บทที่ 5 บทที่ 55 คนที่ถูกทอดทิ้ง

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 55 คนที่ถูกทอดทิ้ง โดย Ink Stone_Fantasy

เริ่นจื่อหลิงอยู่บนรถ เธอมองดูหม่าโฮ่วเต๋อกับหลินเฟิงเดินกลับมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก…พวกเขาจับชายจรจัดมาด้วยคนหนึ่ง เธอเห็นจึงรีบลงจากรถ

“เอ๋? ทำไมถึงจับกลับมาแค่คนเดียวล่ะ”

หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า พลางพูดด้วยหน้าตาเศร้าสร้อยว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เธอไปจากที่นี่ก่อนพวกเราจะมาถึง เธอคงรู้ว่ามีคนมาสังเกตการณ์เธอ…บางทีเธออาจจะจำพี่ได้ก็ได้”

เริ่นจื่อหลิงนึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเจอจ้าวหรูมาก่อน

“ฉันระวังตัวที่สุดแล้วนะ…ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ” เริ่นจื่อหลิงอดทึ่งไม่ได้ เธอถามอย่างจนปัญญา “แล้วจะทำยังไงล่ะ”

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า พูดว่า “ทำได้เพียงเพิ่มกำลังคนแล้วไปตรวจสอบที่พักพวกคนจรจัดที่อื่นในเมืองดู”

หลินเฟิงเลิ่กลั่ก “เซอร์หม่า จ้าวหรูรู้แล้วว่าพวกเราหาเธอตามสถานที่แบบนี้ คุณว่าเธอยังจะแฝงตัวอยู่ในที่พักคนจรจัดที่อื่นอีกเหรอ?”

“งั้นถ้าพวกเราคิดว่าเธอไม่อยู่ในที่แบบนี้ แล้วล้มเลิกการค้นหา แต่จริงๆ แล้วเธอยังซ่อนตัวอยู่ในที่แบบนี้ล่ะ?” หม่าโฮ่วเต๋อมองค้อนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “จะมองข้ามความเป็นไปได้ใดๆ ไม่ได้ทั้งนั้น พวกเราเป็นตำรวจ แม้จะเป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อนดูเหมือนไร้ประโยชน์ คุณก็ต้องหาให้เจอแม้เป็นเพียงเบาะแสเล็กน้อย”

เริ่นจื่อหลิงตบไหล่หลินเฟิงแล้วพูดว่า “เซอร์หม่าของนายยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อนายแน่ะ นายควรขอบคุณแล้วพาเขาไปเลี้ยงข้าวนะ เออใช่ ฉันรู้จักร้านอาหารดีๆ แถวนี้ร้านหนึ่ง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราไปวันนี้เลยก็แล้วกัน!”

หลินเฟิงมองค้อนแวบหนึ่ง “แล้วก็ถือโอกาสเลี้ยงข้าวคุณด้วยใช่ไหม? คุณนาย!”

“ฉลาดเหลือเกินนะ!” เริ่นจื่อหลิงทำตาปริบๆ พูดอีกว่า “งั้นห่อกลับได้ไหม? ลั่วชิวของฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย!”

“…”

หลินเฟิงรู้สึกว่าเดือนนี้ตัวเองคงได้กินแกลบแน่ๆ…ครั้นแล้วก็มองไปที่หม่าโฮ่วเต๋อด้วยแววตาเศร้าสร้อยแวบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าหม่าโฮ่วเต๋อกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ฮัลโหล? ที่รัก คืนนี้ผมไม่กลับไปกินข้าวบ้านนะ อืมๆ หลินเฟิงเลี้ยงข้าวน่ะ ใช่ๆ…”

‘เซอร์หม่า คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ!’

