห้องที่ตู้เคอหลินเพิ่งจะถูกพยุงขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ขี้เล่น
“แก……”
เมื่อมองเห็นเหล่าอันธพาลที่ทางเดินล้มพับกันไป ตู้เคอหลินก็ตะลึงอย่างตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เขาไม่เคยคิดฝีนเลยว่าเย่เทียนจะต่อสู้เป็นขนาดนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าอันธพาลหลายสิบคนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
แม้ว่าในห้องตอนนี้จะมีชายร่างกำยำอยู่เจ็ดแปดคนแต่ก็รู้ได้เลยว่าคนไม่กี่คนนี้จะไม่สามารถขวางทางเย่เทียนได้อย่างแน่นอน!
สีหน้าของหลู่อี้นั้นไม่ดีนัก เหงื่อเม็ดโตไหลลงจากหน้าผากของเขา ปากแข็งจนพูดอะไรไม่ออก
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะว่าเขาได้ประเมินเย่เทียนต่ำไปและกำลังยืนอยู่อีกฝั่ง
“พวกนายยังเตรียมอะไรมาอีกไหม?”
เย่เทียนไม่ได้สนใจว่าทั้งสองคิดอะไร เขาเดินยิ้มกริ่มอย่างสบายๆเข้าไปในห้องและพูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้มว่า “หากไม่มี งั้นก็ตาฉันล่ะนะ!”
“ไป!ไปให้หมด!”
ทันใดนั้นสีหน้าของตู้เคอหลินเปลี่ยนไปตะขิดตะขวงพร้อมกับผลักอันธพาลสองคนที่อยู่ข้างกายขึ้นไปและถอยหลังออกมา
เพียงแต่พวกอันธพาลต่างมองหน้ากันไปมาและไม่มีใครกล้าที่จะเริ่มเข้าไป
ล้อเล่นอะไรกัน พวกเพื่อนที่อยู่ด้านนอกกว่ายี่สิบคนนอนอยู่บนระเบียงทางเดิน พวกเขาแค่ไม่กี่คนเข้าไปเกรงว่าก็จะเป็นการฆ่าตัวตายน่ะสิ?
“นาย!นาย!พวกนายสองคนอยู่ก่อน ส่วนคนอื่นไสหัวไปซะ!”
เย่เทียนเหลือบมองดูอันธพาลที่สีหน้าดูน่ากลัวเล็กน้อยนี้พร้อมกับยิ้มและชี้ไปทางหลู่อี้และตู้เคอหลินสองคนนี้
อันธพาลเจ็ดหรือแปดคนมองหน้าและต่างเห็นความตื่นตระหนกในสายตาของกันและกันจึงไม่กล้าพูดอะไร จากนั้นทยอยก้าวเท้าเลี่ยงเย่เทียนและเดินจากไป
“แก พวกแกทำอะไรกันน่ะ?กลับมาเดี๋ยวนี้!”
ตู้เคอหลินตกตะลึงพร้อมกับตะโกนคำรามออกมาด้วยความโกรธ
น่าเสียดายที่อันธพาลไม่กี่คนนั้นได้กลัวความรุนแรงของเย่เทียนที่แสดงออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าตู้เคอหลินจะแหกปากตะโกนอยู่ด้านหลังยังไง พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะหยุดก้าวเดิน
แม้แต่อันธพาลชุดสุดท้ายที่อยู่ในห้องก็ยังปิดประตูให้อีกด้วย
เย่เทียนพยักหน้าอย่างพอใจพร้อมกับหยิบเก้าอี้มานั่งขวางประตูเอาไว้และไม่พูดจา ได้แต่มองไปที่หลู่อี้พักหนึ่แงละถอนสายตามามองตู้เคอหลินอีกพักหนึ่ง
“ฉัน ฉันจะบอกอะไรแกให้ ทางที่ดีแกต้องให้ฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากรอสักพัก ตู้เคอหลินที่ตื่นตระหนกจนแทบหายใจไม่ออกก็ได้แสร้งทำเป็นตะโกนออกมาอย่างสุขุม “พ่อของฉันคือตู้เฮิงฉุน ฉันเป็นชายหนุ่มคนเดียวในตระกูลตู้ หากแกกล้าทำอะไรฉันแม้แต่นิดเดียว พ่อของฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่!”
เย่เทียนหัวเราะอย่างโง่เขลา ลูกผู้ลากมากดีก็ยังเป็นลูกผู้ลากมากดีอยู่วันยังค่ำ แต่มีตาหามีแววไม่ถึงได้ยังกล้ามาขู่ตนเช่นนี้อีก?
อีกทั้งยังไม่เรียนรู้จากหลู่อี้ที่ยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้นราวกับนักเรียนที่กระทำความผิดและยืนก้มหัวลงเล็กน้อย นี่สิถึงจะเป็นท่าทีของการรู้สึกผิด!
“ประธานหลู่ อาจจะเป็นไปได้ว่าท่านไม่ค่อยเข้าใจว่าสิ่งที่ผมเกลียดมาที่สุดก็คือการทรยศหักหลัง แต่ว่า…..”
“ท่านเองก็ไม่ใช่คนของผม ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่เรียกว่าเป็นการทรยศ อย่างมากก็ถือว่าเป็นคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ก็พอ!”
“ผมเป็นคนมีเหตุผลและพอจะเข้าใจความคิดของนักธุรกิจอย่างท่าน ผมจะไม่โทษท่าน”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เทียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจตู้เคอหลินแต่สายตากลับมองไปที่ร่างของหลู่อี้
“คุณเย่ คุณอยากให้ผมทำอะไรก็พูดมาเถอะ!”
