ตอนที่ 1641 จากลา

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1641 จากลา
คำพูดนั้นของเล่งหยูทำให้เหล่าผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนต้องก้มหัวลงด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความละอาย

เพราะผู้อาวุโสที่ได้รับคุณประโยชน์จากเย่หยวนไปนั้นมันมิใช่จำนวนที่น้อยๆ เลย

ยังไงเสียเย่หยวนก็เป็นตัวตนที่น่าเกรงขามในหมู่จอมเทพโอสถสามดาว เขาคนนี้ครั้งหนึ่งเคยที่จะชนะผู้อาวุโสที่สอง หรงซูได้เสียด้วยซ้ำ

เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายในนี้มีใครบ้างที่ไม่มีศิษย์เลยสักคน?

การหาโอสถดีๆ มาช่วยศิษย์ที่รักนั้นมันเป็นเรื่องราวที่แสนจะปกติ

แต่เพราะว่าเย่หยวนนั้นเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเก่งกาจขนาดไหนมันก็ยังไม่เพียงพอ

พวกเขาอาจจะพอจำคุณของเย่หยวนไว้ได้ระยะหนึ่ง แต่คงไม่มีทางจำมันไปจนวันตาย

หากไม่มีใครพูดถึงขึ้นมาพวกเขาทั้งหลายก็อาจจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่การที่เล่งหยูกล่าวถึงมันขึ้นมาแบบนี้มันจึงทำให้พวกเขาทั้งหลายแสดงสีหน้าสุดละอายออกมา

หรงซูที่เห็นแบบนั้นจึงคิดว่าเรื่องกำลังไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องและกล่าวขึ้นมา “ท่านปู่ยุทธนั้นพูดไม่ถูกต้อง ทุกคนตอนนี้หาได้โยนหินลงบ่อน้ำไม่ พวกเราทั้งหลายแค่กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อพูดถึงตำแหน่งผู้อาวุโสของเย่หยวน หาได้คิดจะทำอะไรตัวเขาไม่ เพราะยังไงเสียการที่ให้นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามาเป็นผู้อาวุโสมันก็ไม่เหมาะไม่ควรมาตั้งแต่แรกแล้ว!”

ด้วยคำกล่าวของหรงซู ทุกคนที่เหลือจึงรีบเสริมขึ้นมาแก้ต่างให้ตัวเอง

“ใช่ ใช่ ต่อให้เย่หยวนไม่สมควรกับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่เขาก็ยังเป็นศิษย์คนสำคัญของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา!”

“ด้วยความสามารถของเย่หยวน เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจักรพรรดิได้อย่างสบายๆ มีใครบ้างล่ะที่จะไม่อยากได้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม?”

“เราไม่ได้ลืมบุญคุณคน เพียงแค่ตอนนี้มันมีเสียงบ่นไม่พอใจเกิดขึ้นต่อหอโอสถและหอยุทธ์มากมายก็เท่านั้น มันช่วยไม่ได้”

เล่งหยูได้แต่ถอนหายใจแรงด้วยความโกรธจนไม่สามารถหาคำไหนมาพูดได้อีก

เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้พูดจาออกมาด้วยเหตุผล

แต่ว่าหากเย่หยวนเสียตำแหน่งผู้อาวุโสไป อนาคตของเขาคงต้องพบเจอความยากลำบากมากมายแน่

สบาย?

เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้

เล่งหยูนั้นได้รับการช่วยเหลือจากเย่หยวน จึงมีความรู้สึกขอบคุณต่อเย่หยวนมาเป็นทุนเดิม

จากนั้นเย่หยวนยังช่วยเจิ่งชีสังหารเกาหยุน ศัตรูแค้นของอู๋ซิงถังศิษย์ของตัวเขา ทำให้เล่งหยูยิ่งมองเย่หยวนดีเข้าไปใหญ่

เมื่อต้องมาเห็นเย่หยวนมีสภาพที่ยากลำบากแบบนี้ เขาจึงโกรธแค้นอยู่ในจิตใจ

แต่เป็นเวลานี้ที่เองที่จู่ๆ ผู้อาวุโสหอยุทธ์คนหนึ่งก็เปิดปากพูดขึ้นตาม “การให้นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขึ้นเป็นผู้อาวุโสนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ ข้าคิดว่าตอนนี้เราควรปลดตำแหน่งผู้อาวุโสของเย่หยวนออกก่อน และหากวันข้างหน้าเขาสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ก็ค่อยแต่งตั้งเขาขึ้นมาใหม่มันก็ยังไม่สาย!”

เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา ทุกผู้คนต่างแตกตื่นกันทันที

เพราะผู้ที่พูดนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือผู้นำตระกูลหนิง หนิงจื่อหยวน

ในสายตาของทุกคนตระกูลหนิงกับเย่หยวนนั้นมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาก ไม่มีใครคิดว่าผู้ที่ลงดาบสุดท้ายกับเย่หยวนในเวลานี้จะกลายเป็นหนิงจื่อหยวนเอง

ซวนอี้นั้นตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตื่นตกใจและโกรธเคือง “หนิงจื่อหยวน!”