กลางดึก

พอกลับถึงบ้าน เริ่นจื่อหลิงก็ถอดรองเท้าออก เธอตะโกนขึ้นตั้งแต่หน้าประตูว่า “ลูกรัก? ลั่วชิว? บอสลั่วชิว? อยู่ไหม? ทำอาหารแล้วหรือยัง ฉันเอาของกินนิดหน่อยกลับมาให้แน่ะ”

เริ่นจื่อหลิงไม่ได้รับคำตอบใดๆ เหมือนเคย เธอชินแล้ว จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องของลั่วชิว

ไฟในห้องลั่วชิวปิดอยู่ มีเพียงโคมไฟที่เปิดสว่างไสว เขานั่งดูอัลบั้มรูปอยู่ตรงนั้น

“ดูอะไรน่ะ”

ลั่วชิวปิดอัลบั้มรูป ใส่มันกลับเข้าไปในลิ้นชัก แล้วตอบอย่างเฉยเมย “ไม่มีอะไรครับ ก็แค่รูปสมัยเรียนจบ”

“รูปเรียนจบ…”

เริ่นจื่อหลิงใจลอย คล้ายสาวใหญ่อย่างเธอกำลังหวนนึกถึงช่วงเวลาวัยสาวของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่เธอใจลอยได้ไม่นานก็พูดขึ้นว่า “กินอะไรหน่อยไหม? มีซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานของร้าน ‘อวี้เจี้ยนเจียงหนาน’ ด้วยนะ! ลูกน้องอาหม่าเขาเลี้ยงข้าวแน่ะ!”

นี่คือหนึ่งในเมนูอาหารจานโปรดของเจ้าของร้านลั่ว ลั่วชิวหยิบขึ้นมา ก่อนเดินออกจากห้องก็ถามว่า “ไปที่นั่นได้ยังไงครับ”

“เฮ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย” เริ่นจื่อหลิงมีท่าทีเศร้าสร้อย เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันให้เขาฟัง จากนั้นก็พูดเน้นอีกว่า “ฉันอยู่บนรถจริงๆ นะ! ถ้าไม่เชื่อเธอไปถามเหล่าหม่าได้เลย!”

“คนจรจัด?” ลั่วชิวฟังแล้วก็ก้มหน้าพึมพำออกมา

“เธอพอนึกอะไรได้บ้างไหม?” เริ่นจื่อหลิงถามด้วยแววตาเป็นประกาย

“ผมต้องนึกอะไรได้ล่ะครับ?”

เริ่นจื่อหลิงยักไหล่…แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดว่าลั่วชิวจะนึกอะไรออกอยู่แล้ว จากนั้นเธอก็ถอนหายใจแล้วนั่งลง ใช้มือทั้งสองเท้าคางไว้ พูดอย่างเศร้าใจ “ค่าส่งข่าวของฉันผู้น่าสงสาร…เหล่าหม่าจอมขี้งก ไม่คิดเลยว่าเขาจะจับคนร้ายไม่ได้! แต่ยังโชคดีที่จับโจรขโมยรถได้ไม่ใช่หรือ กลับไม่ให้ฉันสักแดงเดียว! ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าเนี่ย!”

ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “เดี๋ยวผมไปอุ่นกับข้าว แล้วหุงข้าวก่อนสักหน่อย คุณยังไม่อิ่มใช่ไหม”

“เธอรู้ได้ยังไง?” เริ่นจื่อหลิงตกใจ

ลั่วชิวถาม “จะกินหรือไม่กิน?”

“แหะๆ…”

รองบรรณาธิการเริ่นหัวเราะอย่างขัดเขิน เธอเบนสายตามองไปที่ระเบียง แล้วก็พูดว่า “โอ้ วันนี้ไม่ได้เก็บผ้าล่ะสิ! เดี๋ยวฉันทำเองๆ!”

