อาสี่สกุลตู้ มีชื่อว่าตู้เฟย เดิมเป็นคนของสำนักหงเหมิน มีตำแหน่งในสำนักค่อนข้างสูง

ด้วยหงเหมินมีธุรกิจการค้ามากมาย ล้วนมีเครือข่ายสายสัมพันธ์มากคณานับกับชาวต่างชาติและตระกูลซ่ง ดังนั้นตู้เฟยในยุคปี 80 ในฐานะตัวแทนของหงเหมินหรือพูดอีกอย่างคือผู้คุ้มกัน จึงมักอยู่ข้างกายซ่งอิงหลันตลอดเวลา

ตู้เฟยรู้จักเยี่ยเทียน อีกทั้งยังเคยให้คนสืบข้อมูลของเยี่ยเทียนอยู่พักหนึ่ง เพียงแต่ช่วงหลังซ่งอิงหลันส่งคำสั่งปิดผนึกมาจากอเมริกา เขาจึงได้เลิกจับตามองเยี่ยเทียน

ด้วยเป็นคนภายในหงเหมินเหมือนกัน ตู้เฟยเองก็รู้จักถังเหวินหย่วนมานานเก้าถึงสิบปีแล้ว ครั้งนี้ถังเหวินหย่วนมาปักกิ่ง เขาจึงต้องมาเยี่ยมเยียนคารวะ บังเอิญว่าถังเหวินหย่วนกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี ตู้เฟยที่นับว่าเป็นเจ้าถิ่นอยู่ครึ่งหนึ่ง จึงต้องติดสอยห้อยตามมาด้วย

เพียงแต่อย่างไรตู้เฟยก็นึกไม่ถึงว่า คนที่ถังเหวินหย่วนรีบร้อนออกมาพบ กลับเป็นเจ้าหนูเยี่ยเทียนคนนี้ อีกทั้งยังมีท่าทางเคารพนบนอบสุด ๆ เขารู้จักผู้เฒ่าถังมาตั้งหลายปี นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นถังเหวินหย่วนเกรงใจคนมากขนาดนี้

ว่ากันตามตรง ตู้เฟยไม่เห็นด้วยกับท่าทีของถังเหวินหย่วนสักเท่าไหร่ ในสายตาของเขานั้น นอกจากสถานภาพที่ยังไม่ได้ยืนยันจากตระกูลซ่งแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเลย

แน่นอนว่า บางทีเยี่ยเทียนอาจรู้วิชาพยากรณ์อยู่บ้าง แต่แล้วจะทำไมหรือ?ในสังคมปัจจุบันนี้ ความสามารถของแต่ละคนถูกลดลงอย่างไร้ขีดจำกัด ต่อให้มีวิทยายุทธ์สูงแค่ไหนก็ต้านทานลูกกระสุนเล็ก ๆ เม็ดหนึ่งไม่ได้หรอก?

“อาเหวิน คนผู้นั้นจะอย่างไรก็เป็นแค่รุ่นเด็ก ท่านไม่เห็นต้องเกรงใจเขาขนาดนั้นเลย?”

อายุของตู้เฟยน้อยกว่าถังเหวินหย่วนกว่าสิบปี ตำแหน่งในสำนักเทียบเขาไม่ได้ จึงต้องเรียกขานถังเหวินหย่วนว่า “อาเหวิน”

ตู้เฟยรู้จักประวัติของเยี่ยเทียน แต่ว่าเรื่องภายในของตระกูลซ่งนั้น เขาไม่ค่อยเชื่อนัก ตอนนี้กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ออกปากถามถังเหวินหย่วนขึ้นมา

ถังเหวินหย่วนยังไม่พูดอะไร อาติงที่เดือดจนข่มอารมณ์ไม่อยู่กลับโวยวายขึ้น “ผู้เฒ่าถังนั่นแหละที่ไปยกย่องเขา ผู้อาวุโสอักษรรุ่น “ต้า” อะไรกัน เขายังไม่ได้เข้าสำนัก อะไรก็ไม่นับทั้งนั้นแหละ!

