หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 831 เริ่มสงครามล่า
เมื่อสงครามล่ามาถึง
แม้แต่ท้องฟ้าในภูมิภาคทางเหนือก็หนักหน่วง เมฆดำปกคลุมไปทั่ว จอมยุทธ์ทุกคนในภูมิภาคทางเหนือรู้สึกถึงรังสีสังหารแรงกล้าบนท้องฟ้า
ทุกขั้วอำนาจสั่นสะท้านภายใต้รังสีสังหารนี้ แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นสูงที่มีพื้นฐานอ่อนแอก็รู้สึกกระวนกระวานไปด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะในอดีตมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกกลืนหายไปในสงครามล่า มากจนกระทั่งผู้ประมุขเหล่านั้นยังไม่สามารถรอดออกมาจากสมรภูมิหยุ่นลั้วได้
ความโหดร้ายนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่ถูกละเว้น
ทุกดินแดนมีกฎระเบียบของตัวเอง ซึ่งกฎของภูมิภาคทางเหนือก็คือแบบนี้ แม้พวกเขาจะรู้ว่าสงครามล่าอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดแห่งไหนเลือกที่จะถอยหนีหรือปฏิเสธ
เนื่องจากสมรภูมิหยุ่นลั้วเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ แม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงในขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้นยังไม่สามารถต้านทานได้ ซึ่งนั่นก็คือของเหลวหลิงเสิน
แม้จอมยุทธ์ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะเป็นเหมือนเทพเซียนในสายตาของคนอื่น แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์นอกเหนือไป ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่ามีความแตกต่างกว้างใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนแต่ละขั้น ซึ่งพลังนั้นยิ่งใหญ่กว่าและน่าดึงดูดมากกว่า
แต่เนื่องจากขุมพลังตี้จื้อจุนเป็นระดับยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของพวกเขา เหมือนกับการทะยานขึ้นฟ้า แต่ของเหลวหลิงเสินในสมรภูมิหยุ่นลั้วจะทำให้ทางที่ทะยานขึ้นไปของพวกเขาสะดวกมากขึ้น
นี่เป็นสิ่งล่อลวงที่ร้ายแรงสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคน
ในอดีตแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตื้จื้อจุนในภูมิภาคอื่นก็ยังถูกล่อหลอกพยายามจะแย่งชิง แต่สุดท้ายพวกเขาก็โดนไล่ตะเพิดจากฝีมือขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือที่ร่วมมือกัน สามารถขับไล่ขั้วอำนาจจากดินแดนอื่นออกไปได้
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเหล่านั้นจะสร้างกำลังของพวกเขาในภูมิภาคทางเหนืออย่างขมขื่น ก็น่าจะเป็นเพราะของเหลวหลิงเสินในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ดังนั้นเมื่อสงครามล่าวนมาถึงอีกครั้ง ทั้งภูมิภาคทางเหนือก็แช่อยู่ในรังสีสังหารกดดัน ทุกคนจินตนาการได้ว่าการแข่งขันในสมรภูมิหยุ่นลั้วจะดุเดือดขนาดไหน
นี่เป็นสงครามที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็สิ้นชีพได้…
แค่คิดถึงสงครามทำลายล้างแบบนั้น ก็กระตุ้นความกลัวในใจของคนอื่นๆ ได้แล้ว
ดินแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ภูมิภาคทางเหนือ เขตต้าหลัวเทียน
หอวิหคโลกันตร์
มู่เฉินกับจิ่วโยวยืนตรงหน้าหอสูงพร้อมหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในชุดเกราะสีดำที่ยืนเรียงแถวทั่วลานตรงหน้า
ทุกคนกำจายรัศมีต่อสู้ออกมาเบาบาง แม้แต่คลื่นหลิงรอบตัวก็ดูเหมือนจะหลอมรวมกัน ช่างทรงพลังอย่างยิ่ง
ทั่วทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงใด สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ผู้นำทั้งสองคนที่เบื้องหน้า
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็หลุบตาลงขณะยืนเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เสื้อผ้าสีดำมองเห็นโครงร่างตั้งตรงที่ดูสงบและสุขุม การฝึกฝนในปีที่ผ่านมาละทิ้งความอ่อนโยนบนใบหน้า แทนที่ด้วยท่าทางสุขุมและสงบนิ่ง
จิ่วโยวยืนอยู่ด้านข้าง เกราะดำรัดเรือนร่างเย้ายวน ทำให้ส่วนโค้งเว้าดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง สั่นไหวกระทั่งหัวใจคนมอง เรียวขายาวเกือบจะทำเอาเลือดกำเดาพุ่งกระฉูด ความสวยปราดเปรียวบวกกับท่าทางเย็นชา ชวนให้ผู้อื่นอยากจะครอบครองนางขึ้นไม่ได้
ที่เบื้องหลังทั้งคู่ก็คือเหล่าสมาชิกที่ไม่ได้ออกศึก โดยมีถังปิงกับถังโหยวยืนนำ
ตึง!