หลู่อี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้น มุมปากขดรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา เขาจะเชื่อคำพูดของเย่เทียนได้อย่างไรกัน
ท้ายที่สุดแล้วหากไม่โทษเขาแล้วทำไมเขาจะต้องอยู่ด้วยล่ะ?
“ประธานหลู่เป็นนักธุรกิจ สมองก็ดีเป็นอย่างมาก”
เย่เทียนยกนิ้วโป้งชื่นชม จากนั้นสีหน้าของเขาก็เย็นชาลงพร้อมกับชี้ไปที่หน้าต่าง “เพียงแค่ท่านกระโดดลงไป ผมรับรองว่าจะไม่ตามหาให้ท่านมารับผิดชอบอะไรอีก!”
“ผม…..”
รูม่านตาของหลู่อี้หดลงในทันที ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“ประธานหลู่ ท่านยังต้องคิดอีกเหรอ?”
เย่เทียนนั่งไขว่ห้างอย่างเกียจคร้านและพูดอย่างเฉยเมยว่า “นี่เป็นชั้นสอง ขอเพียงแค่ตกลงไปแล้วเอาหัวลง อย่างมากก็คงแค่ขาหัก พักซักแปดเก้าวันก็คงหายดีแล้วล่ะ”
“เชื่อว่าคงยอมรับได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะหากเปรียบกับธุรกิจตระกูลที่สร้างมานานหลายสิบปี”
“คุณเย่ หวังว่าคุณจะทำตามที่พูดไว้”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลู่อี้ก็ได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำเข้มมองตรงไปที่เย่เทียน
เขาต้องยอมรับว่าเย่เทียนสามารถควบคุมจิตใจของเขาได้อย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าเขาจะมอบทางเลือกให้แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่มีทางเลือกอะไรเลยต่างหาก!
กระโดดลงไปอย่างมากก็แค่ขาหัก พักเป็นเวลาสามถึงห้าเดือนก็คงจะหายดีและคงดีกว่าการที่ธุรกิจของตระกูลที่ทำมานานหลายสิบปีต้องพังทลายลงใช่ไหม?!
“ลูกผู้ชาย หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน!” เย่เทียนพยักหน้าเล็กน้อย
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
หลู่อี้เองก็ถือว่าเป็นคนกล้าหาญ ดวงตาจับจ้องมองไปที่เย่เทียนและไม่สับสนอีกต่อไป เขาไม่พูดอะไรพร้อมกับเดินไปที่หน้าต่างจากนั้นปีนขึ้นไปและกระโดดลงมา!
“จริง กระโดดจริงๆเหรอ?!”
จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของหลู่อี้ดังมาจากหน้าต่าง ตู้เคอหลินถึงจะมีสติกลับมา เขาตกใจเสียจนสีหน้าซีดเผือดและไร้ซึ่งเลือดฟาดใดๆ
“ฉันจะบอกให้นะคุณชายใหญ่ตู้ ตอนนี้เหลือเพียงแค่นายคนเดียวแล้ว อย่ามัวยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น!”
มีรอยยิ้มขี้เล่นอยู่ตรงมุมปากของเย่เทียน “ไหนลองบอกมาซิ!เซอร์ไพส์ฉันขนาดนี้ อยากจะให้ฉันทำอะไรคืนดีล่ะ?”
สีหน้าของตู้เคอหลินเปลี่ยนไปอย่างมากในทันที เขาถอยหลังลงไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “แก แกอย่ายุ่ง!พ่อของฉันคือตู้……”
“เอาล่ะเอาล่ะ นายอย่าอะไรนิดอะไรหน่อยก็พูดแต่พ่อฉันเป็นใครได้ไหม?”
ไม่ทันรอให้ตู้เคอหลินพูดจบ เย่เทียนก็ได้โบกมือขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับพูดอย่างร้อนใจว่า “ทุกคนก็โตๆกันแล้ว ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยไม่ได้หรือไง?ในเมื่อนายกล้าทำก็ต้องรับผลแห่งความล้มเหลวที่ตามมา”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พ่อของนายจะเก่งแค่ไหนแต่เขาจะมาช่วยนายได้ในทันทีเลยเหรอ?”
“แก……ฉัน……..”
สีหน้าของตู้เคอหลินนั่นกลายเป็นสีของตับหมู เขาค้างงันไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
“ดูจากที่นายคงเป็นพวกสมองหมูก็คงจะคิดไม่ออกว่าอะไรคือสิ่งที่ดี แบบนี้ก็แล้วกัน ฉันจะถามคำถามนายสองสามคำถามแล้วฉันจะตัดสินใจว่าจะลงโทษนายยังไงดี”
เย่เทียนไม่ได้สนใจว่าตู้เคอหลินจะคิดอะไรอยู่ เขายิ้มและถามว่า “ตระกูลตู้ของพวกนายใช้เวลาเพียงสามสิบปีก็สามาถไต่ระดับมาจนมีวันนี้ได้ ลองคิดดูแล้วก็คงมีกองกำลังที่ทรงพลังสนับสนุนอยู่ล่ะสิใช่ไหม?”
“กองกำลังทรงพลัง?”
ตู้เคอหลินที่ตะลึงงันก็ได้รีบตอบไปอย่างรวดเร็ว “จะมีกองกำลังทรงพลังอะไรกันล่ะ ทั้งหมดนี้มันอยู่ที่ทัศนวิสัยของพ่อฉันคนเดียวทั้งนั้น ด้วยพ่อฉัน….”
เย่เทียนขมวดคิ้วในทันที เขาจ้องมองไปที่ตู้เคอหลินตลอดจึงดูออกว่านี่คือการตอบตามจิตใต้สำนึกของเขา ความเป็นไปได้ที่จะโกหกนั้นมีน้อยมาก
หรือว่าเขาจะมีลูกผู้ลากมากดีที่กินนอนไปวันวันจริงๆ?!