บทที่ 510 วิธีการสุดท้าย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 510 วิธีการสุดท้าย

ป๊อก!

แขนของเซียวปิงถูกลูกธนูปักเข้ามา

ยามที่หัวธนูกระทบถูกผิวหนังของเขาก็บังเกิดเสียงเหมือนลูกธนูฝังลงไปบนเนื้อไม้แข็งกระด้าง

เสื้อคลุมฉีกขาด

เลือดสาดกระเซ็น

แต่เป็นเลือดเพียงหย่อมเดียวเท่านั้น

ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้นไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผิวหนังของเซียวปิงได้มากกว่ารอยถลอกเพียงเล็กน้อย

“อ๊ากกก… พวกเจ้าต้องตายให้หมด”

เซียวปิงระเบิดเสียงคำรามและต่อยหมัดออกไปรัวๆ

ผลั่ก!

ฟู่! ฟู่!

เลือดสาดกระจาย

กระดูกแตกหัก

กลุ่มคนแยกย้ายออกไปคนละทิศคนละทาง

หนึ่งหมัดที่ต่อยออกไป จะต้องมีคนหนึ่งคนลอยกระเด็นออกไป

เซียวปิงขยับเท้าเป็นจังหวะเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง

สองมือของเขาสาวหมัดออกมาตลอดเวลา

กลุ่มองครักษ์และนายทหารเริ่มเกิดความลังเลที่จะเข้าโจมตีอีกครั้ง

“ไม่ต้องสนใจมันแล้ว รีบอ้อมไปสิ รีบอ้อมไป…”

ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันร้องตะโกน “หลังจากนั้นพวกเจ้าก็พังวิหารให้ราบไปเลย”

องครักษ์กลุ่มหนึ่งมีท่าทางลังเล

แต่องครักษ์และนายทหารอีกกลุ่มใหญ่วิ่งอ้อมตรงไปยังตัววิหารอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ไม่นะ… ย๊ากกก”

เซียวปิงระเบิดเสียงคำรามออกมาจากลำคออีกครั้ง

เขาใช้วิชาตัวเบาลอยตัวขึ้นไปในอากาศและทิ้งตัวลงมายืนจังก้าอยู่หน้าประตูวิหาร

“เข้าไปอยู่ข้างใน แล้วปิดประตูซะ”

เด็กหนุ่มร้องตะโกน

บรรดานักบวชสาวรวมตัวกันอยู่หน้าประตู ทุกคนถือกระบี่อยู่ในมือ

“บอกให้เข้าไปอยู่ข้างใน แล้วปิดประตูซะ”

เซียวปิงร้องตะโกนอีกครั้ง

แต่กลุ่มนักบวชสาวยังคงยืนลังเลอยู่ที่เดิม

“พวกเจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก?” เซียวปิงระเบิดเสียงคำรามเหมือนคนบ้า “นักพรตหญิงชินกับคนอื่นๆ ยังกลับมาไม่ได้ ในขณะนี้… มีเพียงข้าอยู่รับมือพวกมันคนเดียวเท่านั้น หากพวกเจ้ายังอยู่ตรงนี้ พวกเจ้าจะทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง”

ได้ยินดังนั้น บรรดานักบวชสาวก็ยอมเข้าไปอยู่ด้านในวิหารและปิดประตูลงกลอนแต่โดยดี

บัดนี้ เซียวปิงมีร่างกายชุ่มโชกไปด้วยโลหิต เสื้อผ้าของเขาถูกย้อมเป็นสีแดงสด เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าเลือดเหล่านี้เป็นเลือดของตนเอง หรือเลือดของศัตรูกันแน่

หลังจากนั้น เขาก็ยืนขวางประตูไว้เหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง

พวกองครักษ์ชุดเทาและนายทหารที่วิ่งตามมาถูกเขายืนขวางทางเอาไว้

การต่อสู้ที่แสนเศร้าบังเกิดขึ้น

ต้องยอมรับก่อนว่าเซียวปิงยังมีพลังไม่ถึงขั้นยอดปรมาจารย์ ผิดกับอีกฝ่ายหนึ่งที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์หลายคนแล้ว ในไม่ช้า ร่างกายของเด็กหนุ่มก็มีบาดแผลเต็มไปหมด

เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดเป็นริ้วๆ

คมกระบี่ถูกทิ่มแทงเข้ามานับครั้งไม่ถ้วน

เซียวปิงไม่ได้ชักกระบี่ออกมาต่อสู้

เพราะเขาตั้งใจจะต่อสู้ด้วยกำปั้นของตนเองเท่านั้น

แขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมกระบี่

จำนวนองครักษ์และนายทหารที่ต้องล้มลงตายต่อหน้าเซียวปิงเพิ่มจำนวนจาก 20 คนเป็น 30 คน

