ตอนที่ 150 คึกคักไปทั้งเมืองหลวง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

พระชายาฉีเกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเขินอาย ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร พระชายาฉีก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายต่อ นำเรื่องทุกอย่างที่เตรียมไว้เพื่อรับตัวเจ้าสาวในวันนี้เล่าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวฟังหนึ่งรอบ และถามนางว่า “ เจ้าช่วยข้าดูซิ มีตรงไหนตกหล่นอะไรบ้างไหม”

 

 

วิธีการรับตัวเจ้าสาวก็ไม่ต่างกันมาก เมิ่งเชี่ยนโยวคิดทวนเหตุการณ์แต่งงานของเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีหนึ่งรอบ พยักหน้า “ส่วนใหญ่ก็จะประมาณนี้เพคะ ไม่มีอะไรตกหล่น”

 

 

“งั้นก็ดีแล้ว” พระชายาฉีโล่งใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าเตรียมงานใหญ่ขนาดนี้ ข้าจึงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”

 

 

ท้องฟ้าสว่างแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยสวมเสื้อเกราะชุดใหม่ เดินมาถึงหน้าห้องโถงด้านหน้าด้วยใบหน้าที่สดใส

 

 

พระชายาฉีลุกขึ้นยืน หมุนไปรอบๆ ตัวเขา ดูว่ามีอะไรไม่เรียบร้อยหรือไม่ พยักหน้า “ฤกษ์แต่งงานใกล้จะถึงแล้ว ไปรับตัวเจ้าสาวเถิด”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป รอจนไม่เห็นร่างของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดนินทาว่า “ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพจะพอใจมากกับการแต่งงานนี้ ดูสิเจ้าคะ ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้เลย”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่สิ เริ่มดีใจอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อวาน ดูแล้วซูเอ๋อร์คงจะถูกใจเขาจริงๆ”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยออกจากประตูของจวน หน้าประตูมีเกี้ยวจอดอยู่ คนนำยกเกี้ยวแท้จริงแล้วคือรองแม่ทัพชุยและนายพลหลายคน ฉู่เหวินเจี๋ยกระโดดขึ้นบนหลังม้า โบกมือ เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น เขาขี่ม้าอยู่ข้างหน้า รองแม่ทัพชุยและคนอื่นๆ เดินยกเกี้ยวด้านหลัง เกี้ยว ทั้วสองข้างคือแม่สื่อที่เชิญมาและสาวใช้จากจวนหวังที่ถูกสั่งให้มากะทันหัน ทหารหลายร้อยนายเดินตามหลังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคนออกตัวอย่างยิ่งใหญ่มุ่งหน้าไปจวนเฝิง

 

 

เรื่องที่ท่านแม่ทัพแต่งงานวันนี้ดังไปทั่วเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวมากมายที่เสียใจอยู่ในจวนของตนเอง แต่ก็อยากดูว่าหญิงสาวจวนเฝิงนี้มีความสามารถอะไรกันแน่ ถึงทำให้ท่านแม่ทัพหลงใหล ฉะนั้นขบวนรับตัวเจ้าสาวเดินอยู่กลางถนน สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่จวนแม่ทัพจนถึงจวนเฝิง

 

 

ผู้คนที่มาล้อมดูต่างตกใจในความยิ่งใหญ่ของขบวนนี้ มีหญิงสาวมากมายทุบอกตัวเอง เสียใจที่ตนเองไม่ใช่คนที่ท่านแม่ทัพชอบ

 

 

ขบวนรับตัวเจ้าสาวบรรเลงดนตรีตลอดทั้งทางยาวจนถึงหน้าประตูจวนเฝิงโดยไม่พบเจออุปสรรคใดๆ

 

 

นายท่านเฝิงนำคนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ฉู่เหวินเจี๋ยกระโดดลงจากม้า นายท่านเฝิงคุกเข่าก้มลงกราบลง ฉู่เหวินเจี๋ยรีบเดินเข้าไป พยุงเขา เปลี่ยนสรรพนามที่เรียกด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้วพ่อตาไม่ต้องทำความเคารพเช่นนี้”

