บทที่ 1228 โลงศพแดงหกโลง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1228 โลงศพแดงหกโลง โดย Ink Stone_Fantasy

ต่อให้จำตำแหน่งได้แล้ว แต่ก็เดินทางทะลุหมอกหนา ไม่สามารถสำรวจจากบนฟ้าได้ ถ้าอยากจะหาตำแหน่งที่แน่นอนพบก็ยุ่งยากอยู่เหมือนกัน

ใช้ความพยายามไปเยอะมาก ถึงได้หาจุดที่มีภูเขาห้าลูกล้อมรอบพบ เป็นบริเวณพื้นกรวดที่ราบเรียบ ตรงกลางมีลำธารตัดผ่านสายหนึ่ง ดูจากโดยรวมนับว่าเป็นแอ่งกระทะ

รอบข้างมีหมอกเลือดลอยผุบๆ โผล่ๆ เหมียวอี้มองดูโดยรอบ ตอนมองจากบนฟ้าที่นี่ดูไม่ใหญ่ แต่พอตัวมาอยู่ในบริเวณนี้แล้วก็กลับพบว่าไม่เล็กเลย

รีบเดินไปทั่วทุกที่รอบหนึ่ง บริเวณที่ราบไม่มีทางเข้าใดๆ ที่สู่จุดซ่อนสมบัติ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก สถานที่คงจะไม่ได้ผิดพลาดหรอกใช่มั้ย!

พอเอามือลูบคางครุ่นคิดไปได้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถลันตัวทะยานขึ้นฟ้า แต่ไม่ได้เหาะออกจากหมอกเลือด ไปหยุดอยู่ตรงจุดที่ใกล้จะฝ่าหมอกเลือดอออกไป แล้วใช้ตาทิพย์กวาดมองแอ่งกระทะที่ราบเรียบผืนนี้อีกครั้ง

มองดูซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่เห็นจุดน่าสงสัยที่เหมือนจะเป็นทางเข้าที่ซ่อนสมบัติเลยจริงๆ

ตาทิพย์ไปหยุดอยู่ตรงน้ำตกที่ไหลซู่จากบนหน้าผาลงมาข้างล่าง แล้วกวาดมองสายน้ำที่ไหลตัดผ่านไปตลอดทาง สายตามองทะลุไปถึงใต้น้ำ สุดท้ายก็ไปหยุดอู่ตรงปากทางระบายน้ำของแม่น้ำแล้ว

แต่ก็ยังไม่พบทางเข้าที่ซ่อนสมบัติใดๆ เหมียวอี้สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองเข้าใจผิดไปแล้วหรือเปล่า แต่ดูจากประสบการณ์ในการหาสมบัติเมื่อก่อน ก็น่าจะไม่ได้เข้าใจผิดสิ

หาทั่วทั้งแอ่งกระทะแล้ว ไม่มีที่ไหนให้หาแล้วจริงๆ สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังถลันตัวไปตรงปากทางระบายน้ำของแม่น้ำ เป็นช่องเขาช่วงหนึ่งที่คดเคี้ยว

เข้ามาในช่องเขาที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวเนื่องจากลักษณะพื้นต่างระดับกัน กระแสน้ำไหลแรงจนเกิดเสียงซู่ๆ และหมอกละอองน้ำ

เมื่อไปข้างหน้าต่อสักระยะหนึ่ง ข้างหน้าก็ปรากฏปากทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่ง กระแสน้ำแรงที่ไหลมาถึงตกลงไปใต้ดินอย่างกะทันหันราวกับไหลลงกรวย ในช่องเขาปรากฏถ้ำหลุมดำที่สีดำมืดแห่งหนึ่ง

มองดูปากถ้ำมืดตึ๊ดตื๋อที่โดนน้ำสาดซัดจนเกิดละอองน้ำ แล้วก็มองดูภูเขาหินรอบๆ ช่องเขา จากนั้นก็มองทางที่เดินมาอีก พบว่าออกจากจุดที่เป็นแอ่งกระทะมาแล้ว หรือว่าสมบัติจะซ่อนอยู่ด้านล่างนี้?

