ตอนที่ 1765

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,765 : แดนลับเซียน

 

“มันเปิดแล้ว!”

 

“นั่นน่ะหรือ ทางเข้าแดนลับเซียน!!”

 

“แดนลับเซียนเปิดแล้ว!”

 

……

 

เมื่อวังวนมหึมาปรากฏขึ้นเหนือฟ้า และมีพลังดูดรั้งไร้สภาพขุมหนึ่งกวาดออกมา ผู้คนส่วนใหญ่ก็ละความสนใจจากต้วนหลิงเทียนไปชมดูวังวนลึกลับบนฟ้าทันที!

 

กล่าวให้ชัด ทั้งหมดกำลังชมดู “ทางเข้า” แดนลับเซียน!

 

“นั่นน่ะเหรอ…ประตูสู่แดนลับเซียน?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่แหงนมองภาพบนฟ้าหยีตาลงเล็กน้อย พลังดูดรั้งดังกล่าวก็กำลังดูดร่างเขาขึ้นไปเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามแม้พลังดูดรั้งจะไม่ได้อ่อนด้อย แต่ทว่าหากเขาไม่ปล่อยตัวมันก็ยากจะดูดเขาขึ้นไปได้

 

คนอื่นๆก็เช่นกัน

 

“เรื่องราวของแดนลับเซียนพวกเจ้าทุกคนสมควรเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว…เช่นนั้นข้าจักมิอธิบายอันใดให้มากความอีก พวกเจ้าทุกคนจงพยายามเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้านในให้มากเข้าไว้ ความตายด้านในมิใช่ความตายที่แท้จริง…แต่หากพวกเจ้าตาย นั่นหมายความว่าจักถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนทันที!”

 

เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงบ “เช่นนั้นแล้วข้าหวังว่าพวกเจ้าจักรักถนอมชีวิตของพวกเจ้าในนั้นให้มากเข้าไว้! เพื่อให้มีโอกาสได้รับสิ่งประเสริฐได้มากยิ่งขึ้น…และพวกเจ้าคงทราบกันแล้วว่าบททดสอบรับมรดกเวทย์พลังนั้น จักยากขึ้นตามระดับมรดกเวทย์พลัง บททดสอบยิ่งยากนั่นหมายความว่าเวทย์พลังที่ได้รับก็ยิ่งสูงขึ้นตาม…กระทั่งบางบททดสอบยังยากเกินตัวพวกเจ้า อย่าฝืน!”

 

“เพราะอย่างไรเสียมันก็เปิดให้แต่รุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีเท่านั้นที่เข้าไปได้…ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”

 

เมื่อวาจาของเมิ่งฉิงดังจบคำ จูลู่ฉี จ้าววังนภาพลันหันกลับมามองศิษย์วังนภาทั้ง 10 รวมถึงต้วนหลิงเทียน “ตอนนี้พวกเจ้าคงสัมผัสได้ถึงพลังดูดรั้งไร้สภาพที่กำลังดูดพวกเจ้าอยู่ใช่หรือไม่? ขออย่าได้ตกใจไป…เพียงปล่อยตัวไปตามแรงดูดนั่นเสีย…อาจมีช่วงหนึ่งที่สำนึกสติพวกเจ้ามิอาจรับรู้อันใดได้ แต่นั่นเป็นขั้นตอนการสร้างร่างอวตารของพวกเจ้าและย้ายสำนึกสติไปสถิตย์ยังร่างอวตาร…”

 

“และเพราะร่างอวตารนี้ทำให้แม้พวกเจ้าจักตกตายในแดนลับเซียน พวกเจ้าก็มิได้ตกตายจริงๆ…แต่แน่นอนว่าทันทีที่ร่างอวตารของพวกเจ้าตายตก สำนึกสติของพวกเจ้าก็จะหวนคืนสู่กายแท้…ถูกขับออกจากแดนลับเซียนทันที!”

 

“เช่นนั้นก็ดั่งที่ท่านจ้าวตำหนักกล่าวเอาไว้ หากพวกเจ้าคิดหวังสิ่งของประเสริฐก็จงรักถนอมชีวิตให้มาก เพื่อที่จักได้มีโอกาสพบพานโอกาสและวาสนาของพวกเจ้า…”

 

“เอาล่ะ ยามนี้พวกเจ้าก็เข้าไปกันได้แล้ว จงผ่อนคลายร่างกายเสีย อย่าได้แข็งขืนต่อต้าน…แดนลับเซียนจะส่งพวกเจ้าเข้าไปด้านในทีละคนๆ”

 

สิ้นคำกล่าวของจูลู่ฉี เหล่าศิษย์วังนภาก็เริ่มผ่อนคลายร่างกายทีละคน

 

และทันทีที่พวกมันปล่อยร่างกายไปตามสบาย ร่างของพวกมันก็ลอยขึ้นไปยังวังวนมหึมาบนฟ้า ก่อนที่จะถูกวังวนดังกล่าวกลืนร่างหายไป ราวกับถูกอสูรกายดุร้ายตัวเขื่องแสนน่ากลัวเขมือบ

 

แน่นอนว่าศิษย์วังนภาไม่ได้ลอยขึ้นไปทุกคน

 

ต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียน หลิวเจี้ยน และจ้าวจี้ยังไม่ได้เข้าไป

 

“พวกเจ้ารออันใดกัน?”