 

 

คำเรียกพ่อตานี้ทำให้นายท่านเฝิงดีใจมาก ทำให้ทุกคนในจวนเฝิงอุ่นใจ โดยเฉพาะผู้อาวุโสในตระกูลเฝิงที่อายุมากแล้ว น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาทันที ท่านแม่ทัพยอมลดตัวลง เรียกนายท่านเฝิงว่าพ่อตา นั่นหมายความว่าในใจเห็นด้วยกับงานแต่งนี้ ต่อไปตระกูลเฝิงก็มีที่พึ่งใหญ่ในเมืองหลวงนี้แล้ว

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยไม่รู้ว่าทุกคนคิดอะไร แค่คิดอย่างไร้เดียงสาว่าตัวเองสู่ขอลูกสาวของคนอื่นแล้ว ก็ควรเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาว่าพ่อตา

 

 

แม่สื่อถือผ้าเช็ดหน้า เดินขยับตัวเข้ามา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่านเฝิง ถึงฤกษ์แต่งงานแล้ว เชิญคุณหนูเฝิงขึ้นเกี้ยวเถิด”

 

 

มีคนเข้าไปรายงาน ไม่นานเฝิงจิ้งซูก็ถูกคุณชายตระกูลเฝิงแบกออกมา ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นแล้ว รีบก้าวขาออกไป ท่ามกลางเสียงตกใจของทุกคนและเสียงตกใจของเฝิงจิ้งซูอุ้มเฝิงจิ้งซูลงมาจากหลังคุณชายตระกูลเฝิง

 

 

วางไว้บนอกของตน นายหญิงเฝิงที่ร้องไห้จนตาบวมเห็นภาพทีไม่ถูกต้องตามหลักนี้ ตกใจอ้าปากค้าง จนลืมร้องไห้

 

 

เฝิงจิ้งซูถูกผ้าคลุมปิดไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่โดยสัญชาตญาณของตน เลยยื่นมือกอดคอของฉู่เหวินเจี๋ยเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้คนที่มาล้อมดูอยู่ตกใจมากยิ่งขึ้น

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยเดินไปถึงหน้าเกี้ยว อุ้มเฝิงจิ้งซูวางไว้ในเกี้ยวด้วยความระมัดระวัง

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยกระโดดขึ้นหลังม้า โบกมือ เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นอีกครั้ง รองแม่ทัพชุยและทุกๆ คนยกขึ้นเกี้ยวขึ้นอย่างมั่นคง เดินตามหลังม้าของฉู่เหวินเจี๋ยหมุนเกี้ยวกลับ กลับจวนแม่ทัพ ทหารหลายร้อยนายก็หันหลังกลับตามเกี้ยวอย่างเป็นระเบียบ

 

 

วิธีการรับตัวเจ้าสาวที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ดังไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

 

 

ขบวนรับตัวเจ้าสาวบรรเลงดนตรีจนถึงหน้าประตูจวนแม่ทัพ หยุดลง

 

 

คนใช้ในจวนได้เตรียมถาดวางกองไฟไว้ตรงหน้าประตู เฝิงจิ้งซูถูกสาวใช้สองคนพยุงลงจากเกี้ยวก้าวข้ามถาดกองไฟ เดินเข้าในจวนอย่างตื่นเต้น

 

 

ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งอยู่บนที่สูงในห้องโถงด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากเฝิงจิ้งซูถูกพาเข้ามาในห้องโถงแล้ว ทำการคำนับกับฉู่เหวินเจี๋ยท่ามกลางเสียงประสานของแม่สื่อ หลังจากนั้นถูกฉู่เหวินเจี๋ยใช้ผ้าสีแดงจูงไปห้องหอ

 

 

คำนับเสร็จแล้ว ท่านอ๋องฉีลุกขึ้นยืน ไปต้อนรับขุนนางในวังที่มาอวยพรวันนี้ ส่วนพระชายาฉีก็ไปต้อนรับครอบครัวของเหล่าขุนนางพวกนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตามทุกคนไปที่ห้องหอ