ไม่ว่าจะอย่างไร เหมียวอี้ก็จะต้องสำรวจให้รู้กันไป จึงกระโดดลงไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

พอเข้ามาถึงจุดลึกของถ้ำน้ำ ก็รู้สึกได้รางๆ ถึงพลังลึกลับกลุ่มหนึ่ง เขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ พบว่าหมอกเลือดไม่ได้ลอยมาถึงใต้ดิน เขาทดลองยื่นนิ้วออกไปจากเกราะเพลิงดารา แต่ก็ไม่พบปัญหาใดๆ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ บุกรุกมาไม่ได้ถึงจุดนี้จริงๆ ด้วย

พอเป็นแบบนี้ ก็เห็นเบาะแสจากตรงนี้แล้ว เมื่อมีร่องรอย เหมียวอี้ก็กระปรี้กระเปร่าทันที เก็บเพลิงดาราที่ปกป้องร่างกาย กวาดดวงตาอิทธิฤทธิ์มองปรอบๆ ลงลึกต่อไปตามกระแสน้ำไหลเชี่ยวที่อยู่ใต้เท้า หลังจากเดินทางต่อไปข้างหน้าหลายร้อยจั้ง บนผนังถ้ำก็ปรากฏห้องถ้ำแห่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์

เหมียวอี้ย่อมไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้ฝ่ามือข้างเดียวผลักออกไป ดันพลังอิทธิฤทธิ์เปิดทางข้างหน้า เข้าไปในถ้ำหินที่คดเคี้ยววกวนและไปต่ออีกประมาณร้อยจั้ง จากนั้นพื้นที่ว่างใต้ดินก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

ด้านบนของพื้นที่ว่างฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีที่ส่องแสงสวยละมุน ข้างล่างมีโลงศพที่ทำจากผลึกแดงที่ยาวตั้งแต่ศีรษะจดเท้าจำนวนหกโลง วางกระจายเป็นวงกลม บนโลงศพไม่มีการประดับตกแต่งลวดลายใดๆ ทำได้ค่อนข้างหยาบ เพียงแต่การที่โลงศพโลหะแดงปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้รวดเดียวหกโลง ก็ทำให้คนรู้สึกสะเทือนขวัญอยู่บ้างเหมือนกัน

เหมียวอี้เข้าใจทันทีว่าตัวเองมาหาถูกที่แล้ว เป็นไปได้สูงว่าในโลงศพหกโลงนั้นจะเป็นประมุขขุนพลทั้งหก ไม่อย่างนั้นคงไม่บังเอิญมีหกโลงเหมือนกันหรอก

หลังจากสำรวจพื้นที่ว่างใต้ดินไปรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็สาวเท้าเดินเข้าไปในพื้นที่ว่างใต้ดินนั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งทันที ทั้งยังชัดเจนมากด้วย

หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูโดยรอบแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ เหมียวอี้ก็เดินไปอยู่ตรงหน้าระหว่างโลงศพหกโลงนั้น เขาหันมองรอบวง อันที่จริงเขาก็คันไม้คันมือนิดหน่อย อยากจะเปิดดูในโลงศพว่าใช่ประมุขขุนพลทั้งหกนั่นหรือไม่

ความอยากรู้อยากเห็นคือเรื่องธรรมชาติของคน มิหนำซ้ำไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเห็นประมุขขุนพลทั้งหกนี้อยู่ดี เดิมทีเหมียวอี้คิดจะจับหกคนนี้เป็นตัวประกัน ดังนั้นในขณะที่ข่มความสงสัยของตัวเองไว้ เขาเดินไปข้างๆ โลงศพแดงโลงหนึ่ง คว้ากระบี่วิเศษผลึกแดงเตรียมไว้ แล้วยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบคลำตรวจดูในรอยแยก

เขาพบในโลงศพมีคนหนึ่งคนนอนอยู่ เพียงแต่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สำรวจแล้วก็ยังไม่มีทางตัดสินหน้าตาได้ มือที่สัมผัสอยู่บนฝาโลงศพร้อนรนอยากจะเปิดออก แต่ก็กังวลอีกว่าถ้าเปิดแล้วคนที่อยู่ในนั้นจะวิ่งออกมา ถ้าเป็นแบบนั้นตัวเองรับไม่ไหว