เจ้าของร้านลั่วส่ายหน้า เขาหยิบจานเล็กออกมาสองสามใบ

อาหารเยอะขนาดนี้ เขาไม่เพียงรู้ว่าเริ่นจื่อหลิงกินไม่อิ่ม แต่ยังรู้ด้วยว่าแม้แต่อาหม่าก็น่าจะกินไม่อิ่มเหมือนกัน

แค่ดูก็รู้แล้วว่าอาหารยังไม่พร่องเลย

ตะวันขึ้นก็ออกไปทำงาน ตะวันตกดินก็กลับมาพักผ่อน เป็นวิถีการดำเนินชีวิตอันแสนคร่ำครึของมนุษย์…นับเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของนาฬิกาใหญ่ในเมืองนี้

มีไม่กี่คนที่จะสังเกตเห็นคนเก็บขยะเร่ร่อนที่นี่…ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไหล่เล็กกระจ้อยร่อยของนาฬิกาใหญ่ในเมืองนี้เลย

พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งอดีตของกันและกัน

คุณลุงที่อยู่ข้างๆ จ้าวหรูบอกว่า ‘พวกเขาเป็นคนที่ถูกเมืองใหญ่ทอดทิ้ง’

คุณลุงไม่ยอมบอกชื่อแซ่ของตัวเอง บอกให้เรียกเขาแค่ว่าลุงม่าย แต่เวลาที่พูดถึงหลานชาย เขากลับแนะนำอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือม่ายเสี่ยวจวิน หลานชายของฉัน”

จะสามทุ่มแล้วสินะ? ลุงม่ายพาหลานชายกลับมาจากการอาบน้ำที่ห้องน้ำสาธารณะใกล้ๆ นี้

ม่ายเสี่ยวจวินยังเรียนหนังสืออยู่ ได้ยินว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากสถานสงเคราะห์หลายแห่ง ดังนั้นเวลากลับมาจากโรงเรียน ม่ายเสี่ยวจวินจะหิ้วน้ำกลับมาด้วยหนึ่งถัง ซึ่งเป็นน้ำที่ใช้สำหรับซักชุดนักเรียนของม่ายเสี่ยวจวินโดยเฉพาะ

พอม่ายเสี่ยวจวินกลับมาแล้ว เขาก็กางโต๊ะพับตัวเล็กๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกตัวเล็ก ลุงม่ายจุดตะเกียงให้เขา แล้วเด็กน้อยก็เริ่มทำการบ้าน

เวลาผ่านไปสักพัก พวกคนจรจัดคนอื่นที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มเข้ามาคุยเรื่องสัพเพเหระกับลุงม่ายที่กำลังซักชุดนักเรียนอยู่

เรื่องที่คุยก็จะเป็นเรื่องที่พวกเขาบางคนได้เห็นได้ฟังมาจากในเมืองตอนกลางวัน

ทันใดนั้นจ้าวหรูก็เดินออกมาจาก ‘ห้อง’ ลังกระดาษของตัวเอง เธอเดินมายืนข้างๆ ลุงม่ายแล้วพูดว่า “ลุงคะ ฉันช่วยซักนะคะ”

“หืม? ไม่ต้องหรอกแม่หนู ฉันจะให้เธอซักได้ยังไง” ลุงม่ายส่ายหัว

จ้าวหรูยิ้มแล้วพูดว่า “คุณลุง เมื่อกี้คุณลุงให้ฉันกินซาลาเปาแล้วไม่ใช่หรือ? ฉันจะไม่ทำอะไรเลยได้ยังไงคะ”

เวลานี้พวกคุณลุงทั้งหลายที่มารวมตัวกันต่างก็พากันหัวเราะสนุกสนาน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้มาอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร แต่หญิงสาวคนนี้มีรอยยิ้มงดงาม ทั้งยังนิสัยใจคอดีด้วย

ลุงม่ายปฏิเสธเธอไม่ได้ เขาทำได้เพียงลุกจากที่นั่ง แล้วปล่อยให้จ้าวหรูเริ่มลงมือซัก ขณะเดียวกันเขาก็รู้แล้วว่าหญิงสาวที่มาใหม่นี้ชื่อว่า เสี่ยวหรู

ช่วงหัวค่ำ ลุงม่ายอดเอ่ยถามเบาๆ ไม่ได้ “เสี่ยวหรู…เธอยังสาวอยู่ ทำไมถึง…”

จ้าวหรูกำลังตากเสื้อผ้าอยู่ เธอพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณลุงบอกว่า ที่นี่มีแต่คนถูกทอดทิ้งไม่ใช่หรือคะ?”