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยพาเฝิงจิ้งซูมาส่งในห้องหอ ก็ถูกเรียกให้ออกไปดื่มเหล้า ในห้องหอเหลือแค่สาวใช้ที่มาจากหวังฝู่และสาวใช้คนสนิทของเฝิงจิ้งซู เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป สาวใช้ทุกคนทำความเคารพนาง เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ แม่สื่อและสาวใช้ก็ถอยออกไป ตัวเองก็นั่งลงข้างเฝิงจิ้งซู หัวเราะล้อเลียนนาง “ดูท่าทางวันนี้ของท่านแม่ทัพแล้ว ต่อไปต้องเป็นตัวอย่างของคนกลัวภรรยาแน่ๆ”

 

 

เฝิงจิ้งซูรีบเปิดผ้าคลุมขึ้น แสดงใบหน้ารอยยิ้มที่แดงๆ ออกมา ลืมตาโตๆ ที่สวยงามของตน กล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “อะไรคือคนกลัวภรรยา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ หึๆ ออกมา

 

 

เฝิงจิ้งซูไม่เข้าใจ กระพริบตาปริบๆ กล่าวถามว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าหัวเราะอะไร”

 

 

เสียงหัวเราะใสๆ ของเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวว่า “นายหญิงเฝิงไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าผ้าคลุมต้องให้ท่านแม่ทัพเป็นคนเปิดออก”

 

 

อื้ม เฝิงจิ้งซูก็นึกถึงคำสั่งของนายหญิงเฝิงขึ้นได้ รีบเอาผ้าคลุมคลุมหัวอีกครั้งทันที รีบกล่าวด้วยความตกใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าบอกใครเด็ดขาดนะว่าข้าเปิดผ้าคลุมหัวขึ้น”

 

 

เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งดังขึ้นไปอีก ยิ้มและถามว่า “นี่เจ้าจะโกหกหรือ”

 

 

เฝิงจิ้งซูก็รู้สึกว่าท่าทางของตนนั้นตลก จึงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจลากเสียงยาว “คนกลัวภรรยาน่ะหรือ ก็คือ…” เฝิงจิ้งซูทำตาโตรอคอยคำตอบของนางด้วยความสงสัย รอไปซักพักไม่ได้ยินนางพูดต่อ ร้อนใจมาก กล่าวขอร้องว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้ารีบพูดสิ อะไรคือคนกลัวภรรยา”

 

 

เห็นนางร้อนใจ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แกล้งนางต่อ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ความหมายของคนกลัวภรรยาก็คือต่อไปอยู่ในจวน ท่านแม่ทัพจะเชื่อฟังเจ้า เจ้าสั่งให้เขาไปทางตะวันออกเขาไม่กล้าไปทางตะวันตก เจ้าให้เขาตีสุนัขเขาไม่กล้าไล่ไก่”

 

 

ทุกครั้งที่นางพูดหนึ่งประโยค ตาของเฝิงจิ้งซูก็โตขึ้น นางพูดจบ ตาของเฝิงจิ้งซูใหญ่โตเท่ากับลูกกระดิ่ง ออกเสียงตกใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นท่านแม่ทัพนะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา

 

 

เฝิงจิ้งซูมองนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนพอแล้ว ค่อยเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าเนี่ย เป็นคนโง่ที่มีความสุขแบบคนโง่จริงๆ”

 

 

เฝิงจิ้งซูยิ้มออกมา ลักยิ้มสองจุดก็ชัดออกมา กล่าวว่า “ท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวของข้าก็บอกข้าแบบนี้”

 

 

มีเสียงเท้าดังมา เฝิงจิ้งซูรีบเอาผ้าคลุมคลุมลงมา สาวใช้คนหนึ่งยกถ้วยประณีตหลายใบที่ใส่อาหารว่างไว้เข้ามา ทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง พระชายากลัวคุณหนูจะหิว เลยสั่งให้ข้ายกอาหารว่างมาให้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