แต่พอลองคิดดูอีกมุม ขนาดขุนพลใหญ่หกลัทธิยังมีวรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์เลย วรยุทธ์ของประมุขขุนพลหกลัทธินี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว ของที่ทำจากผลึกแดงขังยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไว้ไม่ได้หรอก คนข้างในจะต้องถูกควบคุมไว้แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขังคนข้างในไว้ได้นานขนาดนี้

หลังจากตัดสินได้แบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ยกมือผลักฝาโลงออก แต่ผลักแล้วไม่ขยับเขยื้อน เลิกออกก็เลิกไม่ได้ จึงเดินวนดูรอบๆ ทำให้พบว่ารอบโลงศพล้วนมีสิ่งของที่คล้ายกับเหมินติงกลมประดับประตู จึงยื่นมือไปลูบคลำและลองกดดู

“แกร๊ก” ในโลงศพมีเสียงประหลาดดังขึ้น

จากนั้นเหมียวอี้ก็ดันเลิกฝาโลงอีก แต่ก็ยังเปิดไม่ออก จึงรีบอ้อมไปยังด้านที่สามของโลงศพแล้วกด พอกดวัตถุที่คล้ายกับเหมินติงประดับประตู ก็มีเสียง “แกร๊ก” ดังอยู่ในโลงศพทุกอย่างอย่างที่คาดไว้

เมื่อทำแบบนี้ครบสี่ด้าน เหมียวอี้ก็จับขอบฝาโลงศพแล้วออกแรง ฝาโลงศพพลันเปิดออก พลิกตกไปอยู่บนพื้นข้างๆ จนเกิดเสียงดัง

เหมียวอี้ที่ถือกระบี่วิเศษไว้ในมือเพื่อเตรียมป้องกันรีบเหลือบมองในโลงศพแวบหนึ่ง พอมองแวบเดียวก็ตะลึงทันที อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือหนึ่งในประมุขขุนพลหกลัทธิ?

ในโลงศพมีสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงสีทองคนหนึ่งกำลังนอนนิ่ง ผิวกายขาวดุจหิมะ หน้าตางดงามดุจภาพวาด ตรงหว่างคิ้วมีจุดสีแดงที่แสดงว่าวรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว แพขนตายาวปิดสนิทนอนนิ่งอยู่ในโลง ช่างเหมือนยอดหญิงที่งามที่สุดในแผ่นดิน งามจนจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง

แต่สิ่งที่โหดร้ายมากก็คือ ตรงหัวใจของสตรีวัยกลางคนมีสิ่งของที่คล้ายกับขลุ่ยผลึกแดงปักอยู่ ด้านบนมีรู จากรอยเลือดสีแดงเข้มที่อยู่บนเสื้อผ้าตรงหน้าอกของสตรีวัยกลางคนก็สามารถตัดสินได้ ว่าวัตถุที่คล้ายขลุ่ยด้ามนี้ปักอยู่บนตัวนางมาหลายปีแล้ว

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ตื่นตัวก็คือ นอกจากวัตถุที่คล้ายขลุ่ยด้ามนี้แล้ว บนตัวของสตรีวัยกลางคนเหมือนจะไม่มีการผนึกอย่างอื่น

เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของผู้หญิงในโลงศพยังเต้นเป็นบางครั้ง คนยังไม่ตาย

เขาถือกระบี่ตีเบาๆ บนใบหน้าของสตรีวัยกลางคน ทดสอบไปหลายรอบแล้วไม่ได้ผลอะไร แน่ใจแล้วว่านางคงไม่ตื่นขึ้นมา กระบี่จึงย้ายลงไปที่แขนเสื้อของนาง เลิกแขนเสื้อนางดู แต่ไม่เห็นสิ่งของประเภทกำไลเก็บสมบัติเลย

คมกระบี่รีบย้ายไปเลิกดูตรงปากแขนเสื้ออีกข้าง แต่ก็ไม่มีกำไลเก็บสมบัติเช่นกัน บนนิ้วขาวเรียวก็ไม่สวมแหวนเก็บสมบัติด้วย

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ไม่เชื่อหรอก หนึ่งในประมุขขุนพลหกลัทธิผู้สง่าผ่าเผย ตามหลักแล้วควรจะเป็นคนที่มีทรัพย์สินเยอะสิ จะเป็นไปได้อย่างไรที่บนตัวไม่มีทรัพย์สินเลย