แล้วลุงม่ายก็ไม่ได้ถามอะไรอีก…ผู้คนที่นี่ไม่อยากให้ใครล่วงรู้อดีตของตน

คืนนี้ หลานชายของเขาดีใจกว่าทุกครั้ง เพราะว่าจ้าวหรูช่วยสอนการบ้านให้กับเขา ชายชรามักโทษตัวเองเสมอที่ไม่สามารถสอนการบ้านหลานชายได้ ทำให้ผลการเรียนหลานชายไม่ดีเสมอมา

พอเห็นหลานชายดีใจแบบนี้ คืนนี้ชายชราก็หลับอย่างสบายใจ

ลุงม่ายตื่นขึ้นมายามฟ้าสางเช่นเคย ที่จริงคนเก็บขยะจำนวนไม่น้อยจะเริ่มงานสายหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ชายชรายังต้องส่งหลานชายไปโรงเรียน เขาจึงต้องตื่นเช้าหน่อย

พอกลับมา ลุงม่ายก็เจอตำรวจสองนายเดินมาทางเขา พร้อมหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาถามลุงม่ายว่า “คุณเคยเห็นคนนี้ไหม?”

เด็กสาวในรูปไม่ได้ยิ้ม ทั้งยังเป็นวัยรุ่น…เธอคนนั้นคือจ้าวหรู

ลุงม่ายไม่ได้ตอบไปในทันที เขาเพียงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณตำรวจ คนคนนี้ทำอะไรผิดหรือ?”

ตำรวจลาดตระเวนไม่อยากพูดมาก จึงตอบไปว่า “นี่คือนักโทษหลบหนี เป็นตัวอันตราย! พวกผมสงสัยว่าเธอจะซ่อนตัวอยู่แถวนี้ คุณเคยเห็นไหม?”

“ไม่เคยเห็นหรอกครับ”

ลุงม่ายส่ายหัว ชายแก่รู้ว่าตนต้องทำตัวให้มีพิรุธน้อยที่สุด

‘ไม่เคยเห็น’

นี่คือคำตอบของชายแก่

นายตำรวจพยักหน้า และไม่ได้สนใจอีก “อ้อ งั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณเห็นผู้หญิงคนนี้ รบกวนบอกพวกผมทันที ถ้าจับคนร้ายได้จะมีเงินรางวัลให้ด้วยนะครับ!”

ลุงม่ายเพียงแค่หัวเราะ เขาไม่ได้ถามว่าเงินรางวัลเท่าไร แต่รอให้ตำรวจสองนายนี้จากไปแล้ว จึงเดินเข้าไปในซอยที่พัก

ชายชรากลับมาถึง ‘ห้อง’ ของตัวเอง หลังจากเก็บของเสร็จ เขาถึงชะโงกไปมองอีก ‘ห้อง’ ที่อยู่ข้างๆ ตน

ดูแล้วหญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่ข้างในน่าจะยังไม่ตื่น ลุงม่ายค่อยๆ วางซาลาเปาสองลูกไว้หน้าประตูของเธอ นี่เป็นซาลาเปาที่เขาซื้อระหว่างทางกลับจากโรงเรียนของม่ายเสี่ยวจวิน

สำหรับลุงม่ายแล้ว ที่นี่ไม่มีจ้าวหรูอะไรทั้งนั้น ที่นี่มีเพียงสาวน้อยคนหนึ่งแค่นั้น

เธอบอกว่า เธอเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งเหมือนกัน

ที่นี่ทุกคนต่างก็ถูกทอดทิ้ง พวกเขาไม่มีอดีต

ก็เท่านี้