สาวใช้วางอาหารว่างบนโต๊ะทีละอย่าง แล้วถอยออกไปอย่างเคารพ

 

 

ฟังสาวใช้เดินออกไปแล้ว เฝิงจิ้งซูก็เอาผ้าคลุมขึ้นไปอีกครั้ง มองอาหารว่างนั้นด้วยสายตาเป็นประกาย กลืนน้ำลาย กล่าวว่า “ท่านแม่บอกข้าว่าวันนี้ห้ามกินอาหารอะไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งนาง “เจ้าหิวหรือไม่”

 

 

เฝิงจิ้งซูรีบพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นตะเกียบให้นาง “หิวก็กินเถอะ นี่เป็นน้ำใจของพระชายาฉี เจ้าอย่าเสียน้ำใจจะดีกว่า”

 

 

รู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดมีเหตุผล บวกกับตนก็หิวมากจริงๆ เฝิงจิ้งซูจึงลืมคำสั่งของนายหญิงเฝิงไปทันที หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วค่อยๆ กินเป็นคำเล็กๆ กินไปไม่กี่คำ ถึงนึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยใบหน้าแดงๆ และเกรงใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าก็กินสักนิดสิ”

 

 

“ข้าไม่ล่ะ เมื่อเช้าข้ากินมาแล้ว”

 

 

เฝิงจิ้งซูเชื่อคำพูดที่นางพูด ไม่ปฏิเสธต่อไป หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินต่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ไปเทน้ำร้อนข้างโต๊ะแล้ววางลงบนโต๊ะให้นางหนึ่งแก้ว “ช้าหน่อย เดี๋ยวติดคอ”

 

 

เฝิงจิ้งซูกินไปด้วยพูดไปด้วยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ตั้งแต่ค่ำเมื่อวานท่านแม่ของข้าไม่ยอมให้ข้ากินอะไรเลย เมื่อเช้าก็ให้คุณยายทั้งหลายลากข้าขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง หิวตายอยู่แล้ว อาหารว่างพวกนี้ไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้ข้าอิ่มท้องได้เลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา กล่าวว่า “อาหารว่างพวกนี้แค่ให้เจ้ากินรองท้องไปก่อน ท้องไม่หิวก็พอ เดี๋ยวยังมีอาหารยกขึ้นมาอีก”

 

 

เฝิงจิ้งซูก็กินต่อไปอีกหลายคำ วางตะเกียบลง ยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มหลายอึก กลืนลงไปทั้งหมดแล้วกล่าวว่า “สบายขึ้นสักที ถ้าหากเอามงกุฎบนหัวที่ทำให้คอข้าเมื่อยล้าลงมาได้ ข้าจะสบายมากขึ้นกว่านี้” พูดจบ ก็ใช้มือจับคอที่ปวดเมื่อยของตัวเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตัวโยน “แบบนี้คงไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาแต่งบ่าวสาวในห้องหออีก ผมของเจ้าจะกระเซอะกระเซิงได้เยี่ยงไร”

 

 

เฝิงจิ้งซูยิ้มออกมาให้นาง “ข้ารู้แล้ว ข้าแค่พูดเฉยๆ น่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยเป็นเพื่อนนาง ความตื่นเต้นในตัวเฝิงจิ้งซูค่อยๆ หายไป กลับมาเป็นคนเดิม พูดกับนางไม่หยุด ล้วนแต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้น กังวล กลัวที่จะได้แต่งกับฉู่เหวินเจี๋ย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังด้วยรอยยิ้ม

 

 