หนิงจื่อหยวนจึงตอบกลับมาเรียบๆ “ผู้อาวุโสใหญ่ เราในฐานะผู้อาวุโสแห่งเมืองจักรพรรดิย่อมมีหน้าที่ในการดูแลพัฒนาเมือง ตระกูลหนิงนั้นสนิทสนมกับเย่หยวนมากจริงๆ แต่ตอนนี้ตัวตนของเย่หยวนมันทำให้การดำเนินงานต่างๆ ของเมืองเริ่มสั่นคลอนแล้ว! ข้าเกรงว่าทางเดียวที่เรามีคือการถอดตำแหน่งผู้อาวุโสของเขาออกเท่านั้น!”

หรงซูนั้นยิ้มกว้างออกมา ตอนนี้นอกจากซวนอี้และเล่งหยูแล้วไม่มีใครเลยที่อยู่ข้างเดียวกับเย่หยวน

ตัวตนของผู้อาวุโสเย่หยวนมันได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

เล่งหยูเองก็ไม่เคยคาดคิดเช่นกันว่าเรื่องมันจะลุกลามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว

ตอนที่เล่งหยูกำลังคิดจะเปิดปากออกพูดอีกครั้ง เขากลับเห็นรอยยิ้มจางๆ ของเย่หยวนก่อนเขาจะกล่าวขึ้น “ข้าคิดว่าคำพูดของผู้อาวุโสหนิงนั้นมีเหตุผล เย่คนนี้ไม่สามารถบรรลุอาณาจักรมาได้เป็นเวลานาน จึงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสแล้วจริงๆ วันนี้ต่อหน้ายอดผู้อาวุโส ข้าจึงอยากจะขอลาออกจากตำแหน่งผู้อาวุโส”

คำพูดนั้นมันทำให้ทุกคนตื่นตะลึงไปทันที รวมไปถึงหรงซูด้วย

เขานั้นเคยคิดว่าเย่หยวนจะต้องยืนหยัดต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย เขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่หยวนจะถอยกลับไปอย่างง่ายดายเช่นนี้

เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมันทำให้ได้รับประโยชน์ต่างๆ มากมายแค่ไหน

หากถอนตัวไป เขาคงไม่มีทางใช้ชีวิตสบายๆ ในเมืองเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้อีก

เล่งหยูขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันมาถาม “เย่หยวน เจ้าพูดเรื่องบ้าบออะไรออกมา?!”

ซวนอี้เองก็เสริมขึ้น “เย่หยวน นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะ!”

เย่หยวนจึงหันไปมองคนทั้งสองด้วยดวงตาที่แสนอบอุ่นก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตำแหน่งผู้อาวุโสนั้นสำหรับข้าแล้วมันก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่พัดผ่าน เย่ผู้นี้ยังมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำอีกมาก การที่ข้ามาในที่ประชุมวันนี้ก็เพื่อที่จะมากล่าวลาทุกท่าน”

เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกเปล่งออกมา ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงไม่เว้นแม้แต่เหอชง เขาถามขึ้น “เจ้าจะออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์?”

เย่หยวนพยักหน้า “เย่ผู้นี้ไม่สามารถบรรลุอาณาจักรได้เสียที จึงคิดจะออกไปท่องโลกฝึกตัวสักพักเพื่อจะได้หาโอกาสในการบรรลุ”

เหอชงพยักหน้าออกมาทันทีที่ได้ยิน “ไม่เลว คนหนุ่มสาวต้องมีความอดทน การออกไปท่องโลกกว้างเพิ่มประสบการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เลวเลย”

เมื่อได้เห็นใบหน้าท่าทางสุดสงบของเย่หยวน หรงซูจึงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ยกหมัดขึ้นมาต่อยลมไป

เขาเพิ่งจะรู้ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมันไม่มีค่ากับเย่หยวนเลย

จู่ๆ เขาจึงคิดเรื่องอื่นขึ้นมาได้และกล่าวขึ้น “เย่หยวน เจ้าอยากไปเจ้าก็จงไป แต่จงทิ้งเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้!”