 

เห็นคนที่เหลือจูลู่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

“เหอะ!”

 

จ้าวจี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอาฆาตแค่นคำทิ้งท้ายด้วยสายตาเยียบเย็น ก่อนที่มันจะปล่อยร่างกายตามสบายและลอยหายเข้าไปในแดนลับเซียน

 

“ข้าพึ่งได้ยินมาว่าหลังจากเข้าไปในแดนลับเซียนแล้ว พวกเราจะถูกสุ่มแยกไปยังที่ต่างๆด้านใน…เช่นนั้นก่อนที่พวกเรา 3 คนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พยายามอย่ามีเรื่องอะไรกับผู้อื่น…ถึงแม้พวกเจ้าจะเจอร่องรอยมรดกเวทย์พลัง ก็อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปตามลำพัง”

 

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงกล่าวเตือนไปยังหวางเฟยเซวียนและหลิวเจี้ยน

 

ตอนนี้ในเมื่อเขาตัดสินใจจะร่วมมือกับทั้งคู่แล้ว เขาย่อมไม่ต้องการให้ทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุอะไรจนพลาดพลั้งถูกขับออกจากแดนลับเซียน ก่อนที่จะได้รวมตัวกันด้านใน

 

“อื๊อ”

 

หวางเฟยเซวียนตอบรับ

 

“ข้าเข้าใจ”

 

หลิวเจี้ยนก็เร่งตอบกลับทันที

 

หลังจากนั้นทั้ง 3 ก็ผ่อนคลายร่างกาย ไม่แข็งขืนใดๆ ปล่อยให้แดนลับเซียนดูดกลืนร่างเข้าไปในวังวนที่เหมือนดั่งปากอสูรกายดุร้ายกลางหาว

 

หลังจากที่ถูกวังวนกลืนร่าง ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนรอบด้านมืดลง สำนึกสติคล้ายสั่นไหวบางเบา ก่อนที่จะถูกพลังลี้ลับขุมหนึ่งดึงออกจากร่างกายและพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งอันไกลแสนไกลด้วยความเร็วสูงล้ำ

 

ไม่ทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ พอต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าสำนึกสติของเขาสมควรเข้าร่างอวตารแล้ว…

 

เมื่อเปิดตาขึ้นมาต้วนหลิงเทียน ก็รู้สึกเสมือนร่างอวตารนี้…เป็นร่างที่แท้จริงของเขาก็ไม่ปาน! หากไม่ใช่เพราะนิ้วมือไร้แหวนพื้นที่คงยากที่เขาจะบอกได้ว่านี่เป็นร่างที่แท้จริงของเขาหรือร่างอวตาร!

 

ทุกอย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติมากจนเขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรเลย!

 

ก่อนเข้าแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนก็ทราบแล้วว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง นอกจากร่างอวตารแล้ว พวกสิ่งของนอกกายอย่างแหวนพื้นที่อะไรไม่อาจนำเข้ามาในนี้ได้

 

ด้วยไร้แหวนพื้นที่มีแต่ร่างอวตาร…นั่นหมายความว่าในที่นี้ไม่มีใครสามารถพึ่งพาสิ่งของอื่นใดที่เคยมีได้เลย! ทำได้แค่พึ่งพลังฝีมือส่วนตัวตะลุยแดนลับเซียนเท่านั้น!!

 

แน่นอนว่าหากพบพานศาสตราเซียน ยันต์เต๋าหรือสิ่งของอื่นใดในแดนลับเซียน ย่อมสามารถใช้มันได้!

 

และสมบัติทั้งหลายที่ได้รับในแดนลับเซียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นศาสตราเซียนยันต์เต๋าสมุนไพรโอสถหรือวัตถุดิบอันใด มันจะไปปรากฏขึ้นข้างๆร่างที่แท้จริงยามออกจากแดนลับเซียน!

 

กล่าวได้ว่ายามสำนึกสติหวนคืนสู่ร่างกายที่แท้จริง สมบัติทั้งมวลที่ได้รับจะตามไปปรากฏขึ้นร่างกายอย่างอัศจรรย์!

 

แต่แน่นอนว่าถ้าหากตายในแดนลับเซียน สมบัติอันใดที่มีอยู่ก็จะไม่ไปปรากฏข้างร่างกายที่แท้จริง!