เฝิงจิ้งซูพูดจบ จับมือเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณว่า “พี่โยวเอ๋อร์ ขอบคุณที่เจ้าฟังข้าพูดเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ข้าสบายใจขึ้นเยอะเลย สองสามวันนี้ข้ากระวนกระวายใจ กังวลใจ กลัวว่าทุกคนจะหัวเราะเยาะข้าคิดว่าข้าใช้วิธีที่สกปรกแบบนี้บังคับให้ท่านแม่ทัพสู่ขอข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้ม “เจ้าเด็กโง่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ท่านแม่ทัพชอบเจ้าจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ใช้วิธีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสู่ขอเจ้า รับเจ้าเข้ามาในจวน ส่วนงานในจวน มีลุงฝูจัดการ เจ้าอยากจัดการก็จัดการไม่อยากจัดการก็โยนให้ลุงฝู ไม่มีใครบังคับเจ้า”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้า ยิ้มออกมา “ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ต่อไปข้าจะดูแลท่านแม่ทัพและคนในจวนอย่างดีแน่นอน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจับหน้านาง แกล้งนางว่า “หญิงสาวคนนี้ทั้งสาวทั้งสวย หากท่านแม่ทัพของเราไม่รักไม่หวงจนเข้าเส้นเลือดนั่นสิแปลก”

 

 

ใบหน้าที่แต่งแล้วของเฝิงจิ้งซูยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

 

 

เสียงจากคนที่อยู่ข้างนอกประตูดังขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ”

 

 

เฝิงจิ้งซูตกใจจนรีบเอาผ้าคลุมหัวลงมา นั่งอย่างเรียบร้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะลุกขึ้น ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินเข้ามา แม่สื่อและสาวใช้ก็เดินตามเข้ามา

 

 

แม่สื่อกล่าวด้วยความดีใจว่า “ดูท่านแม่ทัพของเราสิ ต้องชอบนายหญิงมากเพียงใดถึงใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็กลับมาแล้ว”

 

 

สาวใช้ทั้งหลายก้มหัวแล้วยิ้ม

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยหยิบตาชั่งเหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เปิดผ้าคลุมหัวของเฝิงจิ้งซูขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่สวยงามของเฝิงจิ้งซูก็ออกมา

 

 

แม่สื่อตกใจ “ท่านแม่ทัพ อันนี้ไม่ถูกตามหลักประเพณีนะเพคะ ผ้าคลุมนี้ต้องเปิดยามค่ำนะเพคะ”

 

 

สาวใช้ทุกคนก็หยุดชะงักไป

 

 

มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนมองด้วยรอยยิ้ม รู้สึกว่าฉู่เหวินเจี๋ยไม่ใช่คนที่ทำเรื่องไม่เหมาะสมแบบนี้ เดี๋ยวต้องมีอะไรพูดแน่ๆ

 

 

จริงด้วย ฉู่เหวินเจี๋ยจ้องมองใบหน้าแดงๆ ที่เกิดจากความอายของเฝิงจิ้งซู กล่าวถามความคิดเห็นของนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าจะยอมตามข้าออกไปพบเจอเหล่าทหารของข้าหรือไม่”

 

 

เฝิงจิ้งซูชะงักไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็พยักหน้า แววตาเจิดจ้าเป็นประกายออกมา

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยยื่นมือ เฝิงจิ้งซูจับไว้ ลุกขึ้นยืนตามกัน แล้วตามเขาออกไปข้างนอก

 

 

เป็นแม่สื่อมาเกือบครึ่งชีวิต เป็นครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้ แม่สื่องง อ้าปากค้างแล้วมองดูทั้งสองเดินออกไปยังงงๆ

 

 

สาวใช้ไม่กล้าเอ่ยปากแต่อย่างใด รอทั้งสองเดินไปแล้ว ค่อยก้มหัวเดินตามหลัง

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยจูงมือเฝิงจิ้งซูออกมานอกประตูจวน นายพลและทหารทุกนายยืนเรียงกัน อย่างเป็นระเบียบอยู่หน้าประตู เห็นทั้งสองเดินมา ออกเสียงพร้อมกันว่า “ท่านแม่ทัพ”

 

 

เป็นครั้งแรกที่อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เฝิงจิ้งซูตื่นเต้นเล็กน้อย ค่อยๆ ขยับตัวเข้าใกล้ฉู่เหวินเจี๋ย

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยยังคงจูงมือเฝิงจิ้งซูไว้ กล่าวกับทหารทุกนายด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดว่า “นี่คือนายหญิงแม่ทัพของพวกเจ้า”