ดวงตาของเหอชงหรี่เล็กลงในทันทีที่ได้ยิน

เพราะเรื่องของเจ้าเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้เขาได้ยินมันมานาน

ว่ากันว่าระดับของเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นไม่สามารถวัดค่าได้ มีความเป็นไปได้อย่างสุดล้ำ

เย่หยวนใช้พลังของเขาหน่วงเทพบรรพกาลในการสังหารยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวไปถึงสามคน มันเป็นหลักฐานถึงพลังของมันได้อย่างดี

แต่คำของหรงซูนั้นมันทำให้ใจของเขาเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อเล่งหยูได้ยินแบบนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “เด็กน้อยหรงซู เจ้าหมายความว่าอย่างไร? 300 ปีก่อนเย่หยวนได้ควบคุมสถานการณ์อันปั่นป่วนไว้ด้วยตัวคนเดียว ช่วยชีวิตผู้อาวุโสและอาจารย์ไว้มากมาย แต่ตอนนี้เจ้ากลับคิดจะให้เขาส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลให้เจ้า?”

หรงซูตอบ “ตอนนั้นที่เขาหน่วงเทพบรรพกาลถือกำเนิดขึ้น การเข้าไปเอามันมาล้วนต้องขอบคุณทุกผู้คน แต่เย่หยวนกลับนำเขาหน่วงเทพบรรพกาลไปเป็นของตนเอง! ชายแก่คนนี้เองก็ไม่ได้อยากจะได้เขาหน่วงเทพบรรพกาลมาไว้เองหรอก เพียงแต่ว่าหากยอดผู้อาวุโสหรือท่านเจ้าเมืองได้เขาหน่วงเทพบรรพกาลไป มันจะเหมือนเสือติดปีก จะช่วยเสริมพลังให้กับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างมาก! ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือพลังของเย่หยวนในตอนนี้มันช่างอ่อนแอ การนำสมบัติล้ำค่าแบบนี้ติดตัวออกไปหากต้องเสียมันไประหว่างเดินทางมันจะไม่เป็นผลเสียต่อเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรารึ?”

คำพูดของหรงซูนั้นเป็นคำพูดที่พูดให้เหอชงฟัง ตอนที่เหอชงได้ยินเขาเองก็ถึงกับต้องเงียบไป

เพราะเขาเห็นด้วยกับมัน

แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับมา “หรงซู เจ้านี่มันช่างหน้าไม่อาย! สมบัติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโชคของใครของมัน ตอนนั้นข้าแย่งมันมาจากมือของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ ตามกฎของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วมันย่อมต้องเป็นของส่วนตัวของข้า! แต่ตอนนี้เจ้ากลับคิดจะมาขอรับมันไว้? ไหนล่ะเหตุผล?”

เหอชงที่ได้ยินแบบนั้นก็ใจสงบขึ้นมาในทันที เพราะแม้เย่หยวนจะพูดออกมาอ้อมๆ แต่เขาก็สื่อสารออกมาอย่างชัดเจน

เย่หยวนกำลังบอกทุกคนว่าเมื่อเขามีปัญญาแย่งมันมาจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ เขาย่อมมีปัญญาปกป้องมัน!

ต่อให้พวกเจ้าคิดจะแย่งชิงไปมันก็คงไม่ง่ายแน่!

สำหรับนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแล้วมันอาจจะฟังดูเกินตัว เดิมทีมันคงเป็นเรื่องที่น่าขันสำหรับทุกผู้คนหากคนอื่นพูด

แต่คำพูดเหล่านั้นของเย่หยวนมันมีความเป็นไปได้!

เรื่องตอนนั้นเหอชงก็รู้ถึงมันมาไม่น้อยแล้ว

ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ของเผ่าปีศาจได้เข้าโจมตีเขา ทุกคนเชื่อว่าเย่หยวนได้ตายลงแล้ว แต่เขาไม่ใช่แค่ไม่ตาย แต่กลับเข้าไปแย่งชิงสมบัติออกมาด้วยซ้ำ

มันชัดเจนมากว่าเย่หยวนมีปัญญาที่จะปกป้องตัวเอง

ด้วยความสามารถนี้เขาจึงไม่ต้องเกรงกลัวใคร แม้แต่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!

จริงๆ เหอชงเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าด้วยความสามารถระดับเย่หยวน ทำไมเขาถึงได้มาติดขัดอยู่ที่หน้าอาณาจักรราชันพระเจ้าแบบนี้?

เรื่องนี้มันต้องมีตัวแปรอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยแน่ๆ

เหอชงรู้สึกได้ว่าหากเย่หยวนบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เมื่อไหร่ เขาจะเหมือนเป็นปลาที่กระโดดขึ้นฟ้ากลายร่างเป็นมังกร กลายเป็นยอดฝีมือที่มีพลังสะท้านทั่วหล้า!

หลังชั่งใจอีกพักหนึ่งและคิดเรื่องราวต่างๆ ซ้ำไปมา เหอชงก็กล่าวขึ้น “เย่หยวนนั้นใช้ความพยายามหนักหน่วงแลกผลประโยชน์มหาศาลมา เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเป็นสมบัติของเขา อย่าได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันอีก!”

หรงซูแทบขาดอากาศตายเมื่อได้ยิน ยอดผู้อาวุโสกลับยอมที่จะถอยเสียอย่างนั้น!