“หุบปาก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คำพูดนี้แกพูดได้เรอะ?”

ได้ยินคำพูดของอาติงแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ตบฝ่ามือลงโต๊ะดัง “ปัง” อย่างแรงจนทำให้ถ้วยกาแฟบนโต๊ะกระดอนขึ้น หกไปทั่วทิศทาง เห็นได้ว่าคราวนี้ท่านผู้เฒ่าโมโหขึ้นมาแล้วจริง ๆ

คนวัยนี้อย่างถังเหวินหย่วน ให้ความสำคัญกับสถานะและความอาวุโสเป็นสำคัญ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เยี่ยเทียนอายุเพียงยี่สิบกว่า ต่อให้เขาเป็นทารกอายุเพียงสองขวบ เพียงมีอาวุโสสูงกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ตัวเองก็ต้องนอบน้อมอย่างรุ่นน้อง

หลังจากที่ถังเหวินหย่วนกลับมาคราวก่อน ก็รวบรวมบันทึกพงศาวลีโบราณในสำนักเป็นพิเศษ พบข้อมูลเกี่ยวกับหลี่ซั่นหยวน ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เยี่ยเทียนพูดแม้แต่น้อย

ดังนั้นที่เยี่ยเทียนไม่ได้เข้าสำนักหงเหมินชิงปังอย่างเป็นทางการนั้นไม่ผิด แต่ว่าสถานะของเขาเองก็ได้รับการยืนยันโดยสมบูรณ์ ในสายตาของถังเหวินหย่วน หากไม่เคารพนบนอบต่อเยี่ยเทียนนั่นถือเป็นศิษย์ล้างครูลบหลู่บรรพบุรุษ

พนักงานคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลเห็นทางนี้เหมือนมีเรื่องขัดแย้งกัน ลนลานวิ่งเข้ามาหา ถามขึ้น “ทุกท่านคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“ไม่มีอะไร เช็ดโต๊ะนี่ก็พอแล้ว……” เห็นคนนอกเข้ามา ถังเหวินหย่วนก็ข่มไฟโทสะในใจลง

รู้ว่าคราวนี้ถังเหวินหย่วนโกรธขึ้นมาจริง ๆ  หลังจากรอให้พนักงานเดินจากไปไกลแล้ว อาติงก็ร้อนรนลุกขึ้นยืนพูดว่า

“ผู้เฒ่าถัง ขออภัยด้วย ผมปากพล่อยไปเอง!”

“หากครั้งหน้ายังพูดอย่างนี้อีก ก็ไม่ต้องตามฉันมาแล้ว!”

ถังเหวินหย่วนส่งเสียงหึเยือกเย็น คนหนุ่มสาวในชิงปังสำนักหงเหมินปัจจุบันนี้ ไม่เห็นความสำคัญของธรรมเนียมการเคารพผู้อาวุโสมากขึ้นทุกที ถึงแม้ตอนนี้เขาจะถอนตัวออกจากสำนักมาแล้ว แต่เห็นเข้าก็ยังไม่คุ้นตานัก

“ต้า?อักษรรุ่นต้า?เยี่ย…เยี่ยเทียนมีอักษรรุ่นต้าเหรอ?อาเหวิน ท่าน……ท่านไม่ได้เข้าใจผิดไปใช่ไหม?”

บทสนทนานี้ของถังเหวินหย่วนกับอาติง กลับทำให้ตู้เฟยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตะลึงตาค้าง ในฐานะคนในสำนักหงเหมินตู้ เฟยย่อมรู้จักรุ่นในชิงปัง เช่นกัน ด้วยเหตุที่กำเนิดจากตระกูลชิงหง รุ่นของชิงปังจึงได้รับการยอมรับจากพวกเขาด้วย

ในอดีตยุคหาดเซี่ยงไฮ้สมัยก่อนสงครามปลดแอก คนในอักษรรุ่น “ต้า” ของชิงปังก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทั้งอักษร “หลี่” ก่อนหน้าอักษรต้าก็ตายจากไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว แล้วอักษรรุ่นนี้ของเยี่ยเทียนได้มาจากไหนกันล่ะ?