ความเงียบงันคงอยู่ไม่นานเมื่อเสียงระฆังที่อัดแน่นด้วยพลังการต่อสู้ดังขึ้นในเขตต้าหลัวเทียน
รังสีสังหารพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าจากส่วนต่างๆ ของเขตต้าหลัวเทียน ครู่ต่อมาเสียงแหวกอากาศหนาแน่นก็ดังขึ้น ขณะที่กลุ่มเมฆดำทะมึนทะยานขึ้นไปเบื้องบน ปกคลุมทั้งผืนฟ้าจนมิดเม้น
เมฆเหล่านี้ก็คือกองทัพติดอาวุธครบมือ เหล่านักรบล่าสังหารที่มีรังสีในการต่อสู้ทรงประสิทธิภาพ
“กองทัพอาณาเขตสวรรค์ จงฟังคำสั่ง…เคลื่อนพล!”
เมื่อรังสีการต่อสู้ไร้ขอบเขตปกคลุมทั่วชั้นฟ้า เสียงของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง ช่างเปี่ยมด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขาม
“ตู้ม!”
ท้องฟ้าเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนนี้ นักรบไร้ที่สิ้นสุดเปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งผ่านเส้นขอบฟ้าราวกับฝูงตั๊กแตน เคลื่อนพลออกจากเขตต้าหลัวเทียน
จิ่วโยวหันไปมองถังปิง “ฝากหอวิหคโลกันตร์ด้วยนะ”
“พี่ใหญ่จิ่วโยววางใจเถอะเจ้าค่ะ พวกเราจะรอคอยพวกท่านนำชัยชนะกลับมา” ถังปิงกับถังโหยวพยักหน้า พวกนางรู้ว่าสงครามล่าน่ากลัวเพียงใด แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังเสี่ยงที่จะถูกทำลาย ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อจบสงครามคนที่กลับมาจะเป็นเหล่ากองทัพอาณาเขตสวรรค์หรือการบุกรุกแย่งชิงของขั้วอำนาจอื่นๆ
มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็พยักหน้า มู่เฉินยกมือขึ้นวาดลงพร้อมกับแววตาเฉียบคมมากขึ้น
“หน่วยรบวิหคโลกันตร์ เคลื่อนพล!”
ร่างมู่เฉินกับจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานนำออกไปพร้อมกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยาตราไปบนท้องฟ้าเบื้องล่างพวกเขา ดูราวกับกลุ่มเมฆดทะมึนติดตามคนทั้งสองไม่ห่าง
เมื่อกองทัพใหญ่ยาตราออกจากเขตต้าหลัวเทียน เคลื่อนผ่านพื้นที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมากให้แหงนเงยขึ้นมอง ทุกคนต่างมีสายตาซับซ้อน แต่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยคำอวยพร ด้วยหวังว่าอาณาเขตสวรรค์จะรอดปลอดภัย หากต้นไม้ใหญ่หักโค่นก็จะไม่เป็นผลดีต่อหมู่นกกา
ขณะที่กองทัพใหญ่เคลื่อนผ่านเขตแดนไป ระหว่างทางก็มีกองทัพทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอยู่เรื่อยๆ จอมยุทธ์เหล่านั้นก็คือกองทัพน้อยใหญ่ภายใต้บังคับบัญชาของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อพวกเขาเข้าร่วมกระบวนทัพ ขบวนแถวก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากขึ้น เมื่อเดินทางก็ดูราวกับกลุ่มเมฆดำทะมึนพลุ่งพล่านไปด้วยรัศมีการต่อสู้ ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากมองด้วยความตกตะลึงท่วมท้น ภายใต้รัศมีการต่อสู้น่าสะพรึงกลัว พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหมุนวนคลื่นหลิงในร่างกาย เพราะกลัวว่ารัศมีของตนเองจะไปดึงดูดการโจมตีจากกองทัพที่น่ากลัวนี้
เผชิญกับกองทัพน่าสะพรึง ย่อมไม่มีใครในขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนกล้าหยุดพวกเขา
เวลาเดียวกับที่กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคลื่อนพล กองทัพจากส่วนอื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน พร้อมกับรัศมีการต่อสู้เชี่ยวกรากกวาดผ่านขอบฟ้าราวกับพายุบ้าคลั่ง
ทั้งภูมิภาคทางเหนือสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในตอนนี้ ภาพลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้าเหมือนสัญญาณการพิพากษาโลกใกล้เข้ามา