 

ในแดนลับเซียนนั้นยังมีวิธีออกไปนอกจากการตายอยู่ 2 ประการ

 

หนึ่งคือยืนสงบสติ และตั้งจิตใช้สำนึกเทวะสื่อสารกับแดนลับเซียน แดนลับเซียนจะรับรู้เจตนาและส่งออกไปด้านนอกแดนลับเซียนทันที

 

ส่วนอีกอย่างก็คืออยู่ในแดนลับเซียนแห่งนี้ให้ครบกำหนด 3 เดือน พอถึงเวลานั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นใครและอยู่ที่ไหนในแดนลับเซียน ก็จะถูกบังคับส่งออกไปอย่างไม่อาจต่อต้านทันที

 

“นี่น่ะเหรอแดนลับเซียน”

 

เมื่อมองไปรอบๆต้วนหลิงเทียนก็พบป่าไม้เขียวขจี ยังกล่าวได้ว่าเป็นป่ารกชัดหนึ่ง ในสายตาเต็มไปด้วยพุ่มไม้รวมทั้งต้นไม้ใหญ่โต เถาวัลย์ห้อยระโยงระยางไปทั่ว และด้วยเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ดังขึ้นในพุ่มไม้ ก็เตือนให้เขารับทราบว่ามีอันตรายบางประการซ่อนเร้นอยู่!

 

“อ๋าววู้วววว~!”

 

ดั่งประกายอัสนีลั่นวาบ พร้อมกันกับที่เสียงหอนหนึ่งดังขึ้น ก็มีร่างสีดำมืดหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากพุ่มไม้ ปรี่ตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง!

 

เหลือบมองเพียงครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นลูกตาสีแดงทั้งร่างสีดำดังกล่าว…มองให้ดีก็พบว่ามันเป็นหมาป่าสีดำแลดูดุร้ายตัวหนึ่ง!

 

แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่หมาป่าธรรมดา!

 

ตัดสินจากความเร็วในการพุ่งกระโจนเข้ามา ต้วนหลิงเทียนบอกได้เลยว่าพลังต่อสู้ของมันสมควรทัดเทียมกับเซียนดั้งเดิมขั้นต้น!

 

และเมื่อเห็นว่ามันไร้สติปัญญาอะไร ก็บอกได้ทันทีว่ามันสมควรเป็นสัตว์ร้าย…

 

แน่นอนว่าสัตว์ร้ายในระดับนี้ย่อมไม่เป็นภัยคุกคามอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลย

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น เพียงใจคิดจิตสั่ง ปราณสุริยันแรกกำเนิดพลันโคจรไหลเชี่ยว แผ่พุ่งออกจากผิวกาย ไปควบรวมเป็นกระบี่พลังสีทองกว่า 10 เล่มในพริบตา! พวกมันลอยตระหง่านกลางอากาศเปล่งแสงสว่างปานตะวัน โคจรหมุนวนไปรอบๆร่างกายเขาดั่งดาวบริวาร!

 

ฟิ้วว! ฉัวะ! ตึงงง!!

 

ร่างหมาป่าสีดำตัวแรกที่ปราดกระโจนออกมา ถูกกระบี่พลังสีทองเล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศฉับไว พุ่งไปทะลวงผ่านร่างจนตายตกในพริบตา ซากไร้ชีวิตร่วงกลิ้งไปบนพื้นฝุ่นคลุ้ง

 

“อ๋าววูวว~”

 

“อ๋าววูวว~”

 

……

 

หลังต้วนหลิงเทียนสังหารหมาป่าตัวแรกไปได้ไม่ทันไร เสียงร้องระงมก็ดังขึ้นจากพุ่มไม้โดยรอบ!

 

พริบตาต่อมาร่างหมาป่าสีดำที่คล้ายคลึงกับหมาป่าสีดำตัวแรกก็กระโจนเข้าใส่เขาทุกทิศทาง

 

“ฝูงหมาป่างั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าการตายของหมาป่าสีดำตัวแรก ไม่เพียงขู่ขวัญพวกมัน แต่กลับดึงดูดหมาป่าสีดำตัวอื่นๆมาทั้งฝูง! หมาป่าฝูงนี้มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเสียส่วนใหญ่ บางตัวก็เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง…

 

อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว จะเซียนดั้งเดิมขั้นต้นหรือขั้นกลางก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน…

 

ปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรฉาบร่างบางเบาเปล่งแสงสีทองเรืองๆ กระบี่พลังมีสภาพเล่มแล้วเล่มเล่าก่อเกิด พวยพุ่งออกไปเข่นฆ่าสังหารเดียรัจฉานร่างดำทุกตัวที่หาญกล้าพุ่งเข้ามาในสายตา…

 

การตายของหมาป่าสีดำนับสิบๆ กลับไม่ได้ทำให้เหล่าหมาป่าที่กำลังทยอยกันมาทีหลังหวาดกลัวแม้แต่น้อย! กระทั่งกลิ่นโลหิตคาวคลุ้งที่ฟุ้งออกมาตลบในอากาศ ยิ่งทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งกว่าเก่า! พวกมันพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่คิดชีวิตราวเสียสติ!!