แต่พวกองครักษ์และนายทหารส่วนที่เหลือ ก็ยังดาหน้าเข้ามาไม่หยุดยั้ง

ก่อนหน้านี้ พวกเขาหวาดกลัวในความน่ากลัวของหลินเป่ยเฉิน จึงลังเลที่จะลงมือต่อสู้…

แต่เมื่อได้ต่อสู้แล้ว ดวงตาของทุกคนก็กลับกลายเป็นสีแดงก่ำ

ศพคนตายของฝ่ายเดียวกันที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นหิน ยิ่งทำให้กลุ่มองครักษ์เดือดดาลมากยิ่งขึ้น พวกเขาพร้อมใจตะโกนคำว่า ‘จงตายซะ’ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาเซียวปิงด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่ง

อาวุธทุกชนิดถูกใช้ออกมา

ไม่ว่าจะเป็นธนู

กระบี่

อาวุธลับ

การต่อสู้ทุกรูปแบบถูกใช้ออกมา

ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้อย่างซึ่งหน้า

หรือการลอบโจมตี

ปลายเท้าของเซียวปิงมีเลือดไหลนองเป็นกองใหญ่

“ท่านพี่ ข้าจะทนให้ได้นานที่สุด แต่ท่านได้โปรดรีบกลับมาได้แล้ว…”

เด็กหนุ่มคิดคำนึงระหว่างที่ต่อสู้ไปด้วย

โชคดีที่ตลอดการต่อสู้ระหว่างนี้ เซียวปิงอาศัยเพียงเรี่ยวแรงจากร่างกายเท่านั้น เขายังไม่ได้ใช้พลังลมปราณ จึงสามารถโคจรพลังลมปราณคอยช่วยเหลือได้ทุกเวลาเมื่อรู้สึกว่าเรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้า

แต่ถึงอย่างนั้น เซียวปิงกลับต้องเสียเลือดเป็นอย่างมาก

และนั่นทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าลง

เฮ้อ นี่เขากำลังจะตายแล้วสินะ

เซียวปิงรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเนื้อหมูที่ถูกหั่นอยู่บนเขียงเนื้อ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของเขากลับกลายเป็นสีแดง

เลือดไหลเข้ามาในดวงตาของเซียวปิง

แต่ในจังหวะนั้นเอง หัวใจของเซียวปิงก็ไม่หลงเหลือพื้นที่ให้กับความหวาดกลัวอีกแล้ว

ในใจเขาคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า

การปกป้องนักบวชสาวเหล่านี้

เป็นภารกิจที่พี่ใหญ่มอบหมายให้แก่เขา

เขาจะต้องปกป้องประตูบานนี้เอาไว้ด้วยชีวิต

ต่อให้ล้มลง เซียวปิงก็จะไม่ยินยอมให้มีใครกระโดดข้ามร่างของเขาไปเปิดประตูได้เด็ดขาด

เว้นแต่ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น

เซียวปิงยังคงกลัวตาย

แต่มารดาของเขาสั่งสอนว่าในโลกนี้มีสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย

นั่นคือการทำให้ผู้อื่นผิดหวัง

เขาล้วงมือเข้าไปหยิบยาลูกกลอนโอสถหกสวรรค์ออกมาประมาณเจ็ดเม็ด ก่อนจะยัดเข้าปากกลืนลงคอเข้าไปรวดเดียว

ขณะนี้ เด็กหนุ่มไม่สนใจอีกแล้วว่ามันจะเป็นการรับประทานยาเกินขนาดหรือไม่

ยาลูกกลอนเริ่มออกฤทธิ์

มวลพลังงานความร้อนแผ่ไปทั่วร่างกาย

ในเวลาเดียวกันนั้น เกิดเสียงสวดมนต์ดังขึ้นจากด้านในวิหาร

เหล่านักบวชสาวที่อยู่หลังบานประตูพร้อมใจกันสวดมนต์เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

พลัน บังเกิดมวลพลังงานสีเงินสว่างไสวลอยออกมาจากประตูด้านหลังเซียวปิง

สิ่งที่เหมือนแสงจันทราเหล่านั้นไหลรินเข้าไปสู่ร่างกายของเด็กหนุ่ม

มันมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ

เหล่านักบวชสาวในวิหารกำลังบริกรรมคาถาที่ช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บ

เสียงใสๆ ของพวกนางดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

พลังลมปราณศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายไปทั่วพื้นที่บนยอดเขา

“ย๊ากกก…”