เหมียวอี้รีบถือกระบี่วิเศษคว่ำลงแล้วเอาไขว้ไว้ข้างหลัง มืออีกข้างยื่นเข้าไปในโลงศพ ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นบนตัวสตรีวัยกลางคนอยู่พักหนึ่ง

เขาไม่ถึงขั้นเกิดความคิดลามกกับคนที่นอนอยู่ในโลงศพเหมือนคนตาย เป็นการค้นหาสมบัติล้วน ตอนยังไม่รู้ฐานะของอีกฝ่ายก็ยังดีหน่อย แต่ในเมื่อรู้แล้วมีหรือที่จะปล่อยผ่านไป ถ้าได้สมบัติของหนึ่งในประมุขขุนพลหกลัทธิมาไว้ในมือ ก็จะต้องร่ำรวยมากแน่นอน

สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ค้นตัวสตรีวัยกลางคนผู้งดงามคนนี้ทั้งข้างบนข้างล่างไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีทรัพย์สมบัติอะไร

เขากำลังมีความคิดอยากจะร่ำรวย แต่กลับไม่สังเกตว่าดวงตาของสตรีผู้งดงามเหมือนกำลังขยับเล็กน้อย

ท่านขุนนางเหมียวไม่ยอมตัดใจ รีบเดินไปข้างโลงศพอีกโลง เสียง “แกร๊ก” ดังขึ้นสี่ครั้ง พอฝาโลงศพพลิกตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ในโลงศพก็มีปราณหยินที่เย็นเยียบโผล่ขึ้นมาทันที

เหมียวอี้โบกแขนเสื้อกวาดปราณหยินที่พรั่งพรูออกมา พอยื่นหน้าไปดู ก็เห็นข้างในมีชายชราชุดดำคนหนึ่งนอนอยู่ ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีดำเสมือนจริง กำลังปิดตาหลับลึก คิ้วบางหรอมแหรม หนวดเคราก็มีอยู่ไม่กี่เส้น ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่าเขาหน้าตาเหมือนโจร บนหัวใจมีวัตถุคล้ายขลุ่ยปักอยู่ด้ามหนึ่งเช่นกัน

แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนคนนี้คือนักพรตผี เหมียวอี้ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น รีบค้นตัวเขาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ยังคงไม่เจอสิ่งของอะไรทั้งนั้น

แกร๊ง! ฝาโลงศพอีกโลงตกลงพื้น ร่างที่อยู่ในโลงศพอีกโลงคือชายชราที่คิ้วหนาเชิดขึ้น แค่มองหน้าตาแวบเดียวก็รู้ว่าก้าวร้าวเผด็จการมาก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้สนใจ รีบค้นตัวอีกฝ่ายรอบหนึ่ง

เหมียวอี้ที่ไม่ได้อะไรเปิดฝาโลงของโลงศพที่สี่ พอยื่นหน้ามอง ก็เห็นพระชราที่สวมจีวรทีทออย่างดงาม หน้าตาดูสดใสมีกำลังวังชา หลับยาวไม่ตื่น ตรงหัวใจปัก ‘ขลุ่ย’ เอาไว้

เป็นอีกครั้งที่เขาค้นแล้วไม่เจออะไร ฝาโลงศพโลงที่ห้าถูกเหมียวอี้เลิกออก คนที่นอนอยู่ในนั้นคือสาวน้อยสวมชุดกระโปรงสีชมพู ทั้งยังแต่งตัวเปิดเผยเนื้อหนังด้วย หน้าตาสวยน่ารัก ขณะที่หลับลึกยังเผยกลิ่นอายความเป็นหนุ่มสาว

แต่สิ่งที่โหดร้ายจนทนมองไม่ได้ก็คือ ‘ขลุ่ย’ ด้ามนั้นปักอยู่บนหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของสายน้อย รอบๆ ปากแผลเป็นรอยสีเขียว

เงื้อมมือมารที่ไม่ได้ปะปนความคิดชั่วร้ายของขุนนางเหมียวค้นตัวอีกฝ่ายหนึ่งรอบ

ยังคงไม่ได้ผลอะไร โลงศพโลงที่หกก็ไม่ปล่อยผ่านเหมือนกัน พอฝาโลงเปิดออกและยื่นศีรษะมอง ข้างในก็เป็นชายชุดขาวที่หน้าตาสง่าดูมีความรู้

เหมียวอี้ที่ค้นตัวรอบหนึ่งแล้วไม่เจออะไรประคองขอบโลงศพ จ้องชายที่อยู่ในโลงศพพลางครุ่นคิด ว่าของที่อยู่บนตัวหกคนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?