อีกทั้งหลายปีก่อนตู้เฟยเคยสืบเสาะเรื่องของเยี่ยเทียนเป็นพิเศษ สอบถามเรื่องของเขาด้วยตัวเองไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำเล่าลือว่าเยี่ยเทียนเป็นหนึ่งในชิงปังเลยนี่นา?แถมยังถึงขั้นมีอักษรรุ่น “ต้า” อันสูงส่งจนน่ากลัวขนาดนั้น!

“เสี่ยวเฟย ว่าตามเหตุผลนายเองก็ไม่ใช่คนนอก เดิมทีแล้วเรื่องนี้ไม่ควรปกปิดนาย แต่ว่าเยี่ยเทียนเคยบอกไว้ ว่าตอนนี้เขาไม่อยากกลับไปทำความรู้จักบรรพบุรุษ ดังนั้นนายก็อย่าไปถาม ถ้าหากเยี่ยเทียนยินยอมล่ะก็ ฉันจะพูดเอง……”

เห็นสีหน้าของตู้เฟยแสดงออกเหมือนยังสับสนไม่หาย ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจกล่าว “เอาเป็นว่านายรู้ก็พอแล้ว รุ่นของเยี่ยเทียนใหญ่กว่าพวกเรามาก เสี่ยวเฟย อยู่ต่อหน้าเขาถึงแม้ไม่ทำตัวนอบน้อม แต่ก็ควรมีมารยาทบ้าง!”

ตู้เฟยนั้นให้ความเคารพต่อถังเหวินหย่วนมาก หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว ก็รีบร้อนลุกขึ้นคำนับกล่าว “ครับ อาเหวิน ผมทราบแล้ว……”

ต่อหน้าแม้จะรับคำถังเหวินหย่วน แต่ว่าในใจตู้เฟยยังคงไม่สบอารมณ์อย่างมาก เพราะเขารู้ว่าเยี่ยเทียนเคยนับถือนักพรตเต๋าผู้ท่องเที่ยวในยุทธภพผู้หนึ่งเป็นอาจารย์

ดังนั้นในสายตาตู้เฟย ไม่แน่ว่าเยี่ยเทียนอาจใช้วิธีการบางอย่าง ตบตาผู้เฒ่าสูงวัย สมองเลอะเลือนตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นได้

เพียงแต่ตู้เฟยไม่ได้คิดว่า ถังเหวินหย่วน จากผู้มีสถานะตั้งต้นภายในสำนัก อยู่มาจนกลายเป็นมหาเศรษฐีชาวจีนผู้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ถึงแม้ตอนนี้จะชราแล้ว แต่ไหนเลยจะเป็นคนที่ถูกเด็กหนุ่มรุ่นหลังตบตาเอา?

“อาเหวิน ผมรู้จักแพทย์แผนจีนจากเหอเป่ยคนหนึ่ง ได้ยินว่าความสามารถไม่เลว ให้ไปรับเขามาดูอาการของเสวี่ยเสวี่ยไหมครับ?”