เซียวปิงร้องคำรามออกมาสุดเสียง

บาดแผลบนผิวหนังของเขาสมานตัวแล้ว

แต่คมกระบี่ก็ถูกฟันลงมาใหม่

มวลพลังในร่างกายของเขาไหลเวียนอย่างปั่นป่วน

การรับประทานยาลูกกลอนวิเศษเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเมื่อสักครู่นี้ ทำให้ร่างกายของเซียวปิงบวมพองเหมือนลูกโป่งที่สูบลมมากเกินไป และร่างกายของเขาก็กำลังขยายขนาดโป่งพองมากขึ้นเรื่อยๆ…

แต่เมื่อได้ยินเสียงบริกรรมคาถาและมีลำแสงสีเงินดูดซับเข้ามาในร่างกาย มวลพลังงานเหล่านั้นก็ถูกระบายออกไปอย่างรวดเร็ว

เซียวปิงกลับมามีร่างกายเป็นปกติอีกครั้ง

แต่เขาต้องรีบระบายพลังที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายออกไปให้หมด

ความหวาดกลัวไม่มีอยู่ในจิตใจของเขาอีกแล้ว

ในสมองของเซียวปิงมีแต่จิตสังหารเปี่ยมล้น

เขาไม่รับรู้อีกแล้วว่ารอบกายมีใครยืนอยู่บ้าง

ความคิดเดียวที่มีอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มในขณะนี้ก็คือ…

เขาจะต้องขวางประตูเอาไว้ให้ได้

ไม่มีใครจะผ่านประตูบานนี้เข้าไปได้เด็ดขาด

เซียวปิงเหมือนเป็นหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้อารักขาห้องควบคุม

เฒ่าทะเลและองค์หญิงแห่งท้องทะเลเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยแววตาที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

“ท่านสังเกตเห็นหรือไม่?”

องค์หญิงแห่งท้องทะเลสอบถาม

“ย่อมเห็น” เฒ่าทะเลตอบ “เขาไม่ใช่เจ้าเด็กคนนั้น”

หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย ชายชราก็กล่าวเสริม “มนุษย์มีวีรบุรุษอยู่เสมอ ท่านเองก็คงได้เห็นแล้ว เฮ้อ… นับว่าองค์หญิงวิตกกังวลเกินไปจริงๆ”

องค์หญิงแห่งท้องทะเลไม่พูดคำใด

สีหน้าปรากฏความเศร้าสร้อยเล็กน้อย

ราวกับว่าในโลกนี้มีเรื่องราวบางอย่างที่นางไม่สามารถยุ่งเกี่ยวได้เลย

ในสงครามการต่อสู้ของผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ นางทำได้เพียงเป็นผู้รับชมเท่านั้นจริงๆ

“ทุกอย่างต้องจบในวันนี้แหละนะ”

หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาด้วยความร้อนรน

เขาพยายามทุกวิถีทางแล้ว

แต่ม่านพลังก็ยังไม่สลายไป

ใช้กระบี่สายฟ้าไม่ได้ผล

ใช้เรี่ยวแรงจากร่างกายก็ไม่ได้ผล

ใช้พลังปราณธาตุไฟบริสุทธิ์ในร่างกายก็ไม่ได้ผล

แม้แต่ปืนอินทรีหิมะก็ทำอะไรไม่ได้

“แล้วเราควรทำไงดีวะ?”

เด็กหนุ่มคิดด้วยความหมดหวัง

เขารู้ดีว่าตนเองต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

มิเช่นนั้นแล้ว โศกนาฏกรรมใหญ่หลวงกำลังจะเกิดขึ้น

ใจเย็นก่อน ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและสั่งให้ตนเองไม่ตื่นตระหนก เขาควรจะใช้สมองที่มีไอคิวถึง 250 คิดหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้

“ม่านพลังต้องถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์…”

“ในเมื่อกระบี่สายฟ้าใช้ไม่ได้ผล ปืนอินทรีหิมะก็ใช้ไม่ได้ผล แม้แต่พลังปราณธาตุไฟของเราก็ใช้ไม่ได้ผล แสดงว่าพวกมันไม่ใช่พลังที่เกิดขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์…”

“ถ้าเราอยากจะออกไปจากที่นี่ให้ได้ เราก็ต้องใช้พลังชนิดเดียวกันสลายมันออกไป หรือพูดอีกอย่างก็คือ…”

ทันใดนั้น ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาแล้ว

นี่คือวิธีการสุดท้าย

แต่ถ้าเขาใช้วิธีนี้ ตัวตนที่แท้จริงของวีรบุรุษหน้ากากแดงอาจจะถูกเปิดเผยก็เป็นได้

ถ้าอยากจะปิดบังตัวตนต่อไป หลินเป่ยเฉินจะใช้วิธีนี้ไม่ได้เด็ดขาด

แต่เขาจะปล่อยให้เวลาล่วงเลยนานมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…

ฉับพลันนั้น

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจขั้นเด็ดขาด