 

อนิจจาไม่ว่าพวกมันจะคุ้มคลั่งเกรี้ยวกราดเพียงใด จุดจบเดียวที่รอคอยพวกมันอยู่คือความตาย

 

สุดท้ายไม่ทราบผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด กระทั่งราชาหมาป่าก็ปรากฏตัวออกมา มันเป็นหมาป่าสีดำที่มีขนสีทองขึ้นแซม ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าหมาป่าตัวอื่นถึง 3 เท่า ด่านพลังบรรลุสูงสุดเซียนดั้งเดิม!

 

อนิจจาเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดในสายตาต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ได้ต่างไปจากขั้นต้นหรือกลางแม้แต่น้อย..ด้วยความสามารถที่กระทั่งอริยะเซียนขั้นต้นยังรบด้วยไหว การฆ่าสัตว์ร้ายเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ย่อมง่ายดายไม่ต่างเชือดคอไก่!

 

ตุบบ…

 

ด้วยการตายตกของราชาหมาป่าตัวเขื่อง การต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดลง…

 

‘ไอพวกนี้มันเป็นสัตว์ร้ายจริงๆ หรือเป็นภาพมายาจากค่ายกลลวงตากันแน่นะ…’

 

ณ จุดนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน…

 

เพราะเขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาสัมผัสได้อยู่รอบตัวตอนนี้ ไม่คล้ายของปลอมแม้แต่น้อย

 

ยิ่งไปกว่านั้นร่างอวตารของเขาก็เหมือนร่างกายที่แท้จริงของเขามาก

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้

 

‘ไปดูรอบๆก่อนแล้วกัน ไม่รู้จะเจอสองคนนั่นรึเปล่า…’

 

เมื่อคิดถึงหวางเฟยเซวียนกับหลิวเจี้ยน ต้วนหลิงเทียนก็ย่ำอากาศขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่จะเหินร่างข้ามป่าไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วสูง

 

ระหว่างทางมีสัตว์ร้ายบินได้และนกประหลาดเข้ามาเล่นงานเขามากมาย แต่ทั้งหมดล้วนตกตายในมือเขาไม่มีรอด

 

สัตว์ปีกทั้งนกประหลาดเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอในสายตาเขาทั้งสิ้น พวกมันเต็มที่ก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่า ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรต้วนหลิงเทียน

 

‘ไม่รู้คนอื่นๆไปอยู่ที่ไหนกันหมด…’

 

หลังจากเหินร่างไปพักใหญ่ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเขตป่าได้เสียที…ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองไปทางใดก็เห็นแต่ฟ้ากับหญ้า มุมปากอดยกยิ้มขึ้นมาเจื่อนๆไม่ได้…

 

แดนลับเซียนนี่มันกว้างใหญ่ขนาดไหนกัน!?

 

เมื่อศิษย์วังนภาทั้ง 10 รวมถึงต้วนหลิงเทียนเข้าไปในแดนลับเซียนแล้ว ศิษย์จากวังอื่นๆก็ทยอยกันเข้าไปในแดนลับเซียนทีละคนๆ ไม่นานทั้ง 30 คนก็เข้าไปในแดนลับเซียนหมดสิ้น

 

ชั่วครู่ด้านนอกก็เหลือคนของตำหนักฟ้าลี้ลับไม่กี่คน

 

“จ้าวเติง ข้าได้ยินมาว่าลูกเจ้ามีเรื่องกับต้วนหลิงเทียนงั้นเรอะ…เช่นนั้นมิใช่หากทั้งคู่เจอกันด้านใน ลูกเจ้าจะงานเข้าเอารึไร?”

 

เฉียนผิงเชิง จ้าววังเหลืองมองจ้าวเติงตาใสค่อยกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

ถึงแม้มันจะเป็นรองจ้าวตำหนักเช่นเดียวกับจ้าวเติง หากแต่เฉียนผิงเชิงที่ควบตำแหน่งจ้าววังเหลืองคนนี้ก็เป็นคนรุ่นเดียวกับบิดาของจ้าวเติง เช่นนั้นยามมันกล่าวกับจ้าวเติงก็เหมือนผู้ใหญ่กล่าวหยอกเด็ก

 

ได้ยินวาจานี้ของเฉียนผิงเชิง ลูกตาจ้าวเติงหดเล็กลงทันที…

 

กล่าวกันตามตรงมันไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย…! พอมานึกขึ้นได้ ใจก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปทันใด!!