พอเกิดเรื่องผู้เฒ่าดุด่าอาติง บรรยากาศก็พลันอึดอัดขึ้นมา ตู้เฟยรีบหาหัวข้ออื่น มาเบี่ยงเบนประเด็นออกจากเรื่องเยี่ยเทียน

“เสี่ยวเฟย นายเอาใจใส่ดี แต่ว่าอาการของเสี่ยวเสวี่ยน่ะไม่ใช่หมอธรรมดาจะรักษาหายได้……”

ถังเหวินหย่วนถอนหายใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะยันต์ใบนั้นที่เยี่ยเทียนให้เขา ไม่ถูกเด็กเวรที่บ้านเผาทิ้งไปล่ะก็ ต่อให้เยี่ยเทียนมีอาวุโสสูงส่ง เขาก็คงจะไม่มาขอร้องเยี่ยเทียนเสียงอ่อนเสียงหวานหรอก

นั่นเป็นเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน เหลนอายุแปดขวบของถังเหวินหย่วนคนหนึ่ง หลังจากที่กำลังดูหนังผีดิบฮ่องกงแล้ว เห็นว่าในมือของพี่สะใภ้กลับมียันต์ที่เหมือนกับในทีวีไม่มีผิด เกิดอยากหัดจับผีดิบอย่างหัวหน้านักพรตเต๋า จึงแอบเอายันต์นั้นไปเผา

กว่าทุกคนจะไปพบ ยันต์แผ่นนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และร่างกายของถังเสวี่ยเสวี่ยก็อ่อนแรงลงทุกวัน เพราะอับจนปัญญา ถังเหวินหย่วนจึงบากใบหน้าชรามาหาเยี่ยเทียนก่อนกำหนด

แต่ว่าถังเหวินหย่วนไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ตู้เฟยฟัง หลังจากอธิบายคร่าว ๆ แล้วถามถึงเรื่องการเปิดประชุมใหญ่สำนักหงเหมิน ช่วงนั้นเขาติดธุระพอดี จึงไม่ได้ไปร่วมด้วย

……………………-

“ทุกท่าน ทานข้าวกันหรือยังครับ?ผมยังหิวอยู่เลย ถ้ายังไง……กินด้วยกันหน่อยไหม?”

เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็เดินเข้ามา ด้านหลังยังมีเฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินและพวกหัวหนัานักพรตเต๋า ข้าง ๆ ร้านกาแฟเป็นภัตตาคารกลาง หลายคนจึงมาที่นี่เพื่อกินข้าวเที่ยง

ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ยิ้มลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ยังไม่ได้กินจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าคนนี้ต้องขอขอบคุณเจ้ามือสำหรับมื้อนี้แล้ว……”

“ไม่เป็นไร ๆ แค่อาหารจานด่วนมื้อเดียวเท่านั้น เวลานี้ก็ไม่เช้าแล้ว ทุกท่านเชิญมากินด้วยกันเถอะ!”

แม้เฉินสี่ฉวนจะไม่รู้สถานะของถังเหวินหย่วน แต่เขาก็สามารถดูออกจากท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่มีพลังไม่ใช่ดุดัน ชัดเจนว่าเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงเป็นเวลานาน

อาหารจานด่วนที่เฉินสี่ฉวนกล่าวถึง กลับอลังการอย่างมาก ทุกคนบนโต๊ะถูกเสิร์ฟด้วยข้าวต้มหูฉลามก่อน จากนั้นจึงเป็นอาหารจานหลัก อาหารชั้นเลิศจากขุนเขาและท้องทะเลค่อย ๆ ถูกจัดเรียงลงบนโต๊ะ ส่วนเครื่องดื่มนั้นคือเหล้าเหมาไถอายุยี่สิบปี

อย่าดูถูกว่านักพรตอวิ๋นหยางอายุถึงเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ร่างกายกลับยังแข็งแรงไม่ธรรมดา ที่อาบน้ำเย็นเมื่อครู่นั้นไม่มีผลอะไรกับเขาเลยสักนิด หลังจากจัดวางอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ นอกจากเยี่ยเทียน ก็ไม่มีใครกินมากไปกว่าเขาอีก