ขั้วอำนาจบางส่วนโชคดีไม่สามารถเข้าร่วมสงครามล่าครั้งนี้ได้เนื่องจากอ่อนแกเกินไป ก็ต่างมองภาพนี้ด้วยความดีใจปนอิจฉา พวกเขาดีใจที่สามารถหลีกเลี่ยงสงครามน่ากลัวได้และอิจฉาเรื่องที่พวกเขาอ่อนแอเกินไปไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะถูกทำลาย
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะดีใจหรืออิจฉา ม่านสงครามล่าน่ากลัวที่สุดแห่งภูมิภาคทางเหนือก็เปิดขึ้นแล้ว
สงครามนี้จะต้องย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีเลือดแน่นอน
สุดทิศตะวันตกของภูมิภาคทางเหนือ
เทียบกับบริเวณเฟื่องฟูอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือ ดินแดนตะวันตกห่างไกลกลับดูร้างผู้คน เสียงสัตว์อสูรคำรามเป็นระยะ ทำให้ดินแดนผืนนี้ดูเงียบเหงายิ่งกว่าเดิม
ดินแดนนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกขมุกขมัว รัศมีเยือกเย็นกัดกระดูกจนแม้แต่คลื่นหลิงยังดูน่าขนลุก
ในดินแดนห่างไกล ดูเหมือนจะมีแว่วเสียงเข่นฆ่านับไม่ถ้วน แต่เมื่อมองเข้าไปกลับร้างราวกับเมืองผี…
เมื่อสายตามองไปตรงจุดลึก พื้นดินก็ดูน่ากลัวขึ้นฉับพลัน หุบเหวขนาดหลายแสนแห่งเปิดพื้นดินออกจากกัน
ความกว้างของหุบเหวเหล่านี้อยู่ราวหมื่นจั้ง ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ ในเหวลึกนั้นเป็นอุโมงค์ดำมืดมิด ราวกับทางสู่ปรโลก สายลมกรูขึ้นมาอย่างน่าขนลุก ซึ่งดูเหมือนม่านปราการแยกพื้นที่นี้เอาไว้
ตรงสุดรอยแตก หุบเหวเหล่านั้นปกคลุมไปด้วยรัศมีมืดทึบมีเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนแว่วมาประหนึ่งกองทัพกำลังพุ่งเข้าโรมรันกันในนั้น
ที่นี่ก็คือขอบสมรภูมิหยุ่นลั้ว ดินแดนต้องห้ามของภูมิภาคทางเหนือ มีเพียงหนึ่งในสิบของจอมยุทธ์จำนวนมากที่เข้าไปหาสมบัติแล้วกลับออกมาได้เท่านั้น
แต่วันนี้ดินแดนทางตะวันตกไกลโพ้นกลับกลายเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านมากที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ภายในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า จู่ๆ เสียงลมพัดอู้ก็ดังกึกก้อง ท้องฟ้ามืดมนกระจายออก ร่างคนนับไม่ถ้วนราวกับฝูงตั๊กแตนตั้งแถวหนาแน่นในบริเวณนี้
ในตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นสูงแห่งภูมิภาคทางเหนือต่างมาถึงสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว!
คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ครางกระหึ่มกวาดผ่านพายุน่ากลัวที่พัดในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ในดินแดนสมรภูมิหยุ่นลั้ว กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงก็เข้าครอบครองพื้นที่ในรัศมีพันจั้ง ขณะที่ขั้วอำนาจอื่นเมื่อมองเห็นพวกเขาก็ทะยานหนี ไม่กล้าท้าทายอาณาเขตกงเวทสวรรค์อันยิ่งใหญ่
บนยอดเขาโดดเดี่ยว มู่เฉินยืนเงียบๆ ที่เบื้องหน้าก็คือมั่นถัวหลัว สามจอมพลกับเหล่าผู้บัญชาการอื่นๆ ตอนนี้สายตาทุกคนพุ่งตรงไปข้างหน้า
พายุดำมืดที่กวาดตัวออกจากรอยแตกอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่าปราการป้องกันของสมรภูมิหยุ่นลั้วอ่อนลงแล้ว
เหล่าจอมยุทธ์มองภาพกว้างใหญ่ไพศาลนี้เงียบๆ เมื่อไรที่พายุสีดำจางหายไป นั่นก็หมายความถึงเวลาที่สงครามล่าเริ่มต้นขึ้น!
ช่วงเวลาดังกล่าวมาถึงอย่างรวดเร็ว
เวลาเพียงสิบกว่านาที พายุสีดำก็จางหายไปจนหมด
ทันทีที่พายุหายไป มู่เฉินก็ได้ยินเสียงโห่ร้องที่เต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ดังสะท้อนทั่วดินแดน
มั่นถัวหลัวที่อยู่หน้าสุด ก็ยกมือขึ้นวาดลงอย่างนุ่มนวล
“เริ่มสงครามกันเถอะ!”
** หน่วยรบทั้ง 10 รวมเป็นกองทัพ*= กองทัพอาณาเขตสวรรค์ ส่วนกองทัพที่รวมพวกใต้บัญชาการสำนักอื่นเข้าร่วม = กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์*