แกร๊งๆๆ…

หลังจากกระบี่วิเศษในมือเคาะบนโลงศพช้าๆ พักหนึ่ง เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดก็พลันส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ไม่ต้องบอกแล้วล่ะ เป็นใครกันที่ควบคุมคนพวกนี้เอาไว้ เดาได้ไม่ยากแล้วว่าสมบัติบนตัวคนพวกนี้ไปอยู่ที่ไหน จะต้องตกอยู่ในมือประมุขไป๋ท่านนั้นแน่นอน

“เฮ้อ! “เหมียวอี้ถอนหายใจ

ตอนเจอเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินที่ดาวดำเนินนภา เขาก็ไม่ได้สมบัติอะไร ตอนเจอมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินที่ดาวสองขั้วแล้วได้ไฟหยินหยางมาช่วยให้ตัวเองเพิ่มวรยุทธ์อย่างรวดเร็ว ก็นับว่าได้กำไรไม่น้อยเหมือนกัน ตอนเจอเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินที่ดาวดำเนินเซียนก็ได้ร่ำรวยก้อนใหญ่ แต่ที่นี่กลับไม่มีอะไรให้กอบโกยเลย

ว่ากันว่าคนตายเพราะสมบัติ นกตายเพราะอาหาร เขายอมเสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อมาขุดสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ไม่ใช่เหรอ ในบ้านเลี้ยงผู้หญิงไว้เป็นโขยง ยิ่งวรยุทธ์สูงขึ้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวกับเฮยทั่นก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก บนบ่าแบกความรับผิดชอบไว้ถึงได้มีแรงกระตุ้นให้ถ่อมาเสี่ยงอันตราย ตอนนี้ไม่ได้อะไรกลับไปก็ย่อมผิดหวังอยู่แล้ว

แต่พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ได้สมุนไพรเซียนซิงหัวมาเป็นกอง ก็คิดว่ากลับไปคงพอให้ใช้จ่ายได้หลายปีเหมือนกัน ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างนิดหน่อย เขาส่ายหน้าพลางเก็บกระบี่วิเศษ จากนั้นมองไปรอบๆ สายตาไปจ้องอยู่ที่ห้องถ้ำเล็กๆ ห้องหนึ่ง

โลงศพที่หกเปิดฝาเอาไว้ถูกเขาทิ้งแล้ว พอถลันตัวเข้าไปในห้องถ้ำเล็กๆ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือภาพสตรีทะยานฟ้าบนฝาผนังห้องศิลา

สายตาเหมียวอี้ไปหยุดตรงจุดที่แขนของสตรีทะยานฟ้ารองถือ เป็นกล่องโลหะใบหนึ่งที่เหมือนหยกแดง เขากางนิ้วทั้งห้าร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเข้ามา

สิ่งที่ทำให้เขางุนงงก็คือ กล่องโลหะในครั้งนี้แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดออกมาไม่ได้ภายในรวดเดียว

เขาจึงร่ายอิทธิฤทธิ์เพิ่มพลังทันที เกิดเสียงดังแกร๊ก ออกแรงไปเยอะมาก ทำให้ผนังหินที่วาดภาพสตรีทะยานฟ้าถล่มลงมาทั้งแผง ถึงได้ดูดกล่องโลหะมาไว้ในมือได้

ชั่วพริบตานี้ พลังลึกลับกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมราวกับระลอกน้ำ เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างงุนงง

หารู้ไม่ว่า ในโลงศพหกโลงที่อยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดินด้านนอก ในรูบน ‘ขลุ่ย’ ที่ปักอยู่บนตัวคนหกคน มีวัตถุไร้รูปร่างลอยเป็นเกลียวออกมาเล็กน้อยราวกับคลื่นน้ำแล้ว

…………………………