ทั้งศาสนาเต๋าไม่มีข้อห้ามเรื่องอาหาร เหล้าเหมาไถทั้งกล่องนั่น จึงถูกนักพรตอวิ๋นหยางกำจัดไปเพียงคนเดียวถึงสองขวด แต่ว่าตาเฒ่าก็ดื่มมากไป ปากเอาแต่โวยวายว่าให้เอาพวกขวดที่เหลือ ๆ อยู่ให้เขานำกลับอารามเต๋า

อาหารมื้อนี้ทุกคนต่างกินกันอย่างไว้เชิง ถังเหวินหย่วนกินข้าวชามเล็กไปหนึ่งชามก็ไม่กินแล้ว อีกทั้งตู้เฟยก็เอาแต่คอยพิจารณาเยี่ยเทียนตลอด หวังว่าจะเห็นโฉมหน้าที่แตกต่างออกไปของเขา

มีเพียงเยี่ยเทียนกับนักพรตอวิ๋นหยาง ที่ไม่เลือกกินสักอย่าง อาการกว่าครึ่งโต๊ะกลับเข้าไปอยู่ในท้องของทั้งสองคน กินถึงที่สุดอย่างไม่เสียดายเงินแม้แต่น้อย

“นักพรตอวิ๋นหยาง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก นี่คือเงินแปดแสนที่เราตกลงกันไว้ จะนับดูก่อนไหม?” ขณะที่งานเลี้ยงใกล้จะจบ หวังเจียซวินก็ให้คนนำกระเป๋าหนังมาใบหนึ่ง วางไว้ข้างหน้านักพรตอวิ๋นหยาง

เดิมทีเบิกแท่นทำพิธีปลดปล่อยผีพราย นักพรตเต๋าเปิดราคาไว้ที่สามแสน แต่ด้วยการตลบแตลงหลังจากนั้น ขายยันต์กาก ๆ นั่นไปเป็นราคาห้าแสน ดังนั้นรวมทั้งสิ้นแล้วจึงกลายเป็นแปดแสน

ความจริงหวังเจียซวินเองนั้นไม่โง่ ภายหลังชักสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เรื่องทั้งหมดก็นับว่าจัดการได้เรียบร้อยสมบูรณ์ เขาเองก็ไม่อยากถือสาหาความ ดังนั้นจึงนำเงินออกมาให้

นักพรตเต๋าสวมชุดคลุมนักบวชที่ถูกซักรีดจนแห้งแล้ว ท่วงท่าอย่างเซียนผู้วิเศษก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้อง ๆ ประสกหวัง เงินก้อนนี้ของประสกบริจาคเป็นค่าธูปอารามไป่อวิ๋น จำนวนเท่าไหร่นั้นรู้อยู่แก่ใจ!”

นักพรตเต๋ากระทุ้งเยี่ยเทียนนิดหนึ่ง พลันออกปากขึ้นมาอีกเสียง “ไอ้หยา ชักไม่สบายท้องขึ้นมาแล้วสิ สหายเสวียนชิง รบกวนเธอช่วยพาอาตมาไปห้องน้ำหน่อยเถอะ……”

หลังจากประคองนักพรตเต๋าเข้าห้องน้ำแล้ว เยี่ยเทียนเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เอ่ยถามขึ้น “มีอะไรล่ะ ตาเฒ่า?”

“อะแฮ่ม……” อวิ๋นหยางกระแอมในลำคอ กล่าวว่า “สหายเสวียนชิง วันนี้นับว่าเธอช่วยชีวิตอาตมาไว้ พบกันครึ่งทาง แปดแสนนั่น เธอเอาไปสี่แสนเป็นยังไง?”

“เอาเถอะ วันนี้ท่านเองก็ลำบากไม่น้อย แสดงเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่กระโจนลงน้ำให้ผมดูตั้งฉากหนึ่ง สี่แสนนั่นผมไม่เอาหรอก!” เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขารู้แต่แรกแล้วว่านักพรตเรียกตัวเองมาเพื่อแชร์ส่วนแบ